บทที่ 303 พลังของเทพตกสวรรค์
บทที่ 303
พลังของเทพตกสวรรค์
ลั่วอู๋ ครุ่นคิดว่าเขาจะเอาชนะขึ้นสู่อันดับหนึ่งในอันดับรายชื่อเฉียนหลงได้อย่างไร
ประการแรกเขาต้องทำภารกิจของตระกูลลั่วให้สำเร็จ
ประการที่สองเขาต้องการสอบถามทางสำนักเฉียนหลงเกี่ยวกับภูตไห
อย่างไรก็ตามเอ๋าเฉียนจุน ไม่ได้รีบเท่าไหร่ เขาผ่านการทดสอบแล้วเก็บคะแนนอย่างรวดเร็วด้วยความสามารถของเขาเองโดยไม่จำเป็นต้องพยายามพิสูจน์อะไร
เนื่องด้วยมีเรื่องของหยู่เฮา ความต้องการในการต่อสู้เพื่อชิงอันดับหนึ่งของลั่วอู๋จึงค่อยๆจางหายไป
ฝั่งของหยู่เฮาเป็นเรื่องใหญ่กว่า ไว้เขาค่อยคิดหาวิธีอื่น เพื่อค้นหาภูตไหทีหลังก็ยังได้
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
เอ๋าเฉียนจุน ชนะและขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนหยู่เฮาตกไปที่อันดับสอง
ฉะนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเขาต้องพยายามให้ถึงที่สุด
เวลานี้ลั่วอู๋กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนา แต่ต่อให้เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็ยังคิดหาวิธีที่จะชนะไม่ออก
ตวนซีนั้นอยู่ในร่างของภูตสงครามมาโดยตลอด หมายความว่าลั่วอู๋นั้นยังไม่ได้ลองเปลี่ยนไปใช้รูปแบบอื่น ๆ ที่แปลกใหม่ในการทดสอบเลย
แต่ตอนนี้เขาต้องลองใช้รูปแบบอื่น ๆ บ้างแล้ว
ลั่วอู๋มาที่คฤหาสน์หวู่หยู่
“เจ้าของร้าน เจ้ามีสัตว์วิญญาณระดับเพชรขายรึเปล่า ?”ลั่วอู๋ถาม
เจ้าของร้านหันมามองแล้วตอบไปว่า “ถ้าเจ้าต้องการซื้อสัตว์วิญญาณระดับเพชร เจ้าต้องจ่ายเงินค่ามัดจำมาก่อน จากนั้นก็เลือกชนิดของสัตว์วิญญาณที่อยากได้ แล้วข้าจะจัดหาคนไปช่วยจับมันให้ ถ้าเจ้าทำพันธสัญญากับมันไม่ได้ ข้าก็จะหาอย่างอื่นมาแทนให้ ”
“เจ้าไม่มีพวกมันเก็บไว้เลยเหรอ สัตว์วิญญาณอะไรก็ได้ตราบใดที่มันเป็นระดับเพชร” ลั่วอู๋กล่าว
“เจ้ารู้รึเปล่าว่าสัตว์วิญญาณระดับเพชรมีค่ามากเพียงใด ? ทันทีที่คฤหาสน์หวู่หยู่มีสินค้า พวกมันก็จะถูกซื้อไปในทันที ต่อให้เป็นสัตว์วิญญาณระดับเพชรที่อยู่ในระดับขยะที่สุดก็ยังหมด”
สัตว์วิญญาณระดับเพชรไม่เพียง แต่มีจำนวนน้อยและหายากเท่านั้น แต่พวกมันยังมีพลังมากอีกด้วย มันเป็นอะไรที่หาจับได้ยากมาก ต่อให้ยังไม่เติบโตเต็มวัยก็ยังจับได้ยาก
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงจะเอาชนะสัตว์วิญญาณระดับเพชรได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง ส่วนใหญ่จึงมีสัตว์วิญญาณตัวที่สี่ อยู่ในระดับทองขั้นสูง
ทุกคนรู้ดีว่าสัตว์วิญญาณระดับเพชร สามารถยกระดับความแข็งแกร่งได้อย่างมาก
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าสยบมันไม่ไหว ก็ไม่มีทางได้มันมาเป็นสัตว์วิญญาณคู่พันธะ
ลั่วอู๋ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินกลับไป
ถ้าเขาไม่จ่ายคะแนนซื้อมันจริงๆ เขาก็ไม่น่าจะได้เห็นสัตว์วิญญาณระดับเพชรจากคฤหาสน์หวู่หยู่
จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิครุ่นคิด ก่อนจะเดินไปที่สำนักย่อยการปรับแต่ง
ลั่วอู๋ มาหา ลั่วซง ผู้อาวุโสของตระกูลลั่ว
แต่หลังจากที่ลั่วซง รู้ว่า ลั่วอู๋ มาที่นี่เพื่ออะไร เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบไปว่า “ข้าก็ไม่มีสัตว์วิญญาณระดับเพชรเหมือนกัน”
“ท่านพอจะรู้ไหมว่าใครมีมันในครอบครอง” ลั่วอู๋ถาม
ลั่วซง ตอบว่า “มีคนจำนวนไม่น้อยในสำนักเฉียนหลงที่มีสัตว์วิญญาณระดับเพชร แต่พวกเขาทุกคนต่างก็ไม่ใช่คนระดับธรรมดา ๆ ข้าเกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ใส่ใจกับคำขอของเจ้า”
ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูก
“เจ้ารอสักสองสามวันได้ไหม? ในอีกไม่กี่วันประตูของสำนักก็จะเปิด ตามกำหนดการทุกๆหกเดือนจากนั้นเจ้าก็จะสามารถออกจากสำนักเฉียนหลงได้” ลั่วซง กล่าวว่า “ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว จากนั้นเจ้าก็จะได้เห็นสัตว์วิญญาณที่เป็นรากเหง้าของตระกูลลั่วของเรา – ปีศาจและลิงขาว”
“ ข้าเกรงว่ามันจะสายเกินไป” ลั่วอู๋ส่ายหัว
อีกไม่กี่วันการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอันดับก็จะสิ้นสุดลงเช่นกัน
ลั่วอู๋ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือการสังเคราะห์มังกรกระดูกผี ซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณระดับเพชรของเขาขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตามหากมังกรกระดูกผีอันทรงพลังก็ปรากฏตัวขึ้นที่สำนักเฉียนหลง มันคงจะสร้างความเสียหายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง จากนั้นสำนักจะหาต้นตอพบอย่างแน่นอน แต่เขาก็คงจะไม่สามารถอธิบายอะไรได้
อาจจะยังมีวิธีอื่น
ทันใดนั้นลั่วอู๋ก็นึกถึงสิ่งหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการติดต่อทางใจถามในตวนซีในมิติไห “ตวนซี เจ้ายังจำลมปราณของเทพตกสวรรค์ได้รึเปล่า ?”
“จำได้” ตวนซีตอบรับอย่างรวดเร็ว
ลั่วอู๋รู้สึกยินดี
ยิ่งเชื่อมั่นในพลังแห่งแสงสว่างมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นหลังจากร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิด
แม้ว่าเทพตกสวรรค์จะมีมิติวิญญาณอยู่เพียงแค่ประมาณ ระดับทอง 4หรือ 5 แต่ศักยภาพดั้งเดิมของมันนั้นเกินกว่าระดับทองขั้นสูงไปไกลโข บางทีอาจจะถึงระดับเพชรเลยด้วยซ้ำ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชายลึกลับจึงมีพลังมาก
มันเป็นเรื่องแปลกมาก ทั้ง ๆ ที่ลั่วอู๋ รู้แล้วว่าชายลึกลับนั้นคือเหวินเสี่ยว แต่แล้วทำไมเหวินเสี่ยวถึงไม่ใช้พลังทั้งหมดที่เขามีในการชิงอันดับรายชื่อเฉียนหลง ?
หรือว่าเขาจะเดาผิดกัน? หรือว่าตัวตนของชายลึกลับไม่ใช่เหวินเสี่ยว?
แต่ลืม ๆ เรื่องนี้ไปก่อนก็ได้ เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการหาคะแนน
ลั่วอู๋ได้ทิ้งเรื่องอื่น ๆ ไว้ข้างหลังทำจิตใจให้สงบจากนั้นก็เข้าสู่มิติไห
ตวนซีนั้นได้เปลี่ยนจากรูปร่างจากภูตสงครามเป็นเทพตกสวรรค์
มันมีปีกที่ดูฉีก ๆ ขาด ๆ สีดำ แววตาที่ดูไม่แยแส และลมปราณที่เปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังส่งออกมา
“นี่มัน?” ลั่วอู๋รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา
เนื่องจากเขาทั้งคู่มีพันธสัญญาสัญญาระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ ความรู้สึกจึงเชื่อมถึงกัน
ลั่วอู๋เริ่มรู้สึกได้ถึงอารมณ์เชิงลบที่อยู่ในใจที่ทำให้หัวใจของตัวเขาเองตื่นกลัว ลั่วอู๋จึงรีบตั้งสมาธิอย่างรวดเร็วเพื่อระงับอารมณ์เชิงลบเหล่านั้น
“ต้องรีบแล้วสิ เทพตกสวรรค์เป็นสัตว์วิญญาณที่ดูเหมือนจะชั่วร้ายไปสักหน่อย”
ลั่วอู๋รีบออกจากมิติไหแล้วเดินไปที่สนามประลอง
……
……
เวทีประลองศิลปะการต่อสู้
ปากของเหวินเสี่ยวแสดงให้เห็นรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ มีร่องรอยความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในดวงตาอันชัดเจนของเขา อย่างไรก็ตามเขาได้พยายามซ่อนมันไว้อย่างดี ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น
“นี่สินะคือความรู้สึกที่ได้ครอบครองร่างกาย ช่างน่าหลงใหลเสียจริง” เหวินเสี่ยวกล่าวอย่างมึนเมา
หลังจากนั้นเขาก็ดูรายละเอียดของการประเมินทั้ง 7 รูปแบบแล้วนึกในใจ “ข้าชนะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบเหล่านี้ได้แน่นอน ข้าจะทำในสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ เพื่อให้พวกเราบรรลุเป้าหมายเอง ข้าจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะต้องตกลงไปในหุบเหวแห่งความชั่วร้าย พลังแห่งแสงสว่างน่ะไม่สามารถช่วยอะไรโลกใบนี้ได้หรอก เพราะโลกใบนี้มันเป็นของความมืดมิด เจ้าควรจะพักอยู่ในร่างกายของเจ้า แล้วรอดูข้าพลิกกระดานทั้งหมดนี้”
แสงศักดิ์สิทธิ์บนร่างกายของภูตปีกแสงข้างตัวเขา ค่อย ๆถูกรวบรวม ดวงตาอันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและน่ารักแบบดั้งเดิมของมัน ค่อยๆสูญเสียพลังไป
“เทพตกสวรรค์มีศักยภาพดั้งเดิมอยู่ในระดับเพชร ฮ่า ฮ่า ฮ่า สัตว์วิญญาณตัวที่สามของข้าคือสัตว์วิญญาณเพชร ใครมันมาหยุดข้าได้?”
ระหว่างที่เหวินเสี่ยวกำลังเตรียมตัวเขารับการทดสอบการรับรู้ จู่ ๆ ก็มีเสียงมาจากด้านหลัง “เหวินเสี่ยว เจ้าให้ข้าเข้ารับการทดสอบก่อนได้ไหม ข้ากำลังรีบ”
นั่นคือเสียงของ ลั่วอู๋
ลั่วอู๋ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าเหวินเสี่ยวนั้นผิดปกติไปเพราะว่าเขากำลังรีบ เขาสังหรณ์ใจว่าคงจะไม่สามารถรักษาร่างของตวนซีให้อยู่ในสภาพของเทพตกสวรรค์ได้นานเท่าที่ควร
ลั่วอู๋รีบเดินผ่านเหวินเสี่ยวไป เข้ารับการทดสอบการรับรู้
เหวินเสี่ยวมองไปที่ด้านหลังของลั่วอู๋พลางหัวเราะเยาะ “ช่างเป็นการขัดขืนอันไร้ประโยชน์สิ้นดี ผู้ที่จะสามารถก้าวข้ามความแตกต่างของคะแนนอันยิ่งใหญ่นี้ได้คงไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตัวข้า”
ในตอนที่เหวินเสี่ยวกำลังจะเปลี่ยนไปรับการทดสอบรูปแบบอื่นแทน หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน
เขารู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่มีความคล้ายคลึงกันกับเขามาจากทางลั่วอู๋
“ไม่จริงน่า นี่ภูตสงครามของลั่วอู๋ได้ละทิ้งแสงสว่างแล้วงั้นหรือ?”เหวินเสี่ยวตกอยู่ในภวังค์ “ไม่สิ เทพตกสวรรค์ที่แปลงร่างมาจากภูตสงครามน่าจะมีความมืดมิดบริสุทธิ์น้อยกว่าข้าอยู่มาก แต่แล้วทำไมพลังวิญญาณของเขาถึงได้คล้ายกับพลังวิญญาณของข้ามากขนาดนี้?”
ระหว่างที่เหวินเสี่ยวกำลังครุ่นคิด ลั่วอู๋ก็ได้เข้ารับการทดสอบจนในที่สุดเขาก็ผ่านการประเมินการรับรู้ระดับที่เจ็ดได้สำเร็จ
เขาได้อันดับหนึ่งเทียบเท่ากับเอ๋าเฉียนจุน ด้วยคะแนนรวม 21000
เหวินเสี่ยวได้แต่ตกตะลึง
ล้อเล่นกันเล่นน่า
ก่อนหน้านี้ลั่วอู๋คือคนที่ติดอยู่ในระดับหกไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมจู่ๆเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนผ่านการทดสอบระดับเจ็ดไปได้
นี่มันเป็นไปไม่ได้!
คนที่ผ่านมันควรจะเป็นข้าสิ
เหวินเสี่ยวเสียสติไปเล็กน้อย จากนั้นอีกตัวตนหนึ่งก็ถูกระงับปล่อยให้ดวงจิตเดิมออกมาแทน
“อารมณ์เชิงลบเขาครอบงำข้า เจ้าทรยศต่อข้อตกลงของเรา เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ปล่อยเจ้าออกไปอีก” จู่ ๆ เหวินเสี่ยวก็พูดตัวเอง
“ไม่! ไม่ เจ้าต้องการพลังในการต่อสู้ของข้า เจ้าต้อง … ”
และแล้วเสียงร้องก็หยุดลงไปทั้งอย่างนั้น
ดวงตาของเหวินเสี่ยวกลับมากระจ่างใสและอ่อนโยนอีกครั้ง จิตใจที่ดูเหมือนจะเป็นด้านมืดนั้นถูกระงับลงอย่างรุนแรง ฝังลงไปในส่วนลึกของจิตใจ
ภูตปีกแสงเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกครั้ง เผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนและความศักดิ์สิทธิ์
“โฮ่ คงต้องขอบคุณลั่วอู๋ที่มาขัดจังหวะไว้ ไม่อย่างนั้นคงจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ ๆ” เหวินเสี่ยวคิดอย่างพึงพอใจ
ด้วยภารกิจอันหนักหน่วงและความอ่อนแอที่ไม่สามารถควบคุมใช้งานประสิทธิภาพในการต่อสู้ของภูตปีกแสงได้อย่างเต็มที่ เหวินเสี่ยวจึงรู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้พลัง
จนกระทั่งอารมณ์เชิงลบนั้นทำให้เกิดจิตสำนึกอีกตัวตนหนึ่งขึ้นมา
จิตสำนึกในอีกตัวตนที่เกิดขึ้นมานั้น แสวงหาความเห็นแก่ตัว พร้อมจะใช้วิธีการสกปรกทุกวิถีทางให้ตัวเองไปถึงเป้าหมาย อีกทั้งยังเชื่อมั่นในความมืดถึงขั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงของภูตปีกแสงให้กลายเป็นเทพตกสวรรค์ได้
ดังนั้นเหวินเสี่ยวและอีกตัวตนหนึ่งของเขาจึงได้ทำข้อตกลงกัน
โดยปกติแล้วเหวินเสี่ยวจะเป็นฝ่ายควบคุมร่าง ยกเว้นในกรณีของการต่อสู้ที่เขาไม่สามารถรับมือได้ตัวตนแห่งความมืดจะเข้าครอบงำร่างกายของเขาชั่วคราว
ซึ่งอีกตัวตนหนึ่งก็ตกลงเห็นด้วย
เพราะตอนนั้นจิตของเขายังอ่อนแอเกินไปในระดับที่ เหวินเสี่ยวสามารถกำจัดเขาทิ้งได้อย่างง่ายดาย
แต่ด้วยการเติบโตของจิตด้านมืดที่ค่อยๆพัฒนาขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปจิตด้านมืดก็สามารถแข่งขันชิงอำนาจควบคุมกับจิตสำนึกหลักได้ จนในบางครั้งเขานั้นสามารถควบคุมร่างกายของเหวินเสี่ยวได้ตามใจชอบ
จนในที่สุดเหวินเสี่ยวก็ตัดสินใจได้
ไม่มีพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งแล้วมันจะทำไม ? ยังไงเขาก็จะยอมปล่อยให้จิตด้านมืดปรากฏตัวขึ้นมาอีกไม่ได้