บทที่ 320 การเผยมหาสมบัติ
บทที่ 320
การเผยมหาสมบัติ
ลั่วอู๋คุยกับหวังฉีและเซาฉางเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
“พวกเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?” เซาฉาง รู้สึกงงงวย เขาพบกับลั่วอู๋ครั้งแรกที่สำนักเฉียนหลง ตอนนั้น ลั่วอู๋ยังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรด้วยซ้ำ
เจ้าอ้วนหวังฉีไปสนิทกับลั่วอู๋ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หวังฉีหัวเราะออกมา “ข้าเร็วกว่าเจ้ามาก ข้ารู้จักเขาตั้งแต่ในตอนแรกเริ่มที่น้องชายลั่วถูกทางตระกูลลั่วเนรเทศส่งไปยังเมืองแห่งความพินาศในเขตหวงชา เพราะเขาไม่มีความสามารถในการฝึกฝนพลังวิญญาณ นอกจากนี้ร้านค้าในตอนนั้นของเขาเองก็ยังไม่ได้ถูกเรียกว่าสำนักโล่พิทักษ์ด้วยซ้ำ ตอนนั้นแม้แต่เครื่องชั่งที่ใช้ก็แย่อยู่เลย”
“เจ้าพูดจริงหรือมั่วกันแน่เนี่ย!” เซาฉางตะลึง
ไม่มีความสามารถในการฝึกฝนพลังวิญญาณเนี่ยนะ?
เขาต้องล้อกันเล่นแน่ ๆ ลั่วอู๋เป็นถึงอันดับหนึ่งของรายชื่อเฉียนหลงเลยนะ
ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ ที่ท่านหวังฉีกล่าวนั้นเป็นความจริง ข้าทำเงินได้มากมายจากการขายนกกางเขนทรายชุดหนึ่งให้กับเขา”
เซาฉางมองไปที่หวังฉีอย่างประหลาดใจ “นกกางเขนทรายเหล่านั้นของเจ้า มีที่มาแบบนี้เองหรอกหรือ?”
“ใช่ ถึงข้าไม่ได้คาดหวังไว้ว่าจะเจอเขาก็เถอะ” หวังฉียิ้มอย่างมีชัย
พื้นที่เขตหวงชาตั้งอยู่บนปลายขอบของจักรวรรดิราชวงศ์มังกรเร้นกาย และไม่มีสาขาใด ๆ ของคฤหาสน์ชวนเทียนอยู่ที่นั่นเลย ตามหลักแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะได้เจอกัน
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” ลั่วอู๋อยากรู้อยากเห็น
เซาฉางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยิ้ม “น้องชายลั่ว เจ้าคงไม่รู้สินะ ว่าเขาได้มอบนกกางเขนทรายที่แสนวิเศษ เหล่านั้นให้กับทางคฤหาสน์ขององค์ชายเฉิน นอกจากนี้ยังให้นกกางเขนทรายเหล่านั้นร้องเพลงในงานเลี้ยงของทางพระราชวังอีก ทำให้แขกในงานต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ทุกคนต่างปลื้มปีติและองค์ชายเองก็มีความสุขมากในวันนั้น ใบหน้าของท่านเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อนเลยจริง ๆ ”
“บุคคลสำคัญหลายคนต้องการเลี้ยงนกกางเขนทรายแบบเดียวกันหลังจากได้ยินเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายที่แม้พวกเขาจะหาพวกมันพบ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำแบบเดียวกันสำเร็จ เพราะทันทีที่พวกมันออกมาจากทะเลทรายแล้ว พวกมันก็ไม่สามารถที่จะร้องเพลงหรือมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก เพลงในงานเลี้ยงของนกกางเขนทรายจึงได้กลายเป็น บทเพลงที่เป็นเอกลักษณ์มีเฉพาะในพระราชวังเท่านั้น และไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีก ”
หลายคนได้เดินทางมาติดต่อสอบถามที่คฤหาสน์ชวนเทียน เกี่ยวกับวิธีการปรับแต่งนกกางเขนทรายดังกล่าว น่าเสียดายที่หวังฉีไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมบอกแต่เขาไม่รู้วิธี เขาไม่รู้เบื้องหลังเกี่ยวกับวิธีการปรับแต่งเลี้ยงดูนกกางเขนทรายเหล่านี้ให้มันมีความสามารถในการปรับตัวและมีสภาพร่างกายอันแข็งแกร่ง
ลั่วอู๋ยิ้ม
ตอนนี้สำนักโล่พิทักษ์ เลิกขายนกกางเขนทรายไปแล้ว และลั่วอู๋เองก็จะไม่เสียเวลาไปกับการปรับแต่งนกกางเขนทรายอีกแน่ ๆ
เซาฉางมองไปที่หวังฉี “เจ้าโชคดีมากรู้ไหม ที่เจ้าสามารถพบสมบัติเช่นพวกมันได้ทั้ง ๆ ที่เจ้าไปยังสถานที่อันธุระกันดารอย่างเขตหวงชา”
“นั่นคือพรสวรรค์ของข้า หวังฉีข้ามีสายตาที่ดีสำหรับไข่มุกอันมีค่าเสมอ” หวังฉีกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
สิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับสมบัติไม่เพียงหมายถึงนกกางเขนทรายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลั่วอู๋อีกด้วย
ขณะเดียวกันนั้นอาฟูได้เดินกลับมาหาลั่วอู๋ในสภาพเศร้าสร้อยคอตก
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้ไปเจรจาจัดการธุรกิจกับตัวแทนร้านค้าอย่างนั้นเหรอ?”
อาฟูแสดงสีหน้าหงุดหงิดและเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
ลั่วอู๋ไม่ได้โง่ เขาเข้าใจถึงปมต้นกำเนิดของปัญหาในทันที
ดูเหมือนว่า “สิทธิพิเศษ” ของพวกเขา จะทำให้ทุกคนต่างเกิดความเกลียดชังร่วมกันมาที่สำนักโล่พิทักษ์
“ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” เซาฉางกล่าว
เซาฉางได้อธิบายกับเหล่าตัวแทนของร้านค้าใหญ่ ๆ ว่าสำนักโล่พิทักษ์ ได้มีการติดต่อทางธุรกิจกับคฤหาสน์ชวนเทียนมาช้านานแล้ว และได้จัดหาของขวัญให้กับทางคฤหาสน์ขององค์ชายเล็ก ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเข้าไปในพระราชวังได้พร้อม ๆ กับทุกคนผ่านทางคฤหาสน์ชวนเทียน
ต่อมาเนื่องจากคนงานทุกคนของคฤหาสน์ชวนเทียน ได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องนี้ จึงเป็นธรรมดาที่เหล่าตัวแทนร้านค้าจะไม่แสดงท่าทีอารมณ์เสียและประพฤติตัวเป็นปรปักษ์ให้เห็นหลังจากที่ได้ทราบเรื่อง
ทุกคนต่างเก็บความไม่พอใจที่มีไว้ในใจ
เนื่องจากสุดท้ายแล้วทางสำนักโล่พิทักษ์ก็ยังไม่ได้มอบของขวัญใด ๆ จึงเป็นการ “ใช้เส้นสายจากความสัมพันธ์” เพื่อเข้าไปสู่พระราชวังพร้อมกับพวกเขา
ตอนนี้ เซาฉาง จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ดูเหมือนว่าเขาจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองเพียงลำพังไม่ได้
“ในเมื่อพวกเขาน่าจะมีทางติดต่อกับองค์ชายเล็กได้ พวกเราก็ควรจะให้สำนักโล่พิทักษ์ไปกับทางตำหนักขององค์ชายเล็กไม่ใช่หรือ?” ชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดเคราคนหนึ่งพูดขึ้น
“ท่านคือ … ” ตัวแทนร้านค้าพูดด้วยเสียงต่ำ
เซาฉาง ขมวดคิ้ว
นี่น่าจะเป็นปัญหาเสียแล้ว
ชายเคราแพะคนนี้มีชื่อว่าฉูเทียนเค่อเป็นหนึ่งในเก้าผู้บริหารของคฤหาสน์ชวนเทียน เขามักจะมีความขัดแย้งกับเซาฉาง และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ๆ ทั่วไป
ในคฤหาสน์ชวนเทียนนั้นมีกลุ่มอำนาจแยกออกเป็นหลายกลุ่ม
เซาฉางไม่ได้กลัวอีกฝ่าย แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสำหรับการโต้เถียง นอกจากนี้เหล่าตัวแทนของร้านค้ารายใหญ่เองก็ยังยืนอยู่อีกข้างเดียวกับอีกฝั่งอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรรึเปล่าเซาฉาง ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ในสภาวะที่ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยนะ เจ้าคงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักโล่พิทักษ์ล่ะสิ” ฉูเทียนเค่อกล่าวอย่างแผ่วเบา “แต่ข้าก็อยากจะย้ำเตือนเจ้าว่ากฎก็ต้องเป็นกฎ คงจะเป็นการดีหากเจ้าจะไม่ทำลายกฏของพวกเราตามความประสงค์ของตัวเอง”
ด้วยประโยคง่ายๆ นี้ตัวแทนของร้านค้าใหญ่ทั้งหมดต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับเขาอย่างต่อเนื่องและพึงพอใจกับความยุติธรรมของฉูเทียนเค่อ
เซาฉางตอนนี้ได้ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริง ๆ เสียแล้ว
ลั่วอู๋ ส่ายหัวและเดินออกไป “ไม่ใช่ ท่านเซาฉางหรอกที่แหกกฎของการประชุมมอบของขวัญ แต่ของขวัญที่ข้าจะเสนอนั้นมันสำคัญเกินกว่าจะเปิดเผยให้คนอื่น ๆ รู้ได้”
คำพูดนี้ของลั่วอู๋ช่วยลดความกดดันของเซาฉางลงได้ แต่มันกลับทำให้ความกดดันทั้งหมดตกลงเน้นไปทางลั่วอู๋แทน
เหล่าผู้แทนร้านค้าต่างยิ่งไม่พอใจกว่าเดิม
เขากำลังจะบอกว่าของขวัญของพวกเราไม่สำคัญอย่างนั้นเหรอ? พวกเจ้าปฏิบัติต่อพวกเราแตกต่างกันอย่างไร ?
แม้แต่ความสนใจของผู้บริหารสูงสุดทั้งสามคนก็ยังก็เปลี่ยนไป แต่พวกเขามีสิ่งที่สำคัญกว่าที่ต้องไปทำและจะไม่มามัวเสียเวลาสนใจแก้ไขเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
ฉูเทียนเค่อหัวเราะ “งั้นเหรอ ทำไมข้าไม่เห็นจะได้รับข้อมูลอะไรเลย ? ดูเหมือนว่ากระบวนการรักษาความลับของพวกเจ้าจะทำได้ดีมากเลยจริง ๆ”
ผู้บริหารทั้งเก้าคนเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของคฤหาสน์ชวนเทียน
นี่ทำให้เหล่าตัวแทนร้านค้าอดสงสัยไม่ได้
“ถ้าแม้แต่ท่านฉูเทียนเค่อยังไม่รู้เรื่องนี้ บางทีเจ้าอาจจะแค่กำลังสร้างเรื่องขึ้นมาก็ได้” หนึ่งในตัวแทนร้านค้ากล่าว
สายตาของผู้คนต่างจดจ้องไปที่ลั่วอู๋
ลั่วอู๋ยิ้มอย่างไม่แยแส “เนื่องจากทุกคนดูจะไม่เชื่อข้า ดังนั้นเพื่อที่จะพิสูจน์ให้พวกท่านเห็น ข้าจะไม่ซ่อนมันอีกต่อไป”
หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็หันมือของเขาออก เผยให้เห็นผลไม้สีม่วงเข้ม 10 ผลในมือของเขาพร้อมแสงสีแดงจาง ๆ และหมอกสีขาวละเอียดห่อหุ้มพวกมันอยู่
เหล่าตัวแทนร้านค้ามองไปมันอย่างอยากรู้อยากเห็น ผลไม้พวกนี้มันคืออะไรกัน?
ฉูเทียนเค่อถึงกับตกตะลึง “โฉวหยวนกัว!”
หลายคนยังคงงงงวยว่ามันคืออะไร
“อะไรนะโฉวหยวนกัวงั้นเหรอ ?” เสียงหนาดังขึ้นมา จากนั้นชายชราในชุดคลุมสีเทาก็ปรากฏตัวขึ้น เขามองไปที่วัตถุวิญญาณในมือของลั่วอู๋ด้วยความตกใจ “มันคือโฉวหยวนกัวจริงๆด้วย”
ชายคนนี้เป็นหนึ่งในสามผู้บริหารสูงสุดของคฤหาสน์ชวนเทียน เฟ่ยเฉียนเทา
เหล่าตัวแทนร้านค้าต่างกล่าวเคารพทักทายเขาในทันที
ผู้บริหารเฟ่ยเฉียนเทาคนนี้เป็นบุคคลสำคัญในโลกธุรกิจ เขามีวิธีการบริหารจัดการที่ไม่ธรรมดา ว่ากันว่าสามารถเปลี่ยนหินให้เป็นทองและเปลี่ยนขยะให้เป็นสมบัติได้ เขาจึงได้รับความเคารพอย่างสูง
“สภาพของมันดูยอดเยี่ยมมาก มันไม่ใช่ผลไม้ โฉวหยวนกัวธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน มันน่าจะได้ดูดซับแก่นแท้จากต้นไม้โบราณมาเป็นเวลานานเลยทีเดียว” เฟ่ยเฉียนเทายืนยัน
ลั่วอู๋ มองกลับไปที่ เฟ่ยเฉียนเทา
เขาคนนี้มีความรู้มาก อีกฝ่ายนั้นรู้ว่าโฉวหยวนกัวจะดูดซับพลังวิญญาณของต้นไม้โบราณ น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าผลไม้โฉวหยวนกัวจะกลายเป็นผลไม้ลึกลับเมื่อมันได้ซึมซับจนถึงขีดสุด
บางคนถามอย่างระมัดระวังว่าโฉวหยวนกัวคืออะไร ซึ่งเซาฉางก็ได้อธิบายว่ามันคืออะไร
ผู้คนต่างตระหนักได้ว่ามันเป็นมหาสมบัติที่มีความสามารถในการยืดอายุไข มันเป็นของขวัญที่ดีมาก
ผู้บริหารเฟ่ยเฉียนเทากล่าวขึ้นว่า “ถ้าเขามีมันเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นก็สามารถถือได้ว่าเป็นของล้ำค่าแล้ว แต่นี่เขามีมันเป็นจำนวนมากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นมหาสมบัติเลยด้วยซ้ำ!”
เนื่องจาก โฉวหยวนกัว สามารถใช้ผลของมันได้หลายครั้ง ยิ่งมีปริมาณมากเท่าไรก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าผลของมันจะค่อยๆลดลง แต่มันก็ยังคงมีผลในการยืดอายุไขอยู่ดี
เมื่อกำลังจะต้องตาย หากจะสามารถยืดอายุได้นานกว่าเดิมเพียงสิบวัน หลายคนก็คงพร้อมที่จะสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อแลกกับโอกาสนั้น
“ข้าไม่เคยเห็นโฉวหยวนกัวที่ดีขนาดนี้มาก่อน ข้าเดาว่ามันคงสามารถยืดอายุได้อย่างน้อยสามถึงสี่ปีและถ้านับเพิ่มจำนวนทั้งหมดนี้ ก็คงสามารถยืดอายุของผู้ใช้ได้ถึง 25 ปีเลยทีเดียว”เฟ่ยเฉียนเทากล่าว
ผู้คนต่างตกใจ
ยาและวัตถุพลังวิญญาณที่สามารถยืดอายุไขได้ล้วนเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง เมื่อพวกมันถูกนำออกมาพวกมันก็มักจะถูกปล้น และแน่นอนว่าพวกมันส่วนมากมักใช้งานได้เพียงแค่ครั้งเดียว
มันสามารถยืดอายุได้ถึง 25 ปีและยังมีผลได้อีกหลายครั้งเลยงั้นเหรอ?
ผลไม้นี้สมควรได้รับฉายามหาสมบัติเลยจริงๆ