บทที่ 324 กองกำลังทั้งสาม
บทที่ 324
กองกำลังทั้งสาม
แม้ต้องเผชิญกับการพูดประชดประชันดูถูกเช่นนี้ แต่ลั่วอู๋กลับไม่ได้รู้สึกอะไรมาก
อย่างไรก็ตามตัวแทนจากร้านค้าต่าง ๆ กลับเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เพราะคำพูดของหลี่ชวนเฉิงเต็มไปด้วยคำพูดดูถูกและเหยียดหยามเหล่าตัวแทนร้านค้า
ชนชั้นพ่อค้ามักถูกดูหมิ่นเมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางและตระกูลใหญ่ ๆ
นอกจากนี้พวกเขาหลายคนได้ตกลงที่จะให้ความร่วมมือกับสำนักโล่พิทักษ์ อารมณ์พวกเขาย่อมมีความเห็นเอนเอียงไปทางสำนักโล่พิทักษ์
“สำนักโล่พิทักษ์จะเปิดสาขาใหม่ตั้งหลักในเมืองหลวงของจักรวรรดิในไม่ช้า แต่ไม่จำเป็นจะต้องให้เจ้าดูแลหรอก” ลั่วอู๋กล่าวเบา ๆ
หลี่ชวนเฉิงตะคอก “เจ้าของร้านลั่วคิดจะดูถูกข้ารึยังไง เจ้าคิดว่าข้าไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะดูแลเจ้าหรือไม่มีคุณสมบัติอย่างนั้นเหรอ?”
นี่เป็นการพูดที่ค่อนไปในเชิงข่มขู่
ไม่ว่าเขาจะตอบกลับไปแบบนั้น เขาก็จะต้องทำให้ทางกลุ่มพิงหนานขุ่นเคือง
ลั่วอู๋เลิกคิ้ว
ลั่วอู๋รู้สึกว่ารู้สึกผิดเล็กน้อยที่เคยโกงอีกฝ่ายไปในอดีตเขาจึงไม่ถือสาอะไรมากในตอนแรก
แต่ในเมื่อเขายืนกรานที่จะหักหน้าลั่วอู๋เช่นนี้ ลั่วอู๋ก็จะไม่มีการปรานีอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามก่อนที่ลั่วอู๋จะได้พูดอะไรออกมา หวังฉีและเซาฉางก็เดินออกมาข้างหน้า
หวังฉีนั้นยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นเคย “สำนักโล่พิทักษ์ได้มีสัญญาความร่วมมืออย่างใกล้ชิดแน่นแฟ้นกับคฤหาสน์ชวนเทียนของเราแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการความสูงส่งของท่านเพื่อดูแลพวกเขา”
“มันเป็นเรื่องจริง สำนักโล่พิทักษ์นั้นมีความสามารถเพียงพอ พวกเขาไม่ต้องการการดูแลคุ้มครองจากกองกำลังใด ๆทั้งนั้น ” เซาฉางเองก็ออกมาพูดเสริมความสำคัญให้กับสำนักโล่พิทักษ์ให้สูงขึ้นไปอีก
หลี่ชวนเฉิง รู้สึกประหลาดใจ
ลั่วอู๋รู้จักผู้บริหารสองในเก้าคนของคฤหาสน์ชวนเทียนด้วยอย่างนั้นเหรอ ? พวกเขาทั้งคู่ตรงนี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ โดยทั่วไปแล้วคงจะเป็นการดีกว่าหากไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขาทั้งสองคน
สองคนนี้ถึงกับออกหน้ารับแทนให้กับลั่วอู๋?
เรื่องแบบนี้มันเกิดได้ยังไง?
หากความขัดแย้งเกิดขึ้นจนถึงขั้นที่คฤหาสน์ชวนเทียนต้องออกมาข้างหน้าเช่นนี้ คงไม่พ้นที่หลี่ชวนเฉิงจะต้องถูกกักบริเวณโดยบิดาของเขาอีกรอบแน่
ขณะเดียวกันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “หลี่ชวนเฉิง ลั่วอู๋เขาเป็นเพื่อนของข้า อย่าได้ทำให้เขาอับอาย”
สายตาของผู้คนถูกดึงดูดไปยังต้นเสียงในทันที
เพราะเสียงนั้นดังมาจากรถม้า ซึ่งเป็นของกลุ่มคฤหาสน์องค์ชาย
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่ามีองค์ชายเพียงองค์เดียวในราชวงศ์มังกรเร้นกายนั่นคือองค์ชายเฉิน ซึ่งมีมารดาเดียวกันและเปรียบเสมือนเป็นน้องชายขององค์จักรพรรดิ ในแง่ของสถานะและศักดิ์ศรีแล้วองค์ชายเฉินเป็นรองเพียงแค่องค์จักรพรรดิ
แม้ในรถม้านั้นจะไม่ใช่องค์ชายเฉิน แต่ก็เป็นบุตรชายคนเดียวขององค์ชายเฉิน หลี่ซวนซงผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นองค์ชายเล็กที่มีสถานะที่สูงกว่าคนธรรมดามาก
นอกเหนือจากองค์หญิงเจียโรว องค์หญิงที่องค์จักรพรรดิโปรดปรานที่สุดแล้ว ความสูงส่งของเขาถือว่าสูงส่งที่สุดแล้วในบรรดาคนรุ่นใหม่ของราชวงศ์
องค์ชายอื่น ๆ ไม่มีทางเทียบกับเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเล็กไม่ใช่คนขี้เกียจรักสบาย แต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นยอด ที่มีพรสวรรค์ในด้านการเมืองการปกครองและอื่น ๆ อีกมากมาย เขาแค่ไม่อยากจะฝึกฝนพลังวิญญาณ
เขามีเพื่อนพ้องและสายสัมพันธ์อิทธิพลอันหลากหลาย เนื่องจากเขาเต็มใจที่จะปรับตัวสร้างมิตรไมตรีกับทุกสาขาอาชีพ ทำให้เขามีชื่อเสียงและสถานะอันยิ่งใหญ่ในทุกสาขาอาชีพ
จนเขาไม่ต้องพึ่งพาอำนาจและเงินของราชวงศ์อีก เขาดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมาเข้าร่วมกับตัวเอง ซึ่งไม่ใช่อะไรที่คนทั่ว ๆ ไปจะสามารถทำได้
ใบหน้าของ หลี่ชวนเฉิง มีอาการวูบลงเล็กน้อย
ตั้งแต่ในวัยเด็กจนถึงตอนนี้ เขาเกรงกลัวลูกพี่ลูกน้องคนนี้มากที่สุด
สถานะในทุก ๆ ด้านของเขาต่ำกว่าอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ศรีหรืออิทธิพล อีกฝ่ายนั้นทิ้งห่างตัวเขาไปไกลไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ทุกคนต่างประหลาดใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าองค์ชายเล็กจะเป็นเพื่อนของลั่วอู๋
หลี่ชวนเฉิงพยายามทำจิตใจของเขาให้มั่นคง จากนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้รถม้าแล้วกระซิบว่า “ลูกพี่ลูกน้องของข้า เขาเป็นเพียงแค่เจ้าของร้านค้าเล็ก ๆ เองนะ ”
“หืม ? อย่างี่เง่าไปเลยน่า ต่อให้เขาเป็นแค่เจ้าของร้านค้าเล็ก ๆ เจ้าก็ไม่ควรไปทำแบบนี้กับเขาอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?” หลี่ซวนซงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
หัวใจของหลี่ชวนเฉิงสั่นสะท้าน “นั่นมันก็ … ”
“ เจ้าจะไปยั่วยุเขาแบบนี้ไม่ได้” องค์ชายเล็กกล่าวอย่างไม่แยแส
หลี่ชวนเฉิงก้มศีรษะลงอย่างไม่เต็มใจ
เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องพูดเช่นนั้น เขาก็ไม่อาจจะรบกวนอีกฝ่ายต่อไปได้อีก
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมลั่วอู๋ถึงเป็นตัวตนที่เขาไม่สามารถยั่วยุได้
หลี่ชวนเฉิง มองไปที่ ลั่วอู๋ ด้วยความเกลียดชังจากนั้นก็หันกลับไปที่รถม้าของเขา
หลายคนมองลั่วอู๋ด้วยสายตาแปลก ๆ สถานการณ์แบบนี้คืออะไรกัน? บุตรชายของคฤหาสน์องค์ชายรัชทายาทแห่ง พิงหนานยอมแพ้ไปแล้วจริง ๆ เหรอ
องค์ชายเล็กหัวเราะ “น้องชายลั่ว ดูท่าการไปกับกลุ่มของคฤหาสน์ชวนเทียนจะทำให้เจ้าต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำไมเจ้าไม่มานั่งที่รถของข้าล่ะ ข้าจะช่วยเจ้าแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้เอง ”
ทุกคนต่างประหลาดใจ
องค์ชายเล็กให้ความสำคัญกับลั่วอู๋มากเกินไปแล้ว
ลั่วอู๋ลังเล
คำพูดขององค์หญิงเจียโรวผุดขึ้นมาในใจของเขา ทำให้เขาก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำว่าเขาต้องการติดต่อกับนาง
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฝ่าบาท” จู่ ๆ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินออกมาพูดอย่างใจเย็น “ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเขา คราวนี้พวกเราตระกูลลั่วจะเป็นคนจัดการเอง”
ชายคนนี้คือผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลลั่ว ลั่ว ฮันเชียง
เบื้องหลังเขาคือกลุ่มของตระกูลลั่ว
ในฐานะร้านค้ารายใหญ่เช่นเดียวกันกับคฤหาสน์ ชวนเทียน ตระกูลลั่วเองก็เป็นอีกตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ดังนั้นพวกเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะเข้ามาในพระราชวังได้เช่นกัน
แต่ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในพระราชวัง พวกเขาก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“โอ้ ? ดูเหมือนว่าข้าจะเผลอยุ่งไม่เข้าเรื่องเสียแล้วสิ ในเมื่อทายาทของตระกูลลั่วมีปัญหา ข้าก็ไม่ควรที่จะเป็นคนเข้าไปแก้ไขมัน” องค์ชายเล็กหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ลั่ว ฮันเชียงมองไปที่ลั่วอู๋แล้วกล่าวว่า “กลุ่มตระกูลลั่วของพวกเราเพิ่งเข้ามาในพระราชวังได้ไม่นาน อย่างไรก็ตามไม่ว่าเจ้าอยากจะอยู่ในกลุ่มคฤหาสน์ชวนเทียนหรือกลุ่มไหน หากเจ้ามีปัญหาอะไร ทางกลุ่มตระกูลลั่วของเรานั้นพร้อมที่จะแก้ปัญหาให้เจ้าได้ทุกเมื่อ หากเจ้ามีความต้องการใด ๆ สามารถมาบอกข้าได้โดยตรง ”
ตระกูลลั่ว ยังคงไม่ละความพยายามที่จะผูกมิตรกับลั่วอู๋
ลั่วอู๋เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของ ลั่ว ฮันเชียง
เขามีความสุขมาก แม้ว่าลั่วอู๋จะยังคงปฏิเสธตระกูลลั่ว แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ต่อต้านความปรารถนาดีที่ตระกูลลั่วยื่นให้ นี่เป็นการพัฒนาที่ดี
ไม่ไกลออกไป หลี่ชวนเฉิง ได้เห็นเหตุการณ์นี้จากในรถม้าของเขา เขาได้แต่กัดฟันและเขย่าร่างของเขาไปมา
ลั่วอู๋ควรจะเป็นลูกชายที่เนรเทศออกมาจากตระกูลลั่วไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมลั่วอู๋ถึงได้ดูมีความสำคัญต่อตระกูลลั่วมากขนาดนั้นกัน? ถึงขั้นที่ผู้นำของตระกูลลั่วต้องออกมายื่นความช่วยเหลือให้กับลั่วอู๋เลยงั้นเหรอ!
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมลูกพี่ลูกน้องของเขา ถึงบอกว่าเขาไม่สามารถยั่วยุลั่วอู๋ได้ อีกฝ่ายนั้นคือตระกูลลั่ว
ส่วนเขาเป็นเพียงบุตรชายขององค์ชายรัชทายาทแห่งพิงหนาน แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะสูงกว่า แต่เมื่อพูดถึงอำนาจและอิทธิพลแล้ว มันก็ยังน้อยกว่าตระกูลลั่ว
ตัวแทนของร้านค้าต่าง ๆ ในกลุ่มของคฤหาสน์ชวนเทียน ต่างก็ตกใจเช่นกัน
นั่นคือตระกูลลั่วจริงๆเหรอ?
นี่จะบอกว่าเขา ซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลลั่ว กลับยืนยันที่จะใช้ฐานะเจ้าของร้านค้าเล็ก ๆ เพื่อเข้าวังไปพร้อมกับพวกเขา เขาทำแบบนี้ทำไม?
เขาคิดว่าตระกูลลั่วของเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่พระราชวังหรือยังไงกัน
โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ไปยั่วโมโหลั่วอู๋ มิฉะนั้นพวกเขาอาจจะโดนกวาดล้างธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่งไปพร้อม ๆ กันด้วยอิทธิพลของตระกูลลั่ว
พวกเขาเริ่มประเมินคุณค่าของสำนักโล่พิทักษ์ ในใจของพวกเขาใหม่ ตอนนี้มีสองร้านค้ายักษ์ใหญ่ อย่างคฤหาสน์ ชวนเทียน และ ศาลาไป่หยู่ ให้การสนับสนุนลั่วอู๋อยู่ เบื้องหลังของสำนักโล่พิทักษ์นั้นลึกเกินไป
ทันใดนั้น ลั่วอู๋ ก็กลายเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในลานจัตุรัสซวนวู
คฤหาสน์ชวนเทียน, องค์ชายเล็ก และ ตระกูลลั่ว เป็นสามกองกำลังที่สร้างจุดเริ่มต้นให้กับเขา นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ ลั่วอู๋คนนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน?
ดูเหมือนว่าจะไม่มีชื่อของเขาในบรรดาผู้มีพรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของจักรวรรดิ?
เขาเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจอย่างนั้นเหรอ? แต่สำนักโล่พิทักษ์ที่เขาเป็นเจ้าของอยู่เองก็ไม่ได้มีชื่อเสียงนี่นา ?
หลายคนต่างสับสน
ข่าวในสำนักเฉียนหลงแทบจะไม่ได้แพร่กระจายออกไป และเหล่าผู้มีอำนาจต่างก็มีเกียรติเกินกว่าจะเผยแพร่ข่าวซุบซิบ
ต่อให้พวกเขาจะพูดเรื่องนั้นกัน แต่ข่าวก็แทบจะไม่แพร่กระจายออกไปยังภายนอกเลย มันมักจะแพร่กระจายเพียงแค่ภายในแวดวงของสำนักเฉียนหลงเท่านั้น
ดังนั้นมีเพียงแค่ในตอนที่เขาได้ออกมาจากสำนัก เฉียนหลงเท่านั้น ผู้คนถึงจะได้รู้ว่าทำไมลั่วอู๋ถึงมีค่ามาก