บทที่ 333 รองเท้าเหินฟ้าเป็นที่นิยมในเมืองหลวง ของจักรวรรดิ
บทที่ 333
รองเท้าเหินฟ้าเป็นที่นิยมในเมืองหลวง ของจักรวรรดิ
ในมิติไห
ลั่วอู๋มีภูเขารองเท้าเหินฟ้าอยู่ตรงหน้าเขา
ประเมินด้วยสายตาคร่าวๆแล้วน่าจะมีประมาณ 12000 คู่
ลั่วอู๋ทำดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว
ทันทีที่พลังวิญญาณของเขาหมดลง เขาก็ไปนั่งสมาธิและฝึกฝนรวบรวมพลังวิญญาณ หลังจากฟื้นตัวแล้วเขาก็กลับไปสังเคราะห์รองเท้าต่อ
ความรู้สึกของใช้พลังวิญญาณจนถึงขีดสุดนั้นทรมานมาก แต่ก็เป็นผลดีต่อการฝึกฝนมิติวิญญาณ ช่วงวันที่ผ่านมานี้ลั่วอู๋จึงได้ประสบความสำเร็จในการทะลุไปถึงมิติวิญญาณระดับทอง มิติ 2
“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราลองเสริมความแข็งแกร่งให้กับรองเท้าเหินฟ้า?” ลั่วอู๋ตัดสินใจที่จะทดลองอะไรใหม่ ๆ ดู
ตามการสันนิษฐานของเขาเองลั่วอู๋ได้เลือกแร่วิญญาณคุณภาพสูงหลายชิ้นและนำมาสังเคราะห์กับรองเท้าเหินฟ้า
เนื่องจากพลังวิญญาณในรองเท้าเหินฟ้านั้นน้อยกว่าแร่วิญญาณชั้นดีเหล่านั้น หลังจากผ่านการพยายามสังเคราะห์หลายครั้ง รองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงก็ถูกสังเคราะห์ออกมา
รองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงนั้นมีความแข็งแรงกว่ารองเท้าเหินฟ้าปกติและทนต่อการสึกหรอได้ดีกว่ามาก
ยิ่งไปกว่านั้นมันสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ในปริมาณที่มากขึ้นและอัตราการใช้งานของมันก็สูงขึ้นมาก ดังนั้นผู้ที่ใช้มันจะสามารถบินได้สูงขึ้นและกระโดดไปได้ไกล หากสวมรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูง
“ไม่เลวเลยนี่นา” หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็ออกจากมิติไหไป
เขามอบรองเท้าให้กับคฤหาสน์ชวนเทียนโดยที่ฝากให้หวังฉีและเซาฉางช่วยเป็นผู้ค้าตัวแทนให้กับสำนัก โล่พิทักษ์ เพื่อเจรจากับกลุ่มร้านค้ารายใหญ่
นอกจากนี้เขายังมีรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงอีกจำนวน 50 คู่
ลั่วอู๋ ส่งมอบ 30 คู่ให้แบ่งไปตามร้านค้าหลัก ๆ ต่าง ๆ โดยประมาณว่าแต่ล่ะร้านค้าจะได้รองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงเพียงหนึ่งหรือสองคู่เท่านั้น
ลั่วอู๋ นั้นเป็นผู้จัดหาสินค้าและได้ตั้งราคาต้นของรองเท้าเหินฟ้า กำหนดไว้ที่ 5,000 หินวิญญาณ รองเท้าเหินฟ้าจำนวนมากนี้ทำให้เขาได้กำไรหลายสิบล้านมาในทันที
ส่วนรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงหนึ่งคู่นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ ราว ๆ หนึ่งแสนหินวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม ราคาที่เหล่าร้านค้ารายใหญ่เป็นคนกำหนดหลังจากที่ได้ซื้อรองเท้าไปแล้ว ลั่วอู๋นั้นไม่สามารถควบคุมได้
แม้จะมีราคาสูงก็ไม่ได้หมายความว่ามูลค่าของผลิตภัณฑ์จะคุณภาพสูงไปกว่าแบบธรรมดาหลายเท่าไปด้วย
แต่ของที่หายากย่อมมีค่าในสายตาของเหล่า “ผู้ดี” เนื่องจากพวกเขาหลายคนนั้นรังเกียจที่จะสวมรองเท้าเหินฟ้าแบบเดียวกับคนทั่ว ๆ ไป เงินที่จ่ายซื้อรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงล้วนเป็นเงินของบุคคลเหล่านี้
ยังมีรองเท้าเหินฟ้าคุณภาพสูงเหลืออีก 20 คู่ในสำนักโล่พิทักษ์ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความร่วมมือกันอย่างไร ลั่วอู๋ก็ควรจะรักษาข้อได้เปรียบเช่นพวกมันเอาไว้เพื่อดึงดูดลูกค้า
ซึ่งแน่นอนว่าร้านค้ารายใหญ่ต่างก็ได้รับคำชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รองเท้าเหินฟ้าชุดแรกไม่ควรจะมีมากจนเกินไป อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ควรขายมันในปริมาณมากเกินไป และควรเว้นช่วงให้สำหรับชุดที่สองซึ่งจะวางขายในเวลาอย่างน้อย ๆ ครึ่งปีต่อจากนี้
ร้านค้าที่ทราบข่าวต่างรู้สึกงงงวย เหตุผลเป็นเพราะการผลิตมันลำบากเกินไปหรือเปล่า?
แต่ที่จริงแล้วช่วงเวลาระหว่างสินค้าสองชุดนั้นไม่ควรจะนานถึงครึ่งปี
การเปิดตัวของรองเท้าเหินฟ้าอย่างเป็นทางการได้กระตุ้นความคลั่งไคล้ของผู้คนจากทั่วทั้งอาณาจักร ทุกคนต่างโหยหาสัมผัสของท้องฟ้า
เป็นผลให้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นราคาของรองเท้าเหินฟ้าก็พุ่งทะยานขึ้นจากเดิมที่อยู่ราว ๆ 8000 สูงขึ้นถึง 450000 หินวิญญาณ
และมีแนวโน้มว่าราคานั้นยังคงพุ่งสูงต่อไปได้อีกอย่างไม่มีหยุดนิ่ง
ถ้าปล่อยให้มีราคาสูงเพียงแค่ร้านสองร้าน ก็จะไม่มีกลไกราคาตลาด
อีกทั้งสินค้ายังมีจำนวนจำกัด และธุรกิจเองก็กำลังอยู่ในช่วงร้อนแรง ร้านค้ารายใหญ่นั้นไม่ได้โง่พวกเขาจึงเริ่มขึ้นราคาตามไปอย่างต่อเนื่อง
หลายคนล้มเลิกความคิดที่จะซื้อ เนื่องจากมันเหมือนกับการฉ้อโกง น่าเสียดายที่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องซื้อมัน
ราคานี้ถือว่าแพงไปมากสำหรับผู้ใช้พลังวิญญาณทั่วไป แต่ก็ยังมีหลายคนที่อยากได้รองเท้าเหินฟ้าเป็นของตัวเองสักคู่
ร้านค้าเหล่านั้นต่างเริ่มเข้าใจเจตนาของสำนักโล่พิทักษ์ พวกเขาต่างชื่นชมวิธีการของสำนักโล่พิทักษ์
หากมีสินค้าเพียงพอกับอุปทานราคาของรองเท้าเหินฟ้าคงไม่สามารถพุ่งสูงเกินจริงได้ถึงขนาดนี้แน่
ถ้าทุกคน “บินได้” การบินจะยังเป็นสิ่งพิเศษต่อไปได้อย่างไร? หากไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับการบิน ความต้องการของผู้คนต่อรองเท้าเหินฟ้าก็คงจะไม่สูงมากถึงขนาดนี้
ในช่วงเวลาหกเดือนหลังจากเปิดตัว ความต้องการของเหล่าผู้ที่ยังไม่มีรองเท้าเหินฟ้าจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆและถึงจุดสูงสุด หลังจากผ่านไปเป็นเวลาครึ่งปี
จากนั้นเมื่อไปถึงเวลาครึ่งปีตามกำหนด รองเท้าเหินฟ้าชุดใหม่ก็จะออกมา ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดความต้องการในการซื้อขายอย่างบ้าคลั่งและน่ากลัวอีกครั้ง
ราคามันสูง!
ราคาของพวกมันสูงมาก
ถ้าลั่วอู๋รู้ความคิดของเหล่าร้านค้า เขาคงจะไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาได้แน่
เขาไม่ได้ต้องการจะใช้การตลาดนี้เพื่อสนองความโลภ เขาแค่ไม่สามารถหาผลิตพวกมันได้จริงๆ เนื่องจากเขากำลังจะกลับไปที่สำนักเฉียนหลงในเร็ว ๆ นี้และกว่าจะได้กลับมาอีกในครึ่งปีให้หลัง
เสี่ยวชาพร้อมด้วยสินค้าและกำลังคนจำนวนมากได้เข้ามาที่เมืองหลวง หลิวหูเองก็ได้พาพี่น้องจากทีมคมมีดมาเป็นกลุ่มใหญ่ด้วย
จากนั้นบนถนนหย่งเก๋ามีการเปิดร้านใหม่ที่มีชื่อว่าสำนักโล่พิทักษ์ แม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็สามารถโอ้อวดได้ด้วยความเอิกเกริก
ร้านค้ารายใหญ่ทั้งหมดต่างส่งตัวแทนไปแสดงความยินดีให้กับสำนักโล่พิทักษ์ แม้แต่ทางคฤหาสน์ชวนเทียน และ ศาลาไป่หยู่ เองก็ส่งตัวแทนระดับสูงไปถึงสองคน
นี่ทำให้ทุกคนต่างตกใจ
เบื้องหลังของสำนักโล่พิทักษ์คืออะไรกันแน่?
ทำไมร้านค้าในเมืองหลวงมากกว่า 80% ถึงต้องส่งตัวแทนมาร่วมฉลองการเปิดตัวของร้านเล็ก ๆ ร้านนี้
ทันทีที่ได้เปิดตัวสำนักโล่พิทักษ์ก็มีชื่อเสียงดังว่อนไปทั่ว
อย่างไรก็ตามจะเปิดได้นานหรือไม่นั้นก็ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้าและการบริการของร้านค้า ซึ่งลั่วอู๋ก็ได้ฝากเรื่องเหล่านี้ให้อาฟูและเสี่ยวชาเป็นคนจัดการ
ด้วยที่พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับร้านค้ารายใหญ่ พวกเขาจึงสามารถหาแหล่งสินค้าที่ดีที่สุดได้ไม่ยาก ตอนนี้ที่สำนักโล่พิทักษ์ต้องการมีแค่การพัฒนาสะสมไปเรื่อย ๆ อย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตามลั่วอู๋นั้นไม่ได้เก็บหินวิญญาณนับสิบล้านที่เขาได้รับจากการขายรองเท้าเหินฟ้าไว้กับตัวเอง แต่ส่งไปเป็นเงินทุนให้กับสำนักโล่พิทักษ์
สำนักโล่พิทักษ์ได้ให้สิ่งดี ๆ กับ ลั่วอู๋ มากมาย
อย่างไรก็ตามสำนักโล่พิทักษ์ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ยังอยู่ในช่วงการพัฒนาและแม้ว่ามันจะมีพื้นฐานที่ดี แต่ก็อาจจะสามารถพัฒนาได้ช้า เนื่องจากมันอาจจะยังขาดเงินทุนเริ่มต้น ซึ่งลั่วอู๋ไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์นั้น
ลั่วอู๋เชื่อว่าเมื่อเขากลับมาในครั้งต่อไปสำนักโล่พิทักษ์จะทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้นกว่านี้
ในที่สุดเวลาพักหนึ่งเดือนก็มาถึงจุดจบ
ลั่วอู๋และหลี่หยินเตรียมที่จะเดินทางออกจากสำนักโล่พิทักษ์ไปยังสำนักเฉียนหลง
ก่อนที่จะออกไปลั่วอู๋ได้สั่งทิ้งท้ายไว้ว่า “จากนี้ไปตระกูลลั่วจะไม่มีความขัดแย้งกับพวกเราอีก และในอนาคตสำนักโล่พิทักษ์สาขาเมืองแห่งความพินาศจะกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง”
“ใช่แล้ว” ความตื่นเต้นเล็กน้อยแวบเข้ามาในสายตาของเขา
ถึงแม้ว่าธุรกิจขนาดเล็กของเขตหวงชาจะไม่คู่ควรกับสำนักโล่พิทักษ์อีกต่อไปแล้ว
แต่ที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับพวกเขาทุกคน และยังเป็นบ้านเกิดของเพื่อน ๆ หลายคน มันจึงความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา ที่จะได้กลับไปเปิดสำนักโล่พิทักษ์ในเขตหวงชาอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไปลั่วอู๋และหลี่หยินก็ได้มาถึงจุดรอที่กำหนดไว้สำหรับเข้าไปยังสำนักเฉียนหลง เมื่อทุกคนมากันครบแล้วทูตเฉียนหลงก็จะมารับตัวพวกเขากลับไปยังสำนัก
“ไม่รู้ว่าข้าจะได้เจอกับท่านเจ้าสำนัก หลังจากที่กลับไปถึงสำนักรึเปล่านะ” ลั่วอู๋มีความคาดหวังบางอย่างในใจ
เพราะมันคือรางวัลของเขาสำหรับการคว้าอันดับหนึ่งของรายชื่อเฉียนหลงได้สำเร็จ
ไม่ไกลนักลั่วอู๋เห็นฉูจงฉวนบินพุ่งมาที่นี่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความประหลาดใจ
ใช่แล้วเขากำลังบิน
เขากำลังสวมรองเท้าเหินฟ้าอยู่
แม้ว่า ฉูจงฉวน จะไปถึงมิติวิญญาณของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่เขาไม่มีสัตว์วิญญาณคู่พันธสัญญาที่มีความสามารถในการบิน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณได้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถบินได้อยู่ดี
แน่นอนว่าเขาความสามารถในการลอยตัวของภูตไฟ แต่ความสามารถในการลอยตัวนั้นก็แทบจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการบิน เพราะความเร็วของมันนั้นช้ามาก
“ข้ากลับมาแล้ว” ฉูจงฉวนบินมาหาลั่วอู๋ด้วยรอยยิ้ม
ลั่วอู๋มองไปที่ฉูจงฉวนอย่างสงสัยและพบว่ามีรอยแส้บนใบหน้าของเขา แม้ว่ามันจะเกือบหายดีแล้ว มันแต่ก็ยังคงมีร่องรอยตื้น ๆอยู่
“เจ้าถูกใครถูกทุบตีมางั้นเหรอ ?” ลั่วอู๋อยากรู้อยากเห็น
ใบหน้าอันยิ้มแย้มของฉูจงฉวนหยุดนิ่งไป สีหน้าของเขาดูแย่ลงในทันที ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงความทรงจำอันไม่พึงประสงค์ที่ไม่อยากจำขึ้นมาได้
จู่ๆลั่วอู๋ก็เหมือนจะนึกออกเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต
ก่อนหน้านี้ ฉูจงฉวน เคยกล่าวว่าเขาถูกผู้หญิงที่บ้าคลั่งคนหนึ่งปล้นเงินทั้งหมดของเขาไป
ตอนนั้นเองฉูจงฉวนก็มีรอยแส้บนใบหน้าและลำคอของเขา จากนั้นเขาก็นึกถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของ ฉูจงฉวน หลังจากที่เขาออกจากสำนักเฉียนหลงได้
ลั่วอู๋ มองดูเขาด้วยสายตาแปลก ๆ จ้องมองไปที่ฉูจงฉวน
“ไม่มีอะไรให้เจ้าดูซะหน่อย” ฉูจงฉวนรู้สึกถึงรอยแส้บนใบหน้าของเขา และเริ่มหายติดขัด “ข้าโดนอิจฉา เลยถูกทุบตีมันก็แค่นั้นแหละ เจ้าเข้าใจไหม?”
ลั่วอู๋ถาม “เจ้าเนี่ยนะโดนคนอิจฉา ? ข้าไม่เชื่อหรอก ข้าเดาว่าเจ้าคงถูกผู้หญิงทุบตีมา ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้หญิงบ้าคลั่งที่เจ้าเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ใช่ไหมล่ะ ?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ฉูจงฉวน ตกใจและโพล่งออกมา