บทที่ 337 ข้อตกลงในการใช้กระบวนท่าเพียงสามครั้ง (ตอนต่อ)
บทที่ 337
ข้อตกลงในการใช้กระบวนท่าเพียงสามครั้ง (ตอนต่อ)
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีในครั้งนี้ รูม่านตาของลั่วอู๋ก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว
ความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้เกินจริงเกินไป
ลั่วอู๋มีลางสังหรณ์ว่าต่อให้เป็นหยู่เฮาที่ใช้ขวานเหล็กแห่งความยุ่งเหยิงเหวี่ยงด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขา ก็คงจะไม่สามารถป้องกันการระเบิดพลังวิญญาณของเอ๋าเฉียนจุน ได้
เสียงสายฟ้าร้องคำรามทำให้แก้วหูของลั่วอู๋สั่นสะท้าน
เขารู้ว่าเขาไม่สามารถรับหมัดวายุสายฟ้าคำรนนี้ได้ด้วยตัวเองแน่
แม้ว่าตวนซีที่แปลงร่างเป็นภูตสงครามจะมีทักษะ “ร่างอมตะศักดิ์สิทธิ์จำลอง” แต่ลั่วอู๋ก็ยังไม่อยากตายด้วยเรื่องแบบนี้
เนื่องจากทักษะร่างอมตะศักดิ์สิทธิ์จำลองนั้นสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว แม้ว่าตวนซีจะกลายเป็นสัตว์วิญญาณอื่นที่มีทักษะนี้ มันก็จะสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวอยู่ดี
“เจ้าบังคับข้าให้ต้องทำแบบนี้เองนะ”
ลั่วอู๋ส่งเสียงคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทักษะระดับ S [ไฟทมิฬ] ถูกใช้งาน
เปลวไฟสีดำเข้าห่อหุ้มร่างของลั่วอู๋ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้หมายจะใช้มันโจมตีศัตรู แต่นี่เป็นวิธีการสำหรับปกปิดความลับของเขา
ด้วยวิธีนี้เงาที่อยู่เบื้องหลังลั่วอู๋นั้นจะไม่ถูกมองเห็นโดยบุคคลภายนอก
เงาขนาดใหญ่ของลิงยักษ์ไฟทมิฬค่อยๆปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ลั่วอู๋ ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงและทั่วทั้งร่างของเขาก็ลุกไหม้ไปด้วยไฟนรกพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ขณะเดียวกันร่างกายของลั่วอู๋ ใช้ทักษะจุดไฟแห่งการชำระล้าง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากการมีอยู่ของไฟทมิฬ คนนอกคงไม่มีทางคิดว่าไฟของลั่วอู๋ที่กำลังลุกไหม้นั้นแท้จริงแล้วคือไฟโลกันตร์
ใช้งาน ระดับ SS [พลังอันไร้เทียมทาน]
ลั่วอู๋รู้สึกได้ถึงพลังอันทรงพลัง ซึ่งจู่ ๆ ก็หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขา
ไม่ใช่แค่พลังที่ได้รับจากทักษะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังอันน่ากลัวที่เกิดจากการแปลงร่างเป็นลิงยักษ์ไฟทมิฬระดับเพชรของตวนซี
“ เข้ามาเลย” ดวงตาของลั่วอู๋แสดงถึงความบ้าคลั่งพร้อมกำหมัด
ทักษะระดับ s [หมัดสะท้านฟ้า]
ผู้คนต่างตกใจ ลั่วอู๋น่าจะบ้าไปแล้วแทนที่จะหลบหรือป้องกันแต่เขากลับเลือกที่จะชกกลับไปแทนเสียอย่างนั้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าหมัดของเอ๋าเฉียนจุนนั้นไม่ใช่อะไรที่สามารถปะทะตอบโต้ไปได้
เขาทำให้เอ๋าเฉียนจุนพอใจได้ในที่สุด
นี่แหละ
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไม่ในตอนนั้นเอ๋าเฉียนจุนถึงสัมผัสได้ถึงลมปราณแปลก ๆ ราวกับว่าลั่วอู๋ยังมีไพ่ตายบางอย่างซ่อนอยู่
เขาไม่อยากรู้ว่าด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายใช้สัตว์วิญญาณหรือวิชาแบบไหน เขาเพียงแค่ต้องการที่จะซัดหมัดที่แสนอร่อยนี้กลับไป
มาสู้กัน! มาสู้กันให้เต็มที่เถอะ!
“ตูมมม”
แผ่นดินสั่นสะเทือน
ท้องฟ้ามืดมนและน่ากลัว
คลื่นพลังวิญญาณขนาดใหญ่กระจายออกไปทั่วเวทีการประลอง แม้แต่อาจารย์ผู้สังเกตการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะต้องถอยกลับไป
จากนั้นคลื่นพลังวิญญาณก็ค่อยๆลดลง
ร่างกายของ เอ๋าเฉียนจุนสูญเสียการควบคุมเล็กน้อยและก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ผมของเขายุ่งเหยิงและมีร่องรอยของความตื่นเต้นอันบ้าคลั่งฉายผ่านแววตาที่มักจะไม่แยแสของเขา
กลับกันแล้วลั่วอู๋นั้นกำลังยืนนิ่งอย่างสงบ
ฝูงชนต่างตกตะลึง
กระบวนท่าที่สอง ลั่วอู๋ สามารถต้านและสวนกลับหมัดวายุสายฟ้าคำรนของเอ๋าเฉียนจุนได้ จนทำให้เอ๋าเฉียนจุนต้องก้าวถอยกลับไป นี่มันเป็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัวมาก
มีเพียงไม่กี่คนในสำนักเฉียนหลงเท่านั้นที่จะสามารถต้านทานหมัดวายุสายฟ้าคำรนของเอ๋าเฉียนจุนได้
ไม่ต้องพูดถึงลั่วอู๋ที่มีมิติวิญญาณห่างจากเอ๋าเฉียนจุนถึง 4 ขั้นเลย มันเป็นไปไม่ได้มาก ๆ
ฉูจงฉวนตกตะลึง
ลั่วอู๋ทำได้ยังไงกัน? เขาสามารถโจมตีอย่างดุเดือดแบบนี้ได้ยังไง
ทว่าลั่วอู๋ไม่ได้มีความสุขแต่อย่างได้
สมแล้วที่เป็นเอ๋าเฉียนจุน
เขากำลังได้เปรียบลั่วอู๋อยู่
ในขณะที่ลั่วอู๋ได้ใช้ไพ่ตายออกไป แต่ทางเอ๋าเฉียนจุนนั้นกลับยังไม่ได้เผยอะไรออกมาเลย
ไม่ว่าจะเป็นหมัดวายุสายฟ้าคำรนหรือฟ้าร้องร่างกายเห็นได้ชัดว่าเป็นทักษะของตั้กแตนวายุสายฟ้า
เขายังไม่สามารถบังคับให้เอ๋าเฉียนจุนใช้ทักษะของสัตว์วิญญาณตัวอื่น ๆ ได้เลย
“เหลือแค่การโจมตีครั้งที่สามแล้วสินะ” เอ๋าเฉียนจุนพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “เจ้าเก่งมาก เจ้าคู่ควรที่ได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า”
ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น
เอ๋าเฉียนจุนกำลังจะเอาจริงแล้วงั้นเหรอ?
เอ๋าเฉาและเอ๋าหยู่ อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นแต่ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้น พวกเขาพยายามบังคับให้เอ๋าเฉียนจุนแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงมานานแล้ว เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้รู้ว่าช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองกับเอ๋าเฉียนจุนห่างกันแค่ไหน
ร่องรอยแห่งความมุ่งมั่นฉายแววขึ้นมาในดวงตาของลั่วอู๋ การเอาจริงของอัจฉริยะที่ยากจะพบเจอในรอบหมื่นปี เขาต้องการที่จะเอาชนะลั่วอู๋ด้วยกระบวนท่าครั้งที่สามอย่างงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ
ไฟโลกันตร์ค่อยๆสลายไปจากร่างกายของเขา ลั่วอู๋ไม่ได้ยืมพลังของลิงไฟทมิฬอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาได้เห็นว่าสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นไม่ใช่ลิงไฟทมิฬแต่อย่างใด แต่เป็นลิงเผือกที่มีชื่อว่าบ้าสงคราม
ทันใดนั้นนัยน์ตาของลั่วอู๋ก็เปลี่ยนเป็นสีทอง
นี่คือนัยน์ตามายาของลิงเผือก
ทางด้านเอ๋าเฉียนจุน เขาได้ยื่นมือขวาออกมา จากนั้นมือของเขาก็ค่อยๆลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีขาว เปลวไฟนั้นพวยพุ่งออกไปทั่วพื้นที่โดยรอบอย่างไม่เสถียร
มันคือเพลิงขาว
แม้ว่ามันจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับไฟในตำนานอย่างเปลวไปแห่งนิพพานหรือไฟโลกันตร์ แต่ก็ยังดีกว่าไฟทมิฬและไฟแห่งความว่างเปล่า
มันเป็นไฟที่ลือกันว่ามีความหนาวเย็นถึงขั้นสุด
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสามารถควบคุมเปลวไฟชนิดนี้ได้
เปลวสีขาวนี้คือไพ่ตายของเอ๋าเฉียนจุนงั้นเหรอ?
และในเวลาต่อมาสิ่งที่ทำให้ผู้คนต่างตกใจก็เกิดขึ้น
“เจ้าอยากรู้ไหมว่าการใช้พลังวิญญาณในการต่อสู้จริงมันคือยังไง ” เอ๋าเฉียนจุนต่างเป็นเป้าสายตาของทุก ๆ คน “พลังสุดขีดสำหรับการต่อสู้น่ะมันคือแบบนี้”
เอ๋าเฉียนจุนจุดพลังวิญญาณในมือซ้ายของเขาด้วยพลังวิญญาณธาตุลมและสายฟ้า จากนั้นเขาก็รวบรวมพลังวิญญาณในมือทั้งสองข้างของเขาเข้าด้วยกันเปลวไฟสีขาวถูกรวมเข้ากับสายลมและสายฟ้า
จิตใจผู้คนที่ดูการประลองอยู่ต่างพลุ่งพล่าน
การหลอมรวมทักษะ
โอ้ พระเจ้ามีคนทำมันได้จริง ๆ
สีหน้าของลั่วอู๋จมดิ่งลง
การหลอมรวมทักษะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเป็นการผสมผสานระหว่างทักษะที่แตกต่างกันสองอย่างจนถึงแก่นของพลังวิญญาณ ซึ่งต้องใช้การควบคุมที่เชี่ยวชาญมากจึงจะทำได้
แม้แต่รองเจ้าสำนักหลี่หวู่หยวนก็ถอนหายใจที่ได้เห็นมัน
เขารู้ว่าเอ๋าเฉียนจุนมีความสามารถนี้ ตอนนี้เขาจึงได้แต่หวังว่าลั่วอู๋จะมีทักษะในการชุบชีวิตตัวเองสักครั้งเพื่อรอดจากอีกฝ่าย
“เข้ามาเลย”
เอ๋าเฉียนจุน ทุบหมัดของเขา
การรวมกันของหมัดวายุสายฟ้าคำรนและเพลิงขาวนั้นเต็มไปด้วยพลังวิญญาณของธาตุทั้งสาม ซึ่งทำให้พื้นที่เวทีทั้งหมดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และแสงสีขาวพราวก็ปกคลุมไปทั่วทั้งเวที
ลั่วอู๋จ้องมองไปที่พลังวิญญาณเหล่านั้น
นัยน์ตามายาสีทองของเขานั้นไม่เพียงแต่เต็มไปพลังวิญญาณ แต่ยังมีความสามารถในการตรวจจับคำโกหกได้อีกด้วยและยังรวมถึงความสามารถในการมองหาจุดอ่อนอีกด้วย
ทักษะระดับ SS [นัยน์ตาปีศาจ] ถูกใช้งาน
ลั่วอู๋กำลังมองหามัน
มองหาจุดอ่อนของพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาของเอ๋าเฉียนจุน
โชคดีที่พลังวิญญาณนี้มาจากการหลอมรวมทักษะเข้าด้วยกัน ดังนั้นมันจึงมีจุดอ่อนมากขึ้น หากเข้าพบจุดอ่อนนั้น เขาก็จะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
ขณะที่ความแข็งแกร่งทางจิตใจของลั่วอู๋กำลังจะถึงขีดจำกัด
ในที่สุดลั่วอู๋ก็เห็นมัน
ทักษะระดับ S [โทสะกระหายเลือด]
ทักษะระดับ SS [พลังอันไร้เทียมทาน] ถูกเปิดใช้งาน
ลมปราณของลั่วอู๋รุนแรงขึ้นไปพร้อมกับความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มขึ้น แม้แต่เส้นวงจรวิญญาณของเขาก็เริ่มพลุ่งพล่านและระเบิดพลังออกมา
ต่อมาลั่วอู๋ก็ใช้พลังวิญญาณเฮือกสุดท้ายของเขาจนหมดเพื่อร่ายทักษะระดับ s [คมเขี้ยวปีศาจ]
“จงทำลายมันแหลกไปเลย!”
กรงเล็บของปีศาจขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และจับไปที่จุดอ่อนของกระแสพลังวิญญาณนั้นส่งผลให้พลังวิญญาณอันน่ากลัวนั้นระเบิดออกในทันที
เสาไฟขนาดใหญ่ลอยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
กลุ่มเมฆดำจำนวนมากถูกพัดออกไปด้วยแรงระเบิดนี้
พายุพลังวิญญาณอันน่ากลัวพุ่งขึ้นไปจากเวที และเวทีการประลองทั้งหมดก็พังทลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยทั่วท้องฟ้า
กระบวนท่าครั้งที่สามนั้นได้ถูกทำลายลง
ลั่วอู๋หลับตาลงเล็กน้อยอย่างเจ็บปวด มีเลือดไหลรินออกจากดวงตาของเขาทั้งสองข้างอย่างช้าๆ ดูน่าสังเวช
เขาใช้นัยน์ตามายามากเกินไปและพลังวิญญาณในร่างก็หมดเกลี้ยง
ลั่วอู๋ไม่มีแรงพอที่จะสามารถต่อสู้ต่อไปได้อีกแล้ว
อีกด้านหนึ่งสถานะของเอ๋าเฉียนจุนเองก็เหนือความคาดหมายของหลาย ๆ คน เขามีสภาพมอมแมมและเต็มไปด้วยรอยเลือดราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ผู้คนทั่วทั้งสนามประลองต่างเดือดพล่าน
ลั่วอู๋ไม่เพียง แต่หยุดกระบวนท่าครั้งที่สามของ เอ๋าเฉียนจุนได้ แต่ยังสามารถสร้างความเสียหายกลับไปให้กับเขาได้อีกด้วย!
พระเจ้าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน
แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเฉียนหลงตอนนี้อย่างรองเจ้าสำนักหลี่หวู่หยวน ยังรู้สึกงงงวยอย่างยิ่ง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ลั่วอู๋เคลื่อนไหวแบบนั้นได้อย่างไร
มีเพียงลั่วอู๋เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาเป็นผู้ใช้นัยน์ตาของลิงเผือกในการวิเคราะห์จุดอ่อนของพลังวิญญาณที่ใช้โจมตีมาของคู่ต่อสู้ และทำลายจุดอ่อนนั้น
การโจมตีของเอ๋าเฉียนจุนได้ถูกระเบิดออก และทำให้ เอ๋าเฉียนจุน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการระเบิดได้รับความเสียหายอย่างมาก
จากสภาพในเวทีประลองมันดูเหมือนกับว่าลั่วอู๋จะชนะเนื่องจากเอ๋าเฉียนจุนได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่พลังวิญญาณของลั่วอู๋นั้นได้หมดลงแล้ว และเห็นได้ชัดว่าเอ๋าเฉียนจุนยังคงมีพลังเพียงพอที่จะสามารถต่อสู้ต่อไปได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์
เอ๋าเฉียนจุนฉีกเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งออกเผยให้เห็นร่างกายของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีแผลไหนที่เป็นบาดแผลสาหัส
“ดีมาก เจ้าสามารถรอดจากการโจมตีทั้งสามกระบวนของข้าได้”
ไม่ใช่ลั่วอู๋ที่ทำร้ายเอ๋าเฉียนจุน แต่เป็นตัวเขาเอง
แต่แน่นอนว่าเอ๋าเฉียนจุน ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดไปหรือไม่ เขาเพียงแค่หันกลับแล้วจากไปโดยไม่ได้พูดซ้ำซ้อนอะไรอีก
และการประลองก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุด