บทที่ 338 ทิศทางของการพัฒนา
บทที่ 338
ทิศทางของการพัฒนา
ช่วงเวลาการต่อสู้ระหว่างทั้งสองไม่ได้นานมากเท่าไหร่นัก
ในทันทีที่การต่อสู้ได้สิ้นสุดลง เอ๋าเฉียนจุนก็ได้เดินออกไปจากเวทีประลอง ทิ้งไว้เพียงแค่บรรยากาศที่ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เอ๋าเฉียนจุนได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นเหรอ?!
นับตั้งแต่ก่อนที่เอ๋าเฉียนจุนจะโด่งดังในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเคยได้ยินว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนเลย จนกระทั่งในการต่อสู้ครั้งนี้เขาถึงได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งแรก
ใบหน้าของสองพี่น้องตระกูลเอ๋ามีร่องรอยของความท้อแท้ปรากฏขึ้น
นี่น่ะหรือคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเอ๋าเฉียนจุน
มันยังไกลเกินไปมากสำหรับพวกเขา แม้ว่าเนตรทรราชชั่วร้ายทั้งสองจะรวมกันเป็นเนตรทรราชชั่วร้ายตาสองสี แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถจะรับมือกับพลังการหลอมรวมทักษะของ เอ๋าเฉียนจุนได้
รองเจ้าสำนักหลี่หวู่หยวนจ้องมองไปที่ลั่วอู๋ด้วยสายตาที่กำลังครุ่นคิด เขาสับสนมาก แต่ในระยะเวลาต่อมาเขาก็เริ่มรู้สึกเศร้าโศก
เหวินเสี่ยวรีบลุกขึ้นไปเป็นคนแรก แล้วรีบใช้ทักษะแสงศักดิ์สิทธิ์รักษาแผลให้กับลั่วอู๋
ลั่วอู๋รู้สึกว่าดวงตาของเขาไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อเปิดตาออกมา ดูเหมือนเขาจะเห็นเงาซ้อนกันอยู่ตรงหน้า ซึ่งทำให้เขาลำบากมากในการมองไปที่สิ่งต่างๆ
ผู้คนต่างมองไปที่ลั่วอู๋
คิดตามหลักข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้เพียงสามกระบวนท่าแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้ลั่วอู๋นั้นเป็นฝ่ายชนะ เขาไม่เพียงรอดจากกระบวนท่าทั้งสามครั้งของเอ๋าเฉียนจุนมาได้ แต่ยังสามารถสร้างความเสียหายให้กับเอ๋าเฉียนจุนได้อย่างรุนแรง
แม้ว่าความแข็งแกร่งของลั่วอู๋จะยังไม่เท่าเอ๋าเฉียนจุน แต่ยังไง ๆ ลั่วอู๋ ก็ชนะในการประลองครั้งนี้
เอ๋าเฉียนจุนเป็นฝ่ายแพ้
เขาผู้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ไร้เทียมทานในรุ่นของเขา ในที่สุดเขาคนนั้น เอ๋าเฉียนจุนก็ได้พ่ายแพ้เป็นครั้งแรก
หลายคนอดคิดไปไม่ได้
มิติวิญญาณในตอนนี้ของลั่วอู๋นั้นแย่กว่าเอ๋าเฉียนจุนมาก ถ้าเขาไปถึงในระดับมิติวิญญาณเดียวกันขึ้นมาจริงๆ มันคงจะเป็นการต่อสู้ที่สูสีกันมากแน่ ๆ
น่าเสียดายที่มันน่าจะเป็นอะไรที่หาดูได้ยาก
เพราะความเร็วในการฝึกฝนของเอ๋าเฉียนจุนนั้นเป็นอะไรที่ชัดเจนมากสำหรับทุกคน
ในขณะเดียวกันหลายคนก็เริ่มคิดถึงการต่อสู้ด้วยการหลอมรวมทักษะของเอ๋าเฉียนจุน
สิ่งที่ทุกคนมักจะคิดเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้ คือความเร็วในการตอบสนอง การโต้กลับที่สมเหตุสมผลและการใช้ทักษะที่แม่นยำ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นทักษะในการต่อสู้
แต่เอ๋าเฉียนจุนได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับพวกเขา
วิธีการต่อสู้แบบนี้เองก็มีอยู่เหมือนกัน
ลั่วอู๋สามารถรับกระบวนท่าสามครั้งของเอ๋าเฉียนจุนอีกทั้งยังทำให้เขาบาดเจ็บ ข่าวนี้ได้กระจายไปทั่วสำนักเฉียนหลงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนรู้ดีว่าอัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาดอีกตัวได้กำลังเพิ่มขึ้นมาแล้ว
เรื่องนี้ไปถึงหูผู้คนจากสำนักหม่าเฉินเช่นกัน และพวกเขาเองต่างก็ตกตะลึง
มันต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ ๆ
อัตราการเติบโตของลั่วอู๋ นั้นน่ากลัวมาก
หลังจากที่หยู่เฮาได้รู้ข่าวนี้ ดวงตาของเขาก็เกิดแรงผลักดันแห่งการต่อสู้อันแข็งแกร่งขึ้นมา “ข้าเองก็จะยอมแพ้พวกเขาไม่ได้ ใครก็ได้มาเป็นคู่ซ้อมให้ข้าหน่อย”
หลังจากนั้นเขาก็ลากคนที่แข็งแกร่งในหมู่พรรคพวกของเขาอย่าง จินฉันและเฉียนเหอออกไปและประมือต่อสู้กันตลอดทั้งคืน และแล้วในรุ่งสางของวันต่อมาก็เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บกระจัดกระจายไปทั่ว
……
……
การต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว
ลั่วอู๋กลับไปที่บ้านพักของเขาเพื่อฝึกฝนตนเอง เขากำลังสรุปผลประโยชน์ที่ได้รับจากการต่อสู้ในครั้งนี้
เขาต้องยอมรับก่อนเลยว่าเอ๋าเฉียนจุนนั้นแข็งแกร่งมาก
อีกฝ่ายนั้นน่ากลัวมาก
เขาสามารถกดดันลั่วอู๋ได้มากกว่าใคร ๆ และวิธีการต่อสู้ของเขาก็มีความหมายในทุก ๆ การเคลื่อนไหว
ในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับการหลอมรวมทักษะ สิ่งที่ลั่วอู๋ให้ความสำคัญก็คือ “หมัดวายุสายฟ้าคำรน” ของเอ๋าเฉียนจุน
ระดับของทักษะนี้ไม่ได้สูงเท่าไหร่ มันเป็นเพียงแค่ทักษะระดับ A
ลั่วอู๋ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่มีทักษะในระดับที่สูงกว่านี้ แต่เอ๋าเฉียนจุนนั้นเลือกใช้ทักษะนี้เป็นส่วนใหญ่
มันสามารถใช้ในการยิงอีกทั้งยังไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพลังของทักษะระดับ S
ที่สำคัญที่สุดก็คือทักษะนี้มีข้อดีคือ ระยะเวลาในการรวบรวมพลังงานที่สั้น ความเร็วในการร่ายที่เร็วและใช้พลังวิญญาณต่ำ ทำให้เขาสามารถโจมตีด้วยทักษะนี้ได้หลายครั้งอย่างต่อเนื่อง
นี่คือจุดเด่นที่น่ากลัวที่สุดของเอ๋าเฉียนจุน
ลั่วอู๋มีทักษะมากมายหลายอย่าง แต่ไม่มีทักษะใดเลยที่เขาเชี่ยวชาญได้ในระดับเดียวกับที่เอ๋าเฉียนจุนเชี่ยวชาญทักษะ หมัดวายุสายฟ้าคำรน
“อย่างนี้นี่เอง” ลั่วอู๋ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
เขาคิดว่าเขาได้มาถึงจุดสูงสุดของมิติวิญญาณนี้แล้ว แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขานั้นยังตื้นเกินไปมาก
โชคดีที่เขารู้ตัวทัน
ลั่วอู๋มีทักษะระดับ SS มากมาย แต่เขาไม่เคยเชี่ยวชาญมันเลยสักอัน
สาเหตุที่ อัญเชิญเทพเพลิงของ ฉูจงฉวน มีพลังมากกว่าทักษะของเขา เป็นเพราะลมหายใจมังกรของเขาอ่อนแอเกินไปงั้นเหรอ? ไม่ใช่เลย
เหตุผลนั้นง่ายมาก ฉูจงฉวนนั้นเชี่ยวชาญทักษะ อัญเชิญเทพเพลิง ได้ถึง 40% ดังนั้นเขาจึงสามารถเอาชนะสองพี่น้องตระกูลเอ๋า ได้ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนของสัตว์วิญญาณน้อยกว่า
ลั่วอู๋ได้พบทิศทางในการพัฒนาตัวเองของเขาแล้ว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งลั่วอู๋ก็เรียกตวนซีออกมา ตวนซีนั้นยังคงอยู่ในร่างของลิงเผือก
“กลับไปเป็นภูตสงครามหน่อยสิ” ลั่วอู๋ กล่าว
การคงสภาพการแปลงต้องอาศัยพลังวิญญาณ
หากมันเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์วิญญาณระดับเพชร เขาจะต้องจะเสียพลังวิญญาณเยอะกว่าการเปลี่ยนเป็นสัตว์วิญญาณระดับทองมาก
ดังนั้นมันควรจะเก็บไว้เป็นไพ่ตายเท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้โดยทั่วไป
ร่างกายของตวนซี บิดเบี้ยวไปชั่วขณะ จากนั้นทั้งร่างของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ มันมีปีกหกปีกที่หลัง และกลายเป็นภูตสงครามที่ถือดาบแห่งการพิพากษาไว้ในมือ
“มาเถอะมาลองใช้ทักษะ รวมพลเทวดากัน” ลั่วอู๋กล่าว
ระดับ SS [รวมพลเทวดา] ถูกใช้งาน
เสาแสงหกเสาก่อตัวขึ้นในทันที จากนั้นเสาแสงสีขาวก็พุ่งขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของภูตแห่งปัญญาที่ถือหนังสือสีทองเอาไว้ในมือและมีดวงตาอันลึกล้ำเหมือนทะเล
ภูตแห่งปัญญากล่าวทักทายลั่วอู๋อย่างสง่างาม
ปิดตาไว้ ปิดตาไว้
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้อัญเชิญภูตแห่งปัญญาออกมา เขาสามารถเรียกมันมาได้แต่ในระยะเวลาเพียง 15 วินาที หากเขาสามารถขยายเวลาตรงนี้ได้ พลังของทักษะนี้จะถูกยกระดับให้สูงขึ้นไปได้อย่างแน่นอน
……
……
ในไม่ช้าลั่วอู๋ก็สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงทางพลังวิญญาณอันเบาบางระหว่างตัวเขากับภูตแห่งปัญญา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเส้นสายเล็ก ๆ
ลั่วอู๋พยายามที่จะส่งพลังวิญญาณของเขาให้กับภูตแห่งปัญญาผ่านทางเส้นสายเล็กเหล่านั้น แต่ในเวลาต่อมาเส้นสายทั้งหมดก็ขาดลง
จากนั้นภูตแห่งปัญญาก็หายตัวไปในพริบตา
คราวนี้มันปรากฏตัวขึ้นมาได้เพียงเจ็ดวินาที
ลั่วอู๋เกาหัวของเขา “ ดูเหมือนว่ามันจะยากกว่าที่คิดแฮะ”
อย่างไรก็ตามทุกอย่างย่อมเป็นเรื่องยากในตอนแรก และลั่วอู๋ก็เข้าใจถึงเรื่องนี้ดี หลังจากนั้นลั่วอู๋จึงได้พยายามอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ภูตแห่งปัญญาหายตัวไปหลังจากผ่านไปเพียงแค่แปดวินาที
ไม่จริง ข้ายังไม่เชื่อ
ข้าจะฝึกต่อ
แม้ว่ามันจะมีค่าใช้จ่ายสูงมากในการร่ายทักษะ รวมพลเทวดาเพื่ออัญเชิญภูตแห่งปัญญา แต่ด้วยพลังวิญญาณของมิติไห มันก็เพียงพอที่จะทำให้ลั่วอู๋สามารถฟื้นตัวได้ในไม่ช้า
เวลาผ่านไปสามวันติดต่อกัน
ในที่สุดลั่วอู๋ก็ประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดพลังวิญญาณของตัวเองไปยังภูตแห่งปัญญาที่ถูกอัญเชิญมาผ่านทางเส้นสายพลังวิญญาณเล็ก ๆ เวลาคงอยู่ของภูตแห่งปัญญาจึงถูกขยายเป็น 30 วินาที
ระยะเวลาเพิ่มขึ้นมาถึงสองเท่า
ลั่วอู๋ สัมผัสได้ถึงอัตราการความเชี่ยวชาญในทักษะของเขาที่เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15%
มันถือว่าไม่เลวเลย มันดีขึ้นมามาก แต่ท้ายที่สุดแล้วเวลาก็ยังคงค่อนข้างสั้น
ความสามารถของภูตแห่งปัญญานั้นอยู่ในระดับเดียวกับภูตสงครามและภูตปีกแสง นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์วิญญาณประเภทภูตที่แข็งแกร่งที่สุดที่ ลั่วอู๋ สามารถเรียกได้ในตอนนี้
หากระดับความสำเร็จเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เขาอาจจะสามารถเรียกสัตว์วิญญาณประเภทภูตที่มีพลังมากกว่านี้ออกมาก็ได้
“ตึง ตึง ตึง!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอกอย่างรวดเร็วและน่ารำคาญ
เป็นการเคาะประตูค่อนข้างแรง จนเขาพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร
มีเพียง ฉูจงฉวน และ ฉูจงฉวน เท่านั้นที่สามารถเข้าและออกจากบ้านพักของ ลั่วอู๋ ได้โดยไม่เกรงใจตามที่เขาต้องการและกล้าที่จะเคาะประตูดังเช่นนี้
ลั่วอู๋ เปิดประตูอย่างไม่เต็มใจแล้วมองไปที่ ฉูจงฉวน “มีเรื่องอะไร ? ข้ากำลังบาดเจ็บและต้องการ การพักผ่อน เข้าใจไหม?”
“คลุกอยู่ในห้องแบบนี้ เจ้ามัวมาปรับแต่งสัตว์วิญญาณอะไรอยู่งั้นเหรอ ? เจ้ามีสัตว์วิญญาณที่ดีแล้วนี่นา” ใบหน้าของ ฉูจงฉวนดูตื่นเต้น “ท่านรองเจ้าสำนักกำลังเรียกพวกเราไปประชุม ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับเรื่องการฝึกอบรมในมิติ”
ตอนนี้เขากำลังคิดเรื่องการฝึกอบรมในมิติอยู่สินะ
ลั่วอู๋ตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะนึกขึ้นได้
ดูเหมือนว่ามีเพียงสิบอันดับแรกของอันดับรายชื่อ เฉียนหลงเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าร่วมการฝึกอบรมในมิตินี้ได้
ขอบคุณที่ใส่ใจกันนะ…