บทที่ 1
ไหทองแดงปริศนา
“แม้แต่วิญญาณระดับทองแดงเจ้าก็ยังไม่สามารถทำพันธสัญญาได้ คิดว่าตัวเองคู่ควรที่จะเป็นหนึ่งในตระกูลลั่วของเรางั้นหรือ?”
“เจ้าเป็นความอัปยศต่อตระกูลลั่วของเราโดยแท้”
……
……
คำถากถางดูถูกเหยียดหยามจากคนในตระกูลยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา
ลั่วอู๋ ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าราคาถูกนั้นกำลังรู้สึกสับสน
เขาฝันถึงความฝันอันยาวนานว่า ตัวเขานั้นอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพราะไหทองแดงหล่นจากฟ้าตกลงมาใส่ศีรษะของเขา
เหมือนกันกับตัวเขาในโลกความจริง ลั่วอู๋ ในความฝันของเขาเองนั้นก็มีรูปร่างแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ตามที่นี่คือโลก มิติวิญญาณ
ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝันถึงวันที่จะได้ทำพันธสัญญากับมิติวิญญาณ และกลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณ
ลั่วอู๋นั้นเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่ด้วยที่แม่ของเขาจากไปก่อนด้วยอาการป่วย เขาจึงกลับกลายมาเป็นสามัญชนอีกครั้ง
เขามักโดนดูถูกท้าทายและเป็นคนไม่มีสถานะ แม้แต่พ่อของเขาเองก็ยังจำเขาไม่ค่อยได้
เมื่อเขาอายุ 18 พิธีกรรมทางวิญญาณเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ก็ถูกจัดขึ้น
ทว่าลั่วอู๋ก็ยังคงไม่ได้แสดงศักยภาพทางพลังวิญญาณใด ๆ ออกมา แม้แต่วิญญาณหมาป่าระดับทองแดงที่ใช้ลากรถม้าและเป็นวิญญาณที่พบได้มากที่สุด แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำ พันธสัญญากับมันได้
เนื่องจากเขาไม่สามารถกลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณและไม่มีใครในตระกูลที่อยากจะสนับสนุนเขา เขาจึงถูกขับออกจากตระกูลตามที่ควรเป็น
ซึ่งตอนนี้เขากำลังเดินทางไปเมืองเล็ก ๆ แถวชายแดน เพื่อเปิดร้านค้าและขยายธุรกิจตระกูลของตัวเอง แม้ไม่สามารถเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณได้ แต่เขาก็ต้องหาทางทำคุณประโยชน์ให้แก่ตระกูล
ทุกคนในตระกูลต่างก็รู้ว่ามันคือการ “เนรเทศ” เขาไปโดยไร้เส้นสาย ไม่ต้องมีทุน ไม่ต้องมีคุณสมบัติและเป็นเพียงการขับไล่ไปยังชายแดน เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ กินอาหาร และตายไปแบบเงียบ ๆ
“นายน้อย ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ใส่ชุดสีเขียวข้าง ลั่วอู๋ นางไม่ได้แต่งหน้าแม้แต่น้อย แต่ใบหน้าเล็กๆ นั้นมีรูปทรงงดงาม
ชื่อของนางคือหลี่หยิน นางเป็นหญิงสาวข้ารับใช้คนสนิทของลั่วอู๋
จะอย่างไร พวกเขาก็คือคนของตระกูลลั่ว แม้ว่าพวกเขาจะถูกเนรเทศ แต่จะนำสาวใช้ของตนไปด้วย หลี่หยินเติบโตมากับลั่วอู๋และมีความภักดีต่อเขามาก
สาวน้อยในชุดสีเขียวคิดว่าลั่วอู๋ยังคงอยู่ในช่วงซึมเศร้า นางเป็นกังวลจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามเขา
ลั่วอู๋ตื่นขึ้นจากความฝันและส่ายหน้าเบาๆ
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่านายน้อยแล้ว ตอนนี้เรียกข้าด้วยชื่อเถอะ”
“ ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน?”
หลี่หยินกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ นายน้อย ท่านต้องมีที่ได้หวนคืนกลับไปแน่ ท่านจะต้องไม่ยอมแพ้ เลือดของท่านนั้นบริสุทธิ์ สักวันหนึ่งท่านจะต้องเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ได้แน่เจ้าค่ะ”
เลือดบริสุทธิ์
ลั่วอู๋ยิ้มอย่างเฝื่อน ๆ พลางจับเส้นผมสีเงินของเขา
บุตรและบุตรีของตระกูลลั่ว ทุกคนต่างก็มีผมสีเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสถานะ ถึงแม้จะเทียบกับตระกูลราชวงศ์มังกรเร้นกายทุกคนแล้ว ตระกูลลั่วยังถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ
เกือบทุกคนในตระกูลลั่ว ต่างก็เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณได้ทุกคน แต่ลั่วอู๋ กลับเป็นข้อยกเว้น
ลั่วอู๋มองไปที่ใบหน้าของหลี่หยิน นางทำให้เขาคิดได้
“หลี่หยิน เจ้ามั่นใจได้ว่านายของเจ้าจะต้องกลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ได้แน่ สักวันหนึ่งข้าจะพาเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วได้อย่างภาคภูมิใจ”
หลี่หยินพยักหน้าอย่างมีความสุข นางช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักและไร้เดียงสายิ่งนัก
ลั่วอู๋ ถอนหายใจในใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณ เขาไม่สามารถอยู่ในตระกูลลั่ว ได้ด้วยซ้ำ แถมยังถูกเนรเทศมายังชายแดนที่ไร้ผู้คนเหมือนเมืองร้างเสียอีก
“ลำบากกันหน่อยนะ ต้าหวง”
ลั่วอู๋มองสุนัขแก่ตัวสีเหลืองที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ เท้าของเขา
ลั่วอู๋เลี้ยงดูต้าหวงตั้งแต่มันยังเล็ก เรียกได้ว่าได้ว่าต้าหวงเป็นเพื่อนที่เขาสามารถเชื่อใจได้มากที่สุด
แต่ตอนนี้ต้าหวงนั้นมีอายุ 15 ปี มันแก่มากแล้ว ขนของมันไม่เรียบอีกต่อไป หางของมันเองก็โกร๋นล้านเลี่ยน และมีท่าทางเหนื่อยอ่อนอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะกระโดดอีกแล้ว
ตอนนี้มันต้องขึ้นรถม้าไปยังเมืองที่ห่างไกล มันจึงเหนื่อยมาก ดูเผินๆ แล้วเหมือนต้าหวงจะตายได้ตลอดเวลา
ดูเหมือนมันจะเข้าใจคำพูดของลั่วอู๋ ต้าหวงจึงลุกขึ้นและเลียฝ่ามือของเจ้านาย หลังจากนั้นมันก็เหนื่อยและนอนลง ดวงตาของมันดูขุ่นมัวและสีหน้านิ่งเรียบ ราวกับว่าต้าหวงกำลังจะตายแล้วจริง ๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วอู๋รู้สึกเศร้าเล็กน้อย เขาเอาผ้าห่มออกจากหัวเข่าแล้วห่มให้ต้าหวงแทน
“เอ๊ะ เจ้านี่มันคืออะไร?”
ลั่วอู๋พบไหทองแดงขนาดเล็กอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา มันดูเรียบง่ายแต่เป็นแบบล้าสมัย
หลี่หยินมองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่เห็นมันในตอนที่ข้าจัดเก็บสัมภาระนะเจ้าคะ”
ลั่วอู๋ มองไปที่ไหทองแดงขนาดเล็ก เขารู้สึกว่ามันดูคุ้นเคยมาก เหมือนกับว่ามันคือไหทองแดงที่ฆ่าเขาในความฝัน! มันออกมาจากในความฝันอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อลั่วอู๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที ราวกับจิตสำนึกของเขากำลังถูกดึงดูดโดยบางสิ่งบางอย่างที่ลึกลับ
“อึก!”
ลั่วอู๋ลืมตาตื่นขึ้นด้วยความหวาดกลัว
เขาพบว่าตัวเองออกมาจากรถม้าแล้ว และตอนนี้เขากำลังอยู่ในสรวงสวรรค์ มีลำธาร มีภูเขาอันงดงาม ซึ่งเห็นได้จากในระยะไกล น้ำพุที่สวยงามระยิบระยับ เมฆที่เคลื่อนตัวอย่างอ้อยอิ่งอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีแสงกระจ่างดุจสรวงสวรรค์
ที่นี่คือที่ไหนกัน
ลั่วอู๋ เห็นแผ่นศิลาที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก มันมีคำเขียนไว้ว่า มิติในไห
มิติในไหงั้นเหรอ
ลั่วอู๋ ตกตะลึงอยู่ในใจ หรือว่าไหนั่นคือไหปีศาจในตำนานอย่างงั้นเหรอ
เมื่อเขาลองทำสมาธินึกถึงไหปริศนา ความทรงจำพิเศษก็หลั่งไหลเข้ามาในความคิด ซึ่งกลายเป็นวิธีการใช้ไหเพื่อเล่นแร่แปรธาตุ
“เข้าใจแล้ว!”
ลั่วอู๋ดีใจมาก ไหนั่นคือไหปีศาจ ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์โบราณ
แต่ปัญหาก็คือเขาจะออกไปได้อย่างไร
เมื่อคิดดังนั้นในใจ ลั่วอู๋รู้สึกตัวอีกทีเขาก็กลับคืนสู่ห้วงความเป็นจริงในทันที ตัวเขายังอยู่ในรถม้าที่แล่นอย่างโยกเยกไปตามทาง โดยมีไหทองแดงอยู่ในมือของเขา
“ ข้าวูบหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?” ลั่วอู๋ถามสาวใช้คนงาม
“ ไม่นะ เจ้าคะ ท่านยังไม่ได้วูบหลับไปเจ้าค่ะ” หลี่หยิน
ลั่วอู๋เข้าใจได้ในทันที
ความเร็วของเวลาในโลกไหไม่เหมือนกันกับโลกภายนอก แม้ว่าเขาจะอยู่ในนั้นสักพัก แต่พอออกมากเวลาข้างนอกกลับผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว
“หยุด!” ลั่วอู๋ตะโกน
ถึงกระนั้นรถม้าก็ยังคงแล่นต่อไป
คนคุมบังเหียนพูดอย่างกระวนกระวายว่า
“นายน้อย ข้าไม่สามารถหยุดพักได้ ข้าต้องรีบไปที่เมืองต่อไปก่อนมืดในวันนี้ ไม่งั้นพวกเราจะต้องนอนในป่า”
“ข้าพูดว่าหยุด ก็จงหยุด ไม่ต้องพูดมาก” ลั่วอู๋ ขมวดคิ้ว
คนคุมบังเหียนโกรธและพึมพำ “ อย่างไรเสีย ข้ายังคิดว่าเจ้ายังเป็นนายน้อยอยู่” แม้จะกล่าวคำนั้นออกมา เขาก็ยังยอมหยุดรถม้าให้
ลั่วอู๋ลอบถอนใจ ตามที่เขาคิดไว้ หากหงส์ไฟไร้ขนก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากไก่ธรรมดา สำหรับเขาที่ถูกไล่ออกจากตระกูลลั่ว แม้แต่คนคุมบังเหียนก็กล้าที่จะสบถด่าใส่เขา
“ต้าหวงไปกันเถอะออกไปกับข้า” ลั่วอู๋ลูบหัวของต้าหวง
ต้าหวงลืมตาขึ้นอย่างลำบาก จากนั้นก็ปีนขึ้นไปอย่างช้า ๆ แล้วกระโดดออกจากรถ
พอลงจากรถ สภาพแวดล้อมก็กลายเป็นสถานที่ร่มครึ้ม
ในโลกแห่งมิติวิญญาณ แม้กระทั่งคนคุมบังเหียนก็ยังมีม้าชั้นดีเรียกว่าเชินชิงจูว แม้ว่ามันจะยังไม่โตเต็มที่ แต่ก็สามารถเห็นได้ว่ามันไม่ใช่ม้าธรรมดา
มันแตกต่างจากม้าทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อหลังจากโตเต็มวัยแล้ว มันจะสามารถวิ่งเดินทางไปได้หลายพันไมล์ทุกวัน เป็นดั่งหัวใจและวิญญาณของคนคุมบังเหียน
แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่สัตว์วิญญาณระดับสูง
และมันยากมากสำหรับคนธรรมดาที่จะพามันเข้าสู่ระดับพลังวิญญาณ
หลี่หยินไม่เข้าใจ “นายน้อยเจ้าคะ ท่านจะทำอะไรน่ะ”
ลั่วอู๋ ส่ายหัวโดยมีหลี่หยินและต้าหวงอยู่ห่างจากรถเล็กน้อย
“หลี่หยินเจ้าช่วยข้าเลือกเก็บสมุนไพรรอบๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องเก็บมันให้ได้”
“ เจ้าค่ะ” แม้ว่าหลี่หยินจะไม่รู้สาเหตุที่นายน้อยสั่งนางเช่นนั้น แต่ก็ทำตามที่ลั่วอู๋สั่ง
หลังจากนั้นสักพักหนึ่งหลี่หยิน ก็มีสมุนไพรหลายสิบใบ ทั้งพืชใบสีเขียวและรากดำ มันเป็นสมุนไพรที่พบได้บ่อยมาก เรียกว่า “ดอกบัวเหลือง” ซึ่งสามารถพบเห็นได้เกือบทุกที่
มันขมมาก แต่ก็มีผลในการระบายความร้อนและบรรเทาความร้อนได้ในฤดูร้อน
ลั่วอู๋ใส่ดอกบัวเหลืองหลายสิบต้นลงในไหปีศาจ
แน่นอนหลี่หยินเห็นเป็นเพียงแค่หญ้าดอกบัวสีเหลืองที่หายไป ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอยู่พักใหญ่
“นายน้อยท่านเป็นยังไงบ้าง?”
“ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง”
ลั่วอู๋ส่ายหน้าให้เบาๆ จากนั้นวางมือบนตัวต้าหวง และต้าหวงนั้นก็หายไปเช่นกัน
หลี่หยินตกอยู่ในความงุนงง จากนั้นลั่วอู๋ก็เข้าไปในโลกแห่งไห