บทที่ 25 เจ้าของร้านคนเก่า
โรงน้ำชาเก่า
ที่นี่ไม่มีที่ซ่อนใด ๆ มีเพียงแค่ผ้าปูโต๊ะขาด ๆ และโต๊ะที่พังเละ
สำหรับแดนทะเลทรายแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดและอากาศเย็นลงในเวลากลางคืน
ในที่สุดชายลึกลับก็ถอดหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าอันอ่อนล้าของเขา
“เจ้าเป็นคนที่ดีจริง ๆ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าท่านหัวหน้าตระกูลคิดอะไรอยู่ ถึงได้ขับไล่เจ้าออกไป” เจ้าของร้านคนเก่าถอนหายใจ
เจ้าของร้านคนเก่านั้นมีอายุประมาณ 50 ปี เป็นคนหลังค่อมเล็กน้อย เนื่องจากการทำงานหนัก ที่จอนผมมีสีขาวแซมอยู่เล็กน้อยและมีรอยเหี่ยวย่นปรากฏที่หางตาของเขา
ข้อมูลเจ้าของร้านคนเก่าผุดขึ้นมาในความทรงจำของลั่วอู๋
วู่หยู่สมาชิกของตระกูลวู่ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตระกูลลั่ว ถือเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับต่ำ โดยพลังวิญญาณของเขาอยู่ระดับเงิน 2 และเนื่องจากคุณสมบัติทางวิญญาณที่ไม่ดีเท่าไหร่ของเขา เขาจึงพยายามศึกษาจนมีความเชี่ยวชาญในด้านการทำการค้า
เขาเคยรับผิดชอบดูแลกิจการในตัวเมืองหลวงมาก่อน แต่เพราะเคยไปมีปัญหากับคนอื่น ๆ เขาจึงถูกส่งให้มาเปิดร้านแห่งใหม่ในเมืองแห่งความพินาศ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณ และเท่าที่รู้อายุของเขาควรจะอยู่ในช่วง 50 กว่า ๆ แต่เจ้าของร้านคนเก่านั้นดูซีดเซียวและเหนื่อยล้า
ลั่วอู๋ยิ้ม “เจ้าของร้านคนเก่า ท่านก็ชมข้าเกินไป”
“เป็นเรื่องจริง ข้าไม่ต้องการให้คนที่ไม่มีความสามารถมารับช่วงต่อธุรกิจ ที่ข้าอุตส่าห์ทำงานหนักเพื่อรักษามาตลอด?”
“ดังนั้นมันจึงต้องมีการทดสอบสามข้อ”
“การทดสอบทั้งสามนี้ มีไว้เพื่อให้เจ้าเข้าใจบทบาทของตัวเองอย่างชัดเจนและทำงานอย่างแข็งขันเพื่อเข้าใจถึงอำนาจของเจ้า แต่คิดว่าจะกลายเป็นว่าข้าได้เห็นข้อบกพร่องของตัวข้าเองเสียอย่างนั้น”
“การทดสอบครั้งแรกคือวิสัยทัศน์”
“ข้าพิจารณาแล้วว่างูทองคำ ป่วยจากอากาศที่เย็นลง ดังนั้นมันจึงหดหู่และความแข็งแกร่งของมันก็เริ่มแปรปรวน ในเมื่อเจ้ามาจากตระกูลลั่ว เจ้าจึงน่าจะสังเกตถึงสิ่งนั้นได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ข้าไม่คาดคิดก็คือ ข้าเกือบจะปล่อยให้งูทองคำพลาดโอกาสวิวัฒนาการไป ช่างน่าละอายจริงๆ “
เจ้าของร้านคนเก่ารู้สึกละอายใจนัก
ลั่วอู๋ส่ายหน้าเบาๆ “มันยากที่จะเห็นสัญญาณของการวิวัฒนาการ แม้แต่ผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณที่มีประสบการณ์บางคนเอง ก็อาจจะพลาดได้ด้วยซ้ำ ท่านไม่ต้องตำหนิตัวเองหรอก”
เจ้าของร้านคนเก่ามองลั่วอู๋ด้วยสีหน้าที่รู้สึกขอบคุณ
“การทดสอบครั้งที่สองคือความคิดทางธุรกิจของเจ้า”
“ตอนที่เจ้ายอมรับซื้อแมงป่องทะเลทรายในราคาตัวล่ะ 300 หินวิญญาณ มันทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังกับเจ้ามาก ข้าคิดว่าเจ้าไร้ประโยชน์”
“ทว่าข้าคิดผิด”
“วิธีการปรับแต่งวิญญาณของเจ้ามันเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก แม้ว่าประสบการณ์ทางธุรกิจของเจ้าจะยังไม่เพียงพอ แต่ความสามารถในการปรับแต่งวิญญาณของเจ้าก็เพียงพอที่จะครอบคลุมข้อบกพร่องทั้งหมดของเจ้าได้”
“และการทดสอบครั้งที่สาม ข้าต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นคนแบบไหน”
“ถ้าเจ้าเป็นยอมให้สาวรับใช้และคนงานตายแลกกับเงิน เป็นคนที่ไม่แยแสคนรอบข้างและโหดเหี้ยม ข้าคงยอมตายเสียยังดีกว่าต้องทำงานให้กับเจ้า”
“อย่างไรก็ตามถ้าเจ้ายินดีมอบเงินให้ข้าแลกกับชีวิตพวกเขา นั่นหมายความว่าอย่างน้อยเจ้าก็เป็นเจ้าของร้านที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และข้าก็เต็มใจที่จะทำงานให้กับเจ้า”
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะต้องให้ของมีค่ามากมายอะไร แต่ตอนที่ข้าบอกให้เจ้าตัดนิ้วมือ เจ้าก็ดูพร้อมที่จะทำจริงๆ ซึ่งข้าไม่ได้คิดเลยว่าเจ้าจะกล้า ข้าพร้อมจะยกศาลาไป่หยู่ให้เจ้ารับช่วงต่อแล้วล่ะ”
เมื่อเจ้าของร้านคนเก่าพูดอย่างนี้ สีหน้าของเขาก็ดูไร้ชีวิตชีวาและเหงาหงอยลงนิดหน่อย
มันยากที่จะทำร้านค้าในเมืองแห่งความพินาศ
ในเมืองแห่งความพินาศนั้น ศาลาไป่หยู่แทบจะไม่มีจุดยืนทางการค้าเลย ที่อยู่มาได้ถึงขนาดนี้ทั้งหมดเกิดจากความพยายามของเจ้าของร้านคนเก่าล้วน ๆ
แม้ว่าเจ้าของร้านคนเก่าจะเต็มใจส่งมอบร้านให้ แต่เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจที่จะรับไว้อยู่ดี
ลั่วอู๋ส่ายหน้าให้อีกฝ่าย “เจ้าของร้านคนเก่า ท่านช่วยดูแลศาลาไป่หยู่ต่อไปเถอะ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่ออำนาจ ท่านเป็นผู้อาวุโสและมีประสบการณ์ทางการค้าที่ดีกว่าข้ามาก ร้านนี้ควรจะเป็นของท่าน “
พอได้ฟัง เจ้าของร้านคนเก่ารู้สึกตกใจและแปลกใจมาก
เขาไม่ได้คิดเลยว่าลั่วอู๋จะพูดออกมาอย่างนั้น
แต่สิ่งที่ลั่วอู๋พูดนั้นเป็นความจริงทุกคำ
แม้ว่าศาลาไป่หยู่จะเป็นรากฐานที่สำคัญของการเติบโตสำหรับเขา แต่ความทะเยอทะยานของลั่วอู๋ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่ ที่นี่ธุรกิจเป็นเพียงแค่งานอดิเรก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เขาได้ฝึกฝนและปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเอง
แน่นอนว่าร้านค้าในอนาคตของเขาจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน เขาอยากที่จะมุ่งเน้นทำการค้าได้ทุกเมื่อตามที่เขาต้องการ
ดังนั้นเขาจึงต้องการคนที่เขาสามารถไว้วางใจได้ในการทำการค้าของเขาและเจ้าของร้านคนเก่าก็เป็นคนที่เหมาะสมอย่างที่สุด
สายตาของเจ้าของร้านคนเก่าดูสดใสขึ้นและหลังที่ค่อมก็ยืดตรงขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนที่ตรงริมฝีปากของเขาขยับและเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายน้อย ท่านพูดจริงจังใช่ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ” ลั่วอู๋ พยักหน้าอย่างจริงจัง “ในอนาคต การค้าขายทุกเรื่อง ข้าจะให้ขึ้นอยู่กับท่าน หากมีปัญหาอะไร ข้าจะคอยช่วยแก้ปัญหานั้นให้ ศาลาไป่หยู่ของพวกเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ และกิจการก็คงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ท่านจะต้องทำงานหนักแน่ในอนาคต “
เจ้าของร้านคนเก่าดีใจมากจนตัวสั่น
“ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจของท่าน ข้าพร้อมจะทำงานเพื่อท่าน” เจ้าของร้านคนเก่าโค้งคำนับอย่างเคารพ
เสียงนี้พูดมาจากใจ
เดิมทีศาลาไป่หยู่เป็นทรัพย์สินของตระกูลลั่ว
ตราบใดที่ครอบครัวลั่วมายังร้าน เจ้าของร้านคนเก่าจะต้องถอยกลับไปสู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น เขาคงสามารถ “ทำงานหนัก” ได้อย่างสบายใจแบบที่เขาทำมาตลอด ซึ่งเจ้าของร้านคนเก่าก็เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น
……
……
ศาลาไป่หยู่
เมื่อถึงรุ่งสาง คนงานชายทั้งสามคนต่างก็ประหลาดใจที่พบว่าเจ้าของร้านคนเก่าได้กลับมาอีกครั้งและพวกเขาก็มีความสุขมาก
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ในตอนที่พวกเขาหมดสติไป
“ พวกเจ้าควรจะฟังนายน้อยในอนาคตให้มาก ๆ และให้ความเคารพเขามากกว่าข้าด้วย” เจ้าของร้านคนเก่าพูดกับเขาทั้งสามคน
ทั้งสามคนได้แต่พยักหน้ารับทราบแรงๆ
เพราะตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนเชื่อมั่นในตัวลั่วอู๋แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเจ้าของร้านคนเก่ากลับแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ากันได้ดีกับลั่วอู๋มากกว่าเดิมแทนที่จะขัดคอ พวกเขาดูมีความสุขที่ได้เห็นเจ้าของร้านคนเก่าเขา
“ เจ้าของร้าน ท่านบอกว่าท่านได้เตรียมการทดสอบไว้สามครั้งไม่ใช่เหรอ แต่นี่นายน้อยเพิ่งผ่านไปแค่สองเองนะ”
“ไม่หรอก เขาผ่านไปแล้วสามครั้ง มันมีสามครั้งอยู่แล้วสิ”
เจ้าของร้านคนเก่ายิ้มอย่างมีนัย
คำพูดนั้นทำให้คนงานทั้งสามคนได้แต่งงงวย
บททดสอบครั้งที่สามผ่านไปตอนไหนกัน
ทุกอย่างกลับสู่ปกติ ต้าหวงนอนอยู่ข้างประตูร้านกำลังอาบแดดอย่างเกียจคร้านเหมือนสุนัขแก่ที่อ่อนแอ มีเพียงเจ้าของร้านคนเก่าเท่านั้นที่รู้ว่าต้าหวงนั้นดุร้ายและแข็งแกร่งเพียงใดในคืนที่ผ่านมา มันยากมากที่จะหยุดมันเอาไว้ไม่ต่างจากเสือและสิงโต
อีกด้านหนึ่งนอกจากการดูแลลั่วอู๋แล้ว หลี่หยินก็ยังคอยดูแลเสี่ยวหลวน (แมวผี) ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรักและความสุข เสี่ยวหลวนเองก็ดูจะชื่นชอบแขนนุ่ม ๆ ของหลี่หยินและชอบนอนบนเนื้อตัวนุ่มนิ่ม ของนาง มันมีอุ้งเท้าสีชมพูน้อยน่ารักและแกว่งหางตลอดเวลา ทำให้มันดูน่ารักมาก ๆ
ลั่วอู๋มองไปที่หลี่หยินและมีความคิดเข้ามาในใจของเขา
เขาควรเปลี่ยนให้หลี่หยินเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณไหม
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาลั่วอู๋ก็เริ่มตื่นตัวอย่างบอกไม่ถูก นางคงจะตายไปแล้ว ถ้าเมื่อวานไม่ใช่เจ้าของร้านคนเก่าและทุกอย่างก็จบลงด้วยดี
แต่ถ้าหากวันหนึ่งมีคนเข้ามาหวังจะจัดการกับเขาจริงๆล่ะ
พวกเราทำอะไรได้บ้าง
เวลามีเหตุการณ์แบบนี้ ควรพึ่งพาเจ้าของร้านคนเก่ารึเปล่า แม้ว่าเจ้าของร้านคนเก่าจะเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน
แต่มันก็เป็นพลังวิญญาณสายเสริมพลัง ซึ่งมีประสิทธิภาพการต่อสู้ไม่เพียงพอ
เขารู้ดีว่าตัวเองอ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องตัวเขาเองได้ ไม่ต้องพูดถึงคนรอบข้างเลยด้วยซ้ำ
อีกอย่างทักษะ “เทียนลัวจู” ของตระกูลเองไม่ใช่อะไรที่สามารถแพร่กระจายออกไปให้คนภายนอกเรียนรู้ได้
หากมันถูกส่งต่อไปยังหลี่หยินแต่ไม่มีทักษะอื่น ๆ ในมือ มันก็จะไม่ต่างอะไรไปจากลั่วอู๋ที่มีทักษะเพียงแค่ระดับต่ำและถูกชิงชังโดยตระกูลจนถูกส่งมาที่เมืองแห่งความพินาศ
สักวัน นี่คงเป็นปัญหาแน่
“มีแหล่งประมูลใหญ่ ๆ แถวนี้ไหม” ลั่วอู๋ ถามเจ้าของร้านคนเก่า
“ไม่มีหรอกนะ แหล่งประมูลขนาดใหญ่ในพื้นที่หวงชา ถ้าท่านมีของที่อยากจะซื้อ ท่านอาจต้องไปไกลทางทิศตะวันออก เดินทางประมาณสองวันไปยังมณฑลหมิงหนาน ที่เป็นหนึ่งในสามสิบหกมณฑลของอาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกาย ถึงแม้ว่าสินค้าจะไม่ดีถึงระดับเมืองหลวง แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ที่เจริญกว่าที่นี่มาก” เจ้าของร้านคนเก่าตอบ
เขตประเทศทางตอนใต้ ลั่วอู๋ค่อย ๆ จดจำสถานที่เอาไว้
เขาคิดว่าจะหาเวลาไปดูสักครั้ง