บทที่ 1
Lilac Novel
หมี่หยางนั่งง่วงเหงาหาวนอนอยู่บนเก้าอี้โยก พัดลมตัวเล็กข้างหน้าพัดดัง ~ เอี๊ยดอ๊าด ~ เอี๊ยดอ๊าด ~ อย่างกับเพลงกล่อมนอนอย่างไรอย่างนั้น หมี่หยางฟังไป เปลือกตาก็หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม ไม่นานมือถือที่อยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้นสองครั้ง เขาหยิบขึ้นมาดู เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่โอนให้ธนาคารสำเร็จ ในที่สุดก็คืนเงินที่กู้ซื้อบ้านหมดแล้ว หมี่หยางโล่งอกอยู่ในใจ
ขณะที่เขาใกล้จะหลับเต็มที ลูกพี่ลูกน้องก็เคาะประตูเดินเข้ามา ตะโกนว่า “พี่!”
เสียงของลูกพี่ลูกน้องทำเอาหมี่หยางตกใจ อาการหวัดของเขายังไม่หายดี ยามพูดเสียงยังขึ้นจมูก เขาถามว่า “มีเรื่องอะไร”
ลูกพี่ลูกน้องที่สวมแว่นคนนั้นขยับตัวเข้ามาข้างหมี่หยางไม่พูดไม่จา สายตาเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ยั้งไว้ ท่าทางยากจะพูดออกมา
หมี่หยางถูกมองจนรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”
ลูกพี่ลูกน้องเงียบไปสักพักพลันพูดขึ้น “พี่ วันนี้ตระกูลไป๋มีงานหมั้น”
หมี่หยางมึนงงเล็กน้อย “หา?”
อีกฝ่ายสำรวจสีหน้าท่าทางของเขา แล้วพูดเสียงแผ่วเบา “ก็ไป๋ลั่วชวนนั่นไง ”
หมี่หยางสะบัดมือและตอบว่า “ฉันรู้ว่าตระกูลเขา แต่เขาหมั้นแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”
ลูกพี่ลูกน้องเอ่ย “เมื่อก่อนพี่ไม่ได้สนิทกับเขาที่สุดเหรอ?!”
หมี่หยางคิดแล้วขมวดคิ้ว “นายหมายถึง…ฉันต้องไปงานแล้วใส่ซองเหรอ”
สีหน้าที่ลูกพี่ลูกน้องมองเขาพิลึกเล็กน้อย พูดติดอ่างนิดหน่อย “พี่จะไปไหม ผมว่า…หรือไม่วันนี้พี่ก็หลบไปก่อน
กลับเข้าเมืองไปก่อนเถอะ พวกพี่สองคนเจอกันแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะ”
“กลับเข้าเมืองอะไร พรุ่งนี้ก็วันเกิดคุณยายแล้ว ฉันตั้งใจมายังไม่ทันได้ฉลองวันเกิดให้คุณยายเลยจะไปอะไร”
หมี่หยางฟังแล้วมึนงง แต่ช่วงนี้เขาเพิ่งจะคืนเงินที่กู้บ้านมาครบ ไม่มีหนี้แล้ว ทั้งตัวเบาสบาย เขาลูบคลำเงินเดือนที่เพิ่งออกในกระเป๋าเสื้อผ้า ในใจพองโตเล็กน้อย ไม่เก็บคำพูดของลูกพี่ลูกน้องมาใส่ใจ เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ไม่เป็นไร ก็แค่ใส่ซองเองไม่ใช่เหรอ เงินนี้ฉันจ่ายไหว ไว้เดี๋ยวฉันจะไปดูสักหน่อยแล้วกัน!”
ลูกพี่ลูกน้องพูดขึ้นทันควัน “อย่างนั้นผมไปเป็นเพื่อนพี่ด้วย”
หมี่หยางเอ่ย “เรื่องเล็กน้อยน่ะ ไม่ต้องหรอก ฉันเอาไปให้เขาก็จบแล้ว”
หมี่หยางกินข้าวที่บ้านอย่างสบายอกสบายใจ และคุยเป็นเพื่อนหญิงชราอีกสักพัก คนที่คุณยายของหมี่หยางรักมากที่สุดคือลูกสาวคนโต รักบ้านต้องรักนกกาที่อาศัยอยู่ด้วย เธอจึงโอ๋หมี่หยางที่สุดเป็นธรรมดา เห็นเขาเป็นหวัดก็จะเอายาอมโสมของตัวเองมาให้กินให้ได้ หมี่หยางแกล้งทำเป็นกินไปเม็ดสองเม็ด หลังจากกล่อมให้หญิงชราไปพักผ่อนตอนกลางวันแล้ว ถึงค่อยหาเวลาไปบ้านตระกูลไป๋
ตอนเขาไปเป็นเวลาบ่ายแล้ว ยามบ่ายช่วงหน้าร้อนเสียงจักจั่นร้องระงม เพียงแค่ฟังก็รู้สึกร้อนจนยากจะทานทน
บ้านบรรพบุรุษของตระกูลไป๋ลั่วชวนมีชื่อเสียงในท้องที่มาก ล้อมรอบไปด้วยป่าผืนใหญ่ หมี่หยางปั่นจักรยานไปสิบกว่านาที จากนั้นก็ลงเดินต่อและอดทอดถอนใจเรื่องทรัพย์สินของตระกูลไป๋ไปตลอดทางไม่ได้ ทรัพย์สินของตระกูลไป๋ไม่ได้มีแค่พื้นที่ป่าผืนนี้เท่านั้น ได้ยินมาว่าด้านหลังยังมีภูเขาอีกตั้งสองลูก ตัวเขาแค่มีบ้านเล็กๆ ขนาดร้อยตารางเมตรสักหลังก็พอใจแล้ว ที่ผืนใหญ่ขนาดนี้ของตระกูลไป๋กลับมีไป๋ลั่วชวนสืบทอดแค่คนเดียว เทียบชั้นกันไม่ได้จริงๆ
พอถึงบ้านเก่าตระกูลไป๋ หมี่หยางกดออดอยู่หน้าประตูสองครั้ง ตอนแรกคิดว่ารอคนมาก็ฝากซองให้ไปก็ได้แล้ว คิด
ไม่ถึงว่าคนข้างในยังไม่ออกมา หมี่หยางก็เจอเข้ากับไป๋ลั่วชวน
ไป๋ลั่วชวนขับรถเข้ามา เมื่อสวนกับหมี่หยางก็เหยียบเบรกอย่างรวดเร็ว ลดกระจกหน้าต่างลงทันที ดวงตาคมกริบมองมายังเขา ไป๋ลั่วชวนเกิดมาหล่อเหลา ในดวงตาลึกล้ำมีอารมณ์วูบไหว เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ “นายมาได้ยังไง”
หมี่หยางเป็นหวัด จึงพูดด้วยเสียงขึ้นจมูก “ได้ยินมาว่านายจะแต่งงานแล้ว เลยแวะมาดูสักหน่อย”
ไป๋ลั่วชวนมองเขาอย่างลึกซึ้ง แล้วเอ่ยขึ้น “ขึ้นรถ”
หมี่หยางลังเลเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก ฉันขี่จักรยานมาไม่สะดวก…”
ไป๋ลั่วชวนเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ฉันบอกให้นายขึ้นรถ!”
หมี่หยางไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อก่อนเขากับไป๋ลั่วชวนความสัมพันธ์ไม่เลว แต่ว่าคนผู้นี้นิสัยเผด็จการ โอหังอวดดี ขี้เกียจจะปิดบังความเย่อหยิ่งภายในตัว โดยไม่รู้ตัว เขาก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกับไป๋ลั่วชวนแล้ว พูดเรื่องความสัมพันธ์แล้วพวกเขาก็ถือเป็นแค่เพื่อนเก่าบ้านเดียวกันเท่านั้น แต่ไป๋ลั่วชวนจะแต่งงาน เขาจึงเอาตามที่เจ้าภาพสะดวก จอดจักรยานสภาพแย่คันนั้นไว้ข้างๆ เข้าไปนั่งในรถยนต์ของไป๋ลั่วชวน
ตัวรถซูเปอร์คาร์ทรงสปอร์ตของไป๋ลั่วชวนเตี้ย หมี่หยางเข้าไปนั่งแล้วอย่างกับคุดคู้อยู่ในนั้น เมื่อเจอไอเย็นบนรถ ไม่ทันไรหมี่หยางก็จามออกมา ขดตัวปลายจมูกขึ้นสีแดงอยู่ตรงนั้น
ไป๋ลั่วชวนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันจะแต่งงานแล้ว”
หมี่หยางตอบ “อ๋อ น้องชายฉันบอก”
ไป๋ลั่วชวนเม้มปาก ไม่พูดอะไร
บรรยากาศในรถกระอักกระอ่วน หมี่หยางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลองเอ่ยเลียบเคียงดู “ยินดีด้วย”
ไป๋ลั่วชวนหัวเราะเยือกเย็น ดูท่าทีไม่ได้ดีใจมากมาย
หมี่หยางปวดหัวอย่างหนัก ยกมือขึ้นนวดขมับเล็กน้อย เขารำคาญคนมีเงินพวกนี้ที่สุดเลย ในใจคนเหล่านี้คิดอะไรกันอยู่ ถ้าเขามีเงินมากขนาดนี้ จะมีความสุขมันทุกวันอย่างกับฉลองปีใหม่เลย! จะเสวยสุขกับชีวิตให้มันดีๆ เลยทีเดียว!
หลังจากไป๋ลั่วชวนหยุดรถ ก็ขมวดหัวคิ้วขึ้นมาทันที เขยิบตัวเข้ามาหายื่นมือมาแตะหน้าที่ผากหมี่หยาง “ฉันรู้สึกตั้งแต่เมื่อกี้แล้วว่ามันแปลกๆ ทำไมตัวร้อนขนาดนี้…นายไข้ขึ้นเหรอ”
ตอนแรกหมี่หยางก็เป็นหวัดอยู่แล้ว และตากแดดมาตลอดทาง พอขึ้นรถมาก็โดนแอร์เป่าอีก รู้สึกเวียนหัวเล็กๆ เมื่อได้
ยินอีกฝ่ายทักเขาจึงพยักหน้า “ดูเหมือนจะนิดหน่อย”
ไป๋ลั่วชวนเอ่ย “ตัวเองป่วยไม่ป่วยยังไม่รู้อีก นายโง่เหรอ”
หมี่หยางคิดในใจ นายสิโง่
แต่ไม่กล้าหือต่อหน้าอีกฝ่าย สมัยเรียนวิธีการสั่งสอนของไป๋ลั่วชวนรุนแรงมาก ตอนนี้เขายิ่งไม่กล้ายั่วโมโหคนคนนี้เข้าไปใหญ่
ไป๋ลั่วชวนปากพูดเหน็บแนม แต่แรงที่มือกลับอ่อนโยน เขาโอบหมี่หยางเข้าบ้านแล้วก็พาไปพักผ่อนในห้อง หมี่หยางถูกไป๋ลั่วชวนกดอยู่กับเตียง ถอดรองเท้าออกแล้ว ถึงค่อยเริ่มรู้สึกแปลกๆ รีบลุกขึ้นทันที “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ฉันแค่เอา…ซองแดงมาให้นาย”
ไป๋ลั่วชวนหงุดหงิด “ใครเขานึกอยากได้เศษเงินนั่นของนายกัน เก็บไว้เองเถอะ นอนอยู่นี่อย่าขยับ ฉันจะไปเรียกหมอมา”
นิสัยคุณชายใหญ่กระตุ้นหมี่หยางจนเขารู้สึกต่อต้าน แต่ยิ่งโมโห ก็ยิ่งดูเหมือนเขาไร้อารมณ์ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ก็ใช่ ซองแดงแค่นี้ของฉัน นายคงไม่เห็นอยู่ในสายตา ฉันให้อย่างอื่นแล้วกัน”
ไป๋ลั่วชวนมองเขา พูดขึ้น “ให้อะไร”
หมี่หยางเอ่ย “ให้คำอวยพร”
ไป๋ลั่วชวนยังคงมองเขาอยู่ “แค่นี้?”
หมี่หยางพยักหน้า ตอบว่า “ใช่ไง ฉันให้เสร็จแล้ว แล้วก็ไม่รบกวนนายเรียกหมอแล้วด้วย ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้ คุณยายยังรอกินข้าวกับฉันที่บ้าน”
ไป๋ลั่วชวนสูดลมหายใจ พูดขึ้นว่า “ในเมื่อมาแล้ว ก็รอก่อนค่อยไปก็แล้วกัน”
หมี่หยางเลิกผ้าห่มจะลุกขึ้น ไป๋ลั่วชวนกดตัวเขาไว้ ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ในเมื่อ
นายมาอวยพรแล้ว ก็ต้องกินข้าวสักมื้อก่อนค่อยไปสิ เหล้าในงานหมั้นฉัน นายจะดื่มไม่ดื่ม”
หมี่หยางได้ยินเขาพูดแบบนี้ จึงได้แต่พยักหน้า
คล้ายว่าไป๋ลั่วชวนเพิ่งเริ่มรับแขก เมื่อครู่ในบ้านหลังใหญ่ยังคงเงียบเชียบ แต่แค่ไป๋ลั่วชวนยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียว ก็มีคนโผล่มามากมายทันที แขกเหรื่อมากันรวดเร็ว งานเลี้ยงก็เตรียมการได้ว่องไว หมี่หยางแค่ให้หมอตรวจดูและนอนพักครู่เดียว ก็ลงไปร่วมงานที่ชั้นล่างได้แล้ว
หมี่หยางดูเวลา สี่โมงเย็น พวกเขาทางนี้ให้ความสำคัญเรื่องการจัดงานเลี้ยงแต่งงาน ปกติงานแต่งจะจัดเลี้ยงตอนเช้า มีแต่การแต่งงานครั้งที่สองเท่านั้นถึงจะจัดงานเลี้ยงตอนบ่ายหรือตอนกลางคืน ก็ไม่รู้ว่างานหมั้นถือสาเรื่องแบบนี้ไหมแต่ไป๋ลั่วชวนเอาแต่ใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร และยังมีความสามารถยอดเยี่ยมอีก คิดว่าเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ตระกูลไป๋คงถือหางเขาแน่ ๆ
ว่าที่เจ้าสาวก็เป็นคนที่หมี่หยางรู้จัก เธอเป็นดาวโรงเรียนสมัยที่พวกเขาเรียนอยู่ แย่ที่สุดคือเธอยังเคยมีข่าวลือเรื่อง
รักๆ ใคร่ๆ กับหมี่หยางด้วย ว่ากันว่า พวกเขาสองคนคบกันหนึ่งสัปดาห์——เวลานี้เธอเห็นหมี่หยางก็หลบตาเล็กน้อย ทว่าหมี่
หยางท่าทีไม่สะทกสะท้าน
รอยยิ้มบนใบหน้าของคู่หมั้นดูฝืนๆ เธอก็น่าจะถือเรื่องงานเลี้ยงตอนบ่ายอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ยังคงกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกมา บนร่างเธอสวมชุดราตรีสั้น การแต่งหน้าบนใบหน้าก็เรียบง่ายมาก ยิ่งเหมือนกับนักแสดงที่จู่ๆ ก็ถูกเอาตัวมากะทันหัน——ไม่ทันได้แต่งหน้าแต่งตัวเยอะ ก็ถูกลากมาขึ้นเวทีดื้อๆ
ไป๋ลั่วชวนยืนอยู่บนเวที กระทั่งตอนดื่มเหล้าอวยพรยังเหมือนมาร่วมพิธีหมั้นของคนอื่น แต่พอมาทางหมี่หยางถึง
ค่อยทำหน้าหงิกดื่มเหล้ากับเขาสามแก้วติดต่อกันอย่างดุดัน
ไป๋ลั่วชวนพูดขึ้น “มิตรภาพเพื่อนร่วมชั้นหลายปีขนาดนี้ ไม่ดื่มไม่ได้มั้ง”
รอหมี่หยางดื่มเสร็จแล้ว ไป๋ลั่วชวนก็ถามต่อ “เรารู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้ ถือว่าเป็นพี่น้องกันไหม”
พอดื่มถึงแก้วที่สาม ไป๋ลั่วชวนก็เมาแล้ว มือเขายันลงบนไหล่ของหมี่หยาง จับจนหมี่หยางรู้สึกเจ็บเล็กๆ ทว่าเขายังคงจ้องมองมาราวกับไม่รู้สึกตัวสักนิด ดุจอินทรีภูเขาที่จ้องจะกินมนุษย์ สายตาคมกริบ “นายว่า นายถือเป็น…เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันไหม”
คนทั้งโต๊ะก้มหน้าดื่มเหล้ากินอาหาร ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียว
หมี่หยางได้แต่จำใจดื่มเหล้าสามแก้วนั้น เขาเป็นหวัดอยู่ตั้งแต่แรก พอเหล้าลงท้อง เวลานี้ยิ่งสาหัสเข้าไปใหญ่ รู้สึกแค่สะลึมสะลือ หัวปวดอย่างหนัก กระทั่งไป๋ลั่วชวนพูดอะไรกับเขาก็จำได้ไม่แม่นแล้ว จำได้แค่ลางๆ ว่าไป๋ลั่วชวนพูดกับคนรอบข้างว่า “เขาเมาแล้ว” จากนั้นก็พยุงหมี่หยางขึ้นชั้นบน ระหว่างที่เดิน ไป๋ลั่วชวนพูดคุยกับเขา เขาพูดความในใจออกมามากมาย ฟังดูแล้วเป็นความไม่พอใจที่มีต่อการหมั้นครั้งนี้ และความไม่ยินยอมที่มีมากยิ่งกว่า
“…นายคิดว่าเธอเป็นคนดีอย่างนั้นเหรอ ก็แค่อยากหาผลประโยชน์จากฉันเท่านั้นแหละ ฉันโทรครั้งเดียวเธอก็มา ฉันบอกให้เธอไปเธอก็ไป หมี่หยางคนที่นายชอบตอนแรกเป็นผู้หญิงแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?! ฉันจะบอกนายให้ นายอยากจะแต่งงานกับเธอ ทำได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ ฉันไม่ได้ ใครก็อย่าคิดว่าจะได้”
หมี่หยางขมวดคิ้ว “นายหมายความว่ายังไง”
ไป๋ลั่วชวนจับเขาไว้แน่น กัดฟันพูด “หลายปีมานี้ นายตาบอดมองไม่ออกหรือไง มองไม่ออกเหรอว่าฉันหมายความว่ายังไง…”
หมี่หยางปวดหัวอย่างหนักจนหัวแทบแตก ความง่วงจู่โจมเข้ามา ตอนนอนบนเตียงจู่ๆ เขาก็ได้ยินไป๋ลั่วชวนพูดขึ้นประโยคหนึ่งคล้ายทอดถอนใจ “ฉันอยากย้อนกลับไปตอนเด็กจริงๆ เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น รู้จักนายใหม่อีกครั้ง”
หมี่หยางคิดในใจ คุณชายใหญ่นี่ยังคิดอยากย้อนกลับไปตอนเด็กอีกเหรอ?! ถ้าเป็นเขา เขาไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตอีกรอบแล้ว ชีวิตตอนนี้ออกจะดี จะกลับไปทรมานทำไม
ขณะที่คิดแบบนี้ เขาก็สะลึมสะลือหลับไป
พอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เสียงที่หมี่หยางได้ยินคือเสียงกลองป๋องแป๋ง ดัง “ป๋องแป๋งๆ” มีจังหวะมาก
หมี่หยางขมวดหัวคิ้ว อยากยื่นมือไปปิดนาฬิกาปลุกนี้ พลางก็คิดว่าในมือถือเขาไม่มีเสียงปลุกนี้สิถึงจะถูก หลังจากเขาพยายามลืมตาเต็มที่แล้ว ถึงค่อยมองเห็นคนที่ปลุกเขาตื่นชัดเจน——คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวสวมชุดทหารแบบเก่าคู่หนึ่ง ในมือกำลังถือกลองป๋องแป๋งสะบัดไปมาหยอกล้อเขาเล่น ใบหน้าของทั้งสองเยาว์วัย แล้วยังมีรัศมีความพอใจของการได้เป็นพ่อคนแม่คน
“หยางหยาง ดูสิ นี่เป็นกลองป๋องแป๋งที่พ่อตั้งใจเอากลับมาฝากหยางหยางหลังจากไปทำงานข้างนอกมา ชอบไหม ดีใจหรือเปล่า”
หมี่หยาง “…”
หมี่หยางไม่ดีใจเลยสักนิด!!
ทว่ากระทั่งต่อต้านเขายังทำไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้เขาถูกพันไว้ในผ้าอ้อมกลายเป็นทารกน้อย ตรงหน้าคือใบหน้าอ่อน
เยาว์กระปรี้กระเปร่าเมื่อยี่สิบปีก่อนของพ่อแม่เขา ส่วนเขาแค่ฝันครั้งเดียวก็ย้อนกลับมาตอนตัวเองยังเด็ก