บทที่ 2
Lilac Novel
ทารกน้อยหมี่หยาง ไม่มีสิทธิในความเป็นมนุษย์เลยสักนิด เขาอยากจะขยับแขนขา แต่ถูกพันเอาไว้อย่างแน่นหนา พลังน้อยนิดนั่นดิ้นหลุดไม่ไหว ได้แต่นอนหงายร้อง “แอ้ๆ” ตรงนั้นอยู่นาน พยายามแสดงความไม่พอใจของตัวเอง
ทั้งสองคนที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นมาเป็นพ่อแม่ไม่รู้สักนิดว่าหมี่หยางอยากสื่ออะไร หมี่เจ๋อไห่พ่อของหมี่หยางมีใบหน้าอ่อนเยาว์มีชีวิตชีวา ยังพูดอย่างปลื้มใจอยู่ตรงนั้นว่า “เสียงดังกังวาน คล้ายผม!”
แม่ของหมี่หยางชื่อเฉิงชิง เวลานี้อายุราวยี่สิบห้าปีเช่นกัน รูปร่างหน้าตาโดดเด่น ใบหน้ารูปไข่หงส์ ดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง พอยิ้มแล้วดวงตาหยีลง เธอพูดเสียงนุ่มว่า “จมูกก็คล้ายคุณนะ”
หมี่เจ๋อไห่มองภรรยาแล้วมองลูกชาย พูดอย่างมีความสุข “จริงด้วย แต่ตากับปากคล้ายคุณ คนเขาว่ากันว่าลูกชายเหมือนแม่ ลูกชายเราต้องเป็นหนุ่มหล่อแน่ วันหลังก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหาลูกสะใภ้แล้ว!”
เฉิงชิงผลักเขาไปที เอ่ยอย่างขวยเขิน “พูดจาส่งเดชอะไรน่ะ!”
หมี่เจ๋อไห่ตอบ “ผมพูดจาส่งเดชที่ไหน ตอนแรกสมัยมัธยมปลาย คุณเป็นถึงดาวโรงเรียนของโรงเรียนเรา ไม่มีใคร
คิดสักคนว่าผมจะแต่งงานกับคุณได้ พวกเขาอิจฉากันจะตาย!” พูดไปเขาก็ภูมิใจขึ้นมาอีก ไม่มีท่าทางเคร่งขรึมหนักแน่นเหมือนในภายหลังสักนิดเดียว เขาอุ้มหมี่หยางขึ้นมาใช้ไรหนวดนิดๆ บนใบหน้าถูเขา จูบเขาแล้วเอ่ยว่า “ลูกชายรีบโตเร็วๆ มาเป็นทหารเหมือนอย่างพ่อ!”
เฉิงชิงปกป้องลูกจากข้างหลัง พูดอย่างขุ่นเคือง “อนาคตหยางหยางต้องสอบเข้าโรงเรียนทหาร ไม่เหมือนคุณหรอก!”
หมี่เจ๋อไห่เอ่ย “นี่ เมื่อวานคุณยังชมว่าผมดีอยู่เลยนี่!”
หมี่หยางก็ไม่บ่นงึมงำแล้ว หลับตาไม่มองพวกเขาให้รู้แล้วรู้รอด
‘อาหารหมา[1]’ สาดเข้าปากเขาทีละกำๆ เขากินต่อไม่ลงแล้ว
ร่างกายของเด็กทารกอ่อนเพลียง่าย กินๆ นอนๆ ไม่มีความคิดเรื่องเวลาอะไร วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หมี่หยางเดาว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะโตประมาณสามสี่เดือน กระทั่งพลิกตัวก็ยังทำไม่เป็น สองสามวันก่อนนอนคว่ำชันคอไป ทำให้พ่อแม่เขาประหลาดใจซะจนปรบมือ แต่ก็ไม่ได้ให้เขานอนคว่ำตลอดเวลา ส่วนใหญ่ยังคงนอนหงายอยู่ตรงนั้น เพราะว่านอนอยู่ พื้นที่ที่มองเห็นจึงมีจำกัด บางครั้งมองเห็นปฏิทินแขวนถึงได้รู้ว่าเวลานี้คือเดือนล่า[2]
หมี่หยางกะพริบตาปริบๆ เดือนล่าปี 1988 เลย ย้อนกลับมาครั้งนี้ทำได้สุดเหวี่ยงพอตัว โดยรวมนับว่าชีวิตย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเลย
ผ่านไปสองสามวัน อากาศก็เย็นลง พอฟ้ามืดแล้วค่ายทหารเงียบสงัดจนได้ยินเสียงคำรามของลม พัดจนหน้าต่างเกิดเสียงดังพรึ่บๆ
แม่ของหมี่หยางอุ้มเขามาดูใกล้ๆ หน้าต่าง บนใบหน้าอ่อนเยาว์มีสีหน้ากังวลเล็กน้อย หมี่หยางยื่นมือเล็กมาแตะเฉิงชิง ก็ถูกเธอกุมมาไว้ที่ริมฝีปากและกัดเบาๆ เธอถอนหายใจ แล้วเอ่ย “หยางหยางก็ห่วงเหมือนกันเหรอ พ่อพากองออกไปฝึกเดินทัพ ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย ลูกว่าเกิดหิมะตกหนักปิดเขาจะทำยังไงดี…”
หมี่หยางกะพริบตาปริบๆ เขาจำได้ว่าตอนแรกพ่อเขาอยู่ในกองกำลังภาคสนาม ต่อมาสุขภาพไม่ดีถึงค่อยย้ายไปอยู่หน่วยงานท้องถิ่น แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ในกองทัพถึงยี่สิบกว่าปี ครั้งนี้คงไม่มีเรื่องอะไร
แต่ตอนนี้เขาพูดไม่ได้ ได้แต่ยื่นมือไปตบๆ แม่เป็นการปลอบใจ
เฉิงชิงหยอกลูกชายเล่นอยู่พักหนึ่ง สภาพจิตใจดีขึ้นมาก เธอตั้งสติไปเตรียมน้ำขิงและน้ำร้อน ตั้งตารอคอยสามีกลับมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อหมี่เจ๋อไห่กลับมาบนร่างกายมีละอองหิมะติดอยู่ทั่ว กระทืบเท้าตรงประตูสองสามทีถึงค่อยเข้ามาภายในบ้าน หลังจากเข้ามาแล้วหูและหน้าของเขาหนาวจนแดงเถือกอย่างที่คิดไว้จริงๆ มีแต่ดวงตาที่แวววาว พอเห็นภรรยากับลูกก็คลี่ยิ้มเผยฟันขาวทั้งปาก “ชิงเอ๋อร์ หยางหยาง ผมกลับมาแล้ว!”
เฉิงชิงรีบร้อนลุกขึ้นทันที “รอเดี๋ยว ฉันจะไปรินน้ำร้อนให้คุณ!”
หมี่เจ๋อไห่เอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ “รินมาเพิ่มอีกสองสามถ้วยแล้วกัน มีเพื่อนมาด้วยกันอีก”
หมี่หยางโงหัวขึ้นมองด้วยความสงสัย แต่ว่าเขาตัวเล็กเกินไป พยายามโงหัวขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตายก็มองเห็นแค่มุมเดียว มีเสียงฝีเท้าเดินดังขึ้นจากนอกห้องหลายเสียง เขาเห็นคนทำท่าตะเบ๊ะ ตะโกนด้วยรอยยิ้มร่า “คุณนายสวัสดีครับ!” คนคนนั้นพูดขึ้นต่ออย่างอิจฉาอีกทันที “ที่รองหัวหน้ากองพูดใช่จริงๆ ด้วย มีภรรยาดีจริงๆ กลางคืนกลับมายังมีน้ำร้อนดื่มด้วยแน่ะ !”
เสียงคุยกันข้างนอกดัง เดาว่าในค่ายทหารคงจะมีครอบครัวทหารมาเยี่ยมน้อย โดยเฉพาะค่ายที่อยู่ในป่าเขาลึก พอได้เห็นคนก็อดพูดมากหน่อยไม่ได้ คนคนนั้นพูดขึ้นอีก “คุณนายไม่รู้ ทีแรกเรากลับมาได้ตั้งนานแล้ว แต่ตอนลงจากเขาหิมะปิดทาง บังเอิญว่ากรรมการ[3]คนใหม่ไม่คุ้นทางพอดีไม่ทันไรก็ขับรถตกหล่มหิมะแล้ว โอ๊ย ดีที่ได้เจอกับเราเข้า สุดท้ายถูกเราพาออกมาทั้งคนทั้งรถ! บนรถคันนั้นยังมีภรรยากับลูกของกรรมการนั่งอยู่ด้วยแน่ะ เด็กคนนั้นโตพอๆ กับหยางหยางของเรา หนาวจนหน้าเขียวไปหมด เห็นแล้วน่าสงสารมาก!”
เฉิงชิงตกใจ รีบถาม “พวกเขาล่ะ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม”
ทหารคนนั้นเอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ “ไม่เป็นอะไรแล้วครับ แค่รถพังระหว่างทาง รองหัวหน้ากองส่งคนไปรับแล้ว อ่าใช่สิ กรรมการยังบอกว่าอีกเดี๋ยวจะมาขอบคุณรองหัวหน้ากองด้วยตัวเองด้วย!”
เฉิงชิงเกร็งเล็กน้อย แม้ตอนนี้หมี่เจ๋อไห่จะเป็นรองหัวหน้ากองร้อย แต่คนเป็นทหารฐานะไม่ดี บ้านเล็กๆ หลังนี้ของพวกเขามีแค่ถ้วยสังกะสีทั้งหมดสองใบ แค่นี้ไม่พอจะรองรับแขก ทำให้เธอกังวลมาก เธอกระซิบกับหมี่เจ๋อไห่เสียงเบา แต่เห็นได้ชัดว่าหมี่เจ๋อไห่อยู่ในกองกำลังภาคสนามทำตัวตามสบายจนชินแล้ว เขาสะบัดมือแล้วหัวเราะ “ไม่เป็นไร กรรมการไป๋เป็นทหารนานกว่าผมอีก หาชามง่ายๆ สักใบก็ได้แล้ว เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก!”
หมี่หยางนอนอยู่ในห้องกำลังพยายามพลิกตัว พอได้ยินเข้าก็ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย กรรมการไป๋? ทำไมเหมือนจะคุ้นหูเล็กๆ
กว่าหมี่หยางจะพยายามพลิกตัวมาได้ กรรมการไป๋ก็มาถึงแล้ว เขาไม่ได้มาตัวคนเดียว ยังมีภรรยาและลูกของเขา
มาเป็นเพื่อนด้วย เด็กน้อยคนนั้นที่ว่ากันว่าหนาวแทบแย่ถูกห่ออยู่ในผ้าห่มขนแคชเมียร์อบอุ่น หมวกเล็กหนาแบบเดียวกันบดบังไปครึ่งหน้า ดูแล้วโดนห่อจนตัวกลมดิก
เฉิงชิงเทน้ำขิงร้อนสองถ้วยให้พวกเขา เอ่ยขึ้น “กรรมการ ทำไมคุณถึงยังพาคนรักกับลูกของคุณมาอีก ถ้าเกิดหนาวอีกจะรับไหวได้ยังไงคะ!”
คุณนายไป๋ดูอายุมากกว่าเฉิงชิงไม่กี่ปี เธอจับมือเฉิงชิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร เธอก็คือเฉิงชิงที่รองหัวหน้ากองหมี่พูดถึงใช่ไหม ระหว่างทางเขาพูดถึงเธอตั้งหลายรอบแน่ะ ไปเถอะ เราไปคุยข้างในกัน ให้พวกคนหยาบกระด้างพวกนี้คุยกันเองไป”
ระหว่างที่พูดเธอก็เดินเข้าไปในห้องกับเฉิงชิง
เฉิงชิงเข้ามาข้างในแล้วโล่งอก เธอไม่ค่อยเหมาะกับสถานการณ์แบบนั้นจริงๆ คุยกับคุณนายไป๋ที่นี่ค่อยอิสระกว่าหน่อย
หมี่หยางพยายามโงขึ้นหัวมอง เมื่อเห็นหญิงสาวคนนั้นที่เดินเข้ามาพร้อมกับแม่ก็งงเล็กน้อย ได้ยินเธอแนะนำตัวเองพลางกลั้วหัวเราะ ในใจเขาก็ยิ่งดังตึกตัก
“ไม่ต้องเรียกคุณนายอะไรหรอก ฉันอายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี ฉันชื่อลั่วเจียงจิ่ง เธอเรียกฉันว่าพี่ลั่วก็พอแล้ว!” หญิงสาวถอดหมวกของตัวเองออก ปรากฏผมที่ม้วนลอนเล็กน้อย ดูทันสมัยวัยรุ่นอย่างยิ่ง เธอวางเด็กน้อยที่อุ้มอยู่ลงบนเตียงและถอดหมวกเล็กของเขาออก เด็กน้อยเผยใบหน้าเล็กเคร่งขรึมและงดงาม กำลังหลับตาทำปากแจ๊บๆ หัวคิ้วเล็กขมวดแน่น เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่คือลูกชายฉัน ชื่อไป๋ลั่วชวน เหมือนพ่อแกเลย รู้จักแต่ทำหน้านิ่งทั้งวัน ไม่น่าเอ็นดูเหมือนลูกเธอสักนิด!”
หมี่หยางมองเธออย่างทึมทื่อ กะพริบตาปริบๆ คงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอกมั้ง——แต่ว่าชื่อแซ่ที่คุณนายไป๋พูดออกมาจากปาก แล้วยังใบหน้าสวยตะลึงตะลานราวยอดสาวงามตรงหน้านี้ทับซ้อนกับไป๋ลั่วชวนหลังจากโตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้ง่ายมาก คุณชายใหญ่เขาผิวดีมาตั้งแต่เกิด เวลาโมโหก็ทำให้คนรู้สึกราวกับในม่านตามีเปลวไฟไหววูบทำเอาแทบหยุดหายใจ
คุณนายไป๋เดินเข้ามาลูบใบหน้าเล็กของหมี่หยาง ถึงขั้นเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาเช็ดน้ำลายตรงมุมปากให้เขา
เอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ “น่ารักจริงๆ~”
หมี่หยาง “…อ๋า?”
คุณนายไป๋ทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ไวขนาดนี้ก็หัดพูดแล้วเหรอ”
เฉิงชิงตอบด้วยรอยยิ้ม “เปล่าค่ะ ฉันอยู่ที่นี่ไม่มีอะไรทำ เลยหากลอนสมัยถัง[4]เล่มหนึ่งมาพูดให้แกฟังบ่อยๆ อาจจะ
หัดจากฉันมั้งคะ กลายเป็นเด็กช่างพูดเหมือนกันไปซะแล้ว”
คุณนายไป๋เอ่ย “แบบนี้ดี ต้องให้ความสำคัญกับการเรียนตั้งแต่เนิ่นๆ”
ภายในห้องอบอุ่น หญิงสาวสองคนพูดคุยและหัวเราะ ก็สนิทสนมกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงแค่มองก็รู้ว่าคุณนายไป๋เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ฐานะทางบ้านมั่งคั่ง แต่เธอไม่มีการวางท่าอะไร เฉิงชิงพูดอะไรเธอก็ต่อบทสนทนาได้ทุกเรื่อง คงจะเพราะว่าซาบซึ้ง เธอจึงรู้สึกใกล้ชิดกับเฉิงชิงและลูกของเฉิงชิงมากขึ้นเป็นพิเศษ ผ่านไปไม่นาน ข้างนอกก็มีคนเคาะบานประตูไม้ของห้อง เสียงผู้ชายทุ้มนิ่งเรียกขึ้น “เจียงจิ่ง?”
คุณนายไป๋ลุกขึ้นเปิดประตู หมี่หยางก็ถูกเฉิงชิงอุ้มขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นเห็นกรรมการไป๋ที่เดินเข้ามาตรงหน้าพอดี เห็นใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมที่มีริ้วรอยอักษรชวน[5] บางๆ ตรงหว่างคิ้วตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาก็รู้ว่านี่เป็นครอบครัวของไป๋ลั่วชวนไม่ผิดแน่ กรรมการไป๋——ไป๋จิ้งหรง โดยรวมแล้วเขาในตอนนี้และยี่สิบกว่าปีให้หลังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขายืนตัวตรงแหน็ว ทำหน้านิ่ง พอเข้ามาในห้องแล้วก็บอกกับพวกเธอว่า “รถขับกลับมาแล้ว ของที่ติดมาด้วยผมเอามาส่วนหนึ่ง”
คุณนายไป๋พูดขึ้นอย่างยินดี “อย่างนั้นดีเลย เอามาให้เลยแล้วกัน”
ไม่นานทหารยามก็อุ้มกล่องโฟมรูปร่างสี่เหลี่ยมเข้ามา พอเปิดดูข้างในมีผลไม้สดใหม่กล่องเล็กกล่องหนึ่งวางอยู่ มีกล้วยและส้มจำนวนไม่น้อย แล้วยังมีมะเขือเทศที่ทั้งแดงและใหญ่อีกหลายลูก
สองสามเดือนติดต่อกันนี้หมี่หยางก็ไม่เคยกินอย่างอื่นเลยนอกจากนมผง พอได้กลิ่นหอมของผลไม้สดใหม่กะทันหัน ก็อดขยับจมูกเล็กไม่ได้
ไป๋ลั่วชวนน้อยที่กำลังนอนหลับตา ใบหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างๆ ก็ขยับมือขยับเท้า ตัวคนยังไม่ตื่น แต่หันหน้าไปหาของกินก่อนเป็นอย่างแรก
คุณนายไป๋พูดขึ้น “นี่เป็นอาหารเสริมสำหรับเด็กที่เอาไว้เพิ่มเติม ช่วงหน้าหนาวไม่สะดวกจะเอามามากมาย แบ่ง
ให้ลูกบ้านเธอนิดหน่อย ตอนมาฉันถามรองหัวหน้ากองหมี่แล้ว เด็กทารกโตประมาณสามเดือนกินผลไม้บดได้นิดหน่อยแล้ว”
เฉิงชิงรีบร้อนโบกมือทันที ใบหน้าแดง “ไม่ ไม่ ฉันจะกล้ารับได้ยังไงคะ เยอะเกินไปแล้ว…”
เวลานี้เรือนกระจกยังไม่แพร่หลาย ช่วงฤดูหนาวทางตอนเหนือส่วนใหญ่จะเน้นผักกาดขาว หัวไชเท้า มันฝรั่งซะเป็นจำนวนมาก บางครั้งมีผักใบเขียวบ้างก็ถือว่าดีแล้ว ผลไม้ทางตอนใต้หายาก โดยเฉพาะยิ่งเป็นกล่องแบบนี้ เฉิงชิงไม่กล้ารับ
คุณนายไป๋กลับหยิบช้อนเล็กมาคันหนึ่งด้วยรอยยิ้ม หั่นกล้วยหนึ่งลูกสอนเฉิงชิงให้ป้อนลูก เธอทั้งใส่ใจและอบอุ่น เฉิงชิงเพิ่งได้เป็นแม่คนไม่นาน รอบข้างไม่มีผู้ใหญ่อยู่ เธอมีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก พอถูกเธอจับมือสอนป้อนลูกกินผลไม้บด ในใจก็อดซาบซึ้งสองสามส่วนไม่ได้
หมี่หยางกินกล้วยบดไปหนึ่งคำ ทำปากแจ๊บๆ หอมหวานมาก
แม้อันธพาลน้อยอีกคนข้างๆ จะโตไม่เกินครึ่งขวบ แต่เขาคุ้นกับการพลิกตัวแล้ว ปีนออกมาจากผ้าห่มขนแคชเมียร์เอง ร้องเรียก “อาๆ” ยื่นมือไปดึงช้อน ทำท่าทางปกป้องของกิน
คุณนายไป๋จิ้มปลายจมูกเขา พูดว่า “เจ้าแมวน้อยจอมตะกละ ให้น้องหม่ำสักคำจะเป็นอะไรไป ลูกรอก่อน เดี๋ยวกลับบ้านไปจะให้ลูกกิน”
ไป๋ลั่วชวนน้อยไม่พอใจ ยังจะกินอยู่ พอเห็นช้อนขยับเข้าใกล้ปากหมี่หยางตัวเองก็ขยับตามไป มีแต่ช้อนอยู่ในสายตา เกือบจะแทะปากหมี่หยางเข้าให้
หมี่หยางหงายหน้าไปข้างหลัง ใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงไม่ยอมกินต่อแล้ว——เขากินอะไรของเขา น้ำลายของไป๋ลั่วชวนหยดใส่หน้าเขาหมดแล้ว!!
________________________________________
[1] ในภาษาจีน คนโสดจะถูกเรียกว่า 单身狗หรือหมาเดียวดาย ดังนั้นเวลาเห็นคนรักกันจะรู้สึกเหมือนถูกป้อนอาหารหมาให้กิน อาหารหมาจึงเป็นอาการอิจฉาที่เห็นคนอื่นมีแฟน
[2] เดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติของจีน
[3] กรรมการทหารฝ่ายการเมือง คือผู้บังคับกรมทหารฝ่ายการเมือง มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับนโยบายของทางรัฐบาลจีน
[4] ราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ยุคทองของอารยธรรมจีน ศิลปวัฒนธรรมภายในยุคสมัยนั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เกิดนักกวีและบทกวีขึ้นมากมาย
[5] ริ้วรอยร่องคิ้ว มีลักษณะคล้ายกับตัวอักษร 川 ในภาษาจีน