บทที่ 4
Lilac Novel
พอส่งแขกกลับแล้ว หมี่เจ๋อไห่ก็เก็บของอยู่ข้างนอกกับเฉิงชิงพักหนึ่ง ถึงค่อยเดินเข้ามา
หมี่เจ๋อไห่ล้างหน้าแปรงฟันแล้ว อุ้มลูกชายขึ้นมาจูบหลายๆ ทีด้วยรอยยิ้ม “ลูกชาย คิดถึงพ่อหรือยัง”
เฉิงชิงถามข้างๆ หมี่เจ๋อไห่ “คุณคุยอะไรกับกรรมการไป๋เหรอ คุยกันตั้งนาน”
หมี่เจ๋อไห่ตอบ “อ๋อ หนนี้กรรมการไป๋เขามาเพราะมีภารกิจ คุยเรื่องราชการกัน เขาบอกด้วยว่า คราวนี้ต้องเลือกคนจากในหมู่พวกผมไปสอบโรงเรียนทหาร บอกว่าทางฝั่งผมไม่ค่อยกระตือรือร้นสมัครกันเท่าไหร่ แต่เป็นหน่วยเก่าแก่ที่ท่านหัวหน้าหน่วยนำอยู่ หัวหน้าหน่วยมั่นใจในตัวเรา เลยให้กรรมการไป๋มาระดมคนโดยเฉพาะน่ะ!”
เฉิงชิงเอ่ย “เป็นเรื่องดีนี่ ทำไมล่ะไม่มีคนสมัครเหรอ”
หมี่เจ๋อไห่ตอบ “ทุกคนก็อยากสมัครอยู่ แต่อย่างน้อยต้องจบมัธยมปลาย คนที่จบมัธยมทางฝั่งผมยังนับนิ้วได้เลย แล้วต้องฝึกซ้อมทุกวันอีก ปีหน้าจะมีการซ้อมรบใหญ่แล้ว สมัครแล้วก็ไม่แน่ว่าจะสอบเข้าไปได้ คนที่ยอมลำบากมีไม่ถึงสองคน”
เฉิงชิงมองเขา พลันพูดขึ้นทันที “ไม่อย่างนั้นคุณก็ไปสอบไหม”
หมี่เจ๋อไห่ตกใจ “ผม? ผมเป็นทหารมาหลายปีแล้ว ลืมเนื้อหาที่เรียนสมัยมัธยมไปหมดแล้ว ให้พวกเสี่ยวเจ้าไปเถอะ
พวกเขายังหนุ่ม”
เฉิงชิงเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคือง “ดูคุณพูดเข้า คุณก็แก่กว่าพวกเขาแค่ไม่กี่ปีเอง ฉันว่านะ คุณควรจะทำตัวเป็นแบบอย่าง เป็นคนนำการเรียนถึงจะถูก”
หมี่เจ๋อไห่สองจิตสองใจ ปกติเขาซ้อมก็เหนื่อยมากพอแล้ว ปีหน้ายังมีการซ้อมรบใหญ่อีก กองกำลังภาคสนามของพวกเขาคว้าอันดับดีๆ มาได้ทุกครั้ง แต่ก็ต้องต้องอาศัยการฝึกซ้อมและทุ่มเทแรงกาย หัวหน้าหน่วยตั้งความหวังกับพวกเขาไว้มาก พวกทหารมีความรู้ที่มาใหม่เรียนแค่นิดหน่อยก็ช่างพวกเขา ถ้าเกิดเขาหาเวลาไปเรียนอีก จับปลาสองมือ เดาว่าคงกินแรงมาก
เฉิงชิงโน้มน้าวเขา “คุณก็ลองดูสักหน่อยสิ กรรมการไป๋เขามาแล้ว คุณไม่ควรสนับสนุนงานคนอื่นเขาเหรอ” เห็นสามีสีหน้าลำบากใจเธอก็เปลี่ยนน้ำเสียง “ยังไงฉันก็ไม่สน เรื่องอื่นฉันไม่รู้ แต่สอบโรงเรียนทหารเป็นเรื่องดี คุณไม่สอบ ฉันก็จะพา
หยางหยางกลับบ้าน ไม่อยู่ในเขาลึกนี่เป็นเพื่อนคุณแล้ว ฉันจะให้หยางหยางเข้าเรียนก่อนกำหนด ฉันจะให้ลูกชายฉันไปสอบโรงเรียนทหาร!”
หมี่เจ๋อไห่เอ่ย “ตกลงๆๆ ผมจะไปสมัคร ผมไปสมัครแล้วยังไม่พออีกเหรอ!”
เฉิงชิงสีหน้าดีขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างนี้ค่อยว่ากันหน่อย”
หมี่เจ๋อไห่ถอนหายใจและกระจ่างแล้ว เขากับเฉิงชิงชอบพอกันมาตั้งแต่เล็ก แค่สายตาของเฉิงชิงเขาก็รู้แล้วว่าเธอจะ
พูดอะไร ชัดเจนว่าเธออยากให้เขาก้าวหน้า พอเขาคิดแบบนี้ แขนที่อุ้มลูกชายก็หนักอึ้งขึ้นมา เขากล่อมลูกชาย แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มให้ภรรยา “ไม่ว่าจะสอบได้ไม่ได้ ผมจะไปสำรวจลู่ทางก่อน ต่อไปลูกชายเราสอบเข้าโรงเรียนทหาร ผมก็จะได้ช่วยได้ ฮ่าๆ !”
เฉิงชิงก็แสดงท่าทีทันที “ฉันสนับสนุนเต็มที่ ต่อไปเรื่องในบ้านคุณไม่ต้องยุ่ง ยกให้ฉันทั้งหมดเลยแล้วกัน!”
หมี่เจ๋อไห่บ่นพึมพำ “ผมอยากกินอาหารที่ทำพิเศษ ไม่อยากกินข้าวหม้อใหญ่ในโรงอาหารแล้ว”
เฉิงชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ ได้ คุณตั้งใจสอบ อยากกินอะไร ฉันจะทำอันนั้นให้คุณ”
หมี่หยางจำเรื่องนี้ได้ลางๆ ตอนแรกพ่อเขาสอบโรงเรียนทหารได้ราบรื่นดี เลื่อนขั้นไปสองสามขั้น เข้าร่วมกองทัพ
ยี่สิบกว่าปีถึงได้เกษียณปลดประจำการไปทำงานเป็นหัวหน้าเล็กๆ ในหน่วยงานท้องถิ่น ครอบครัวพวกเขาพอมีพอกินมาตลอด ไม่ถึงกับร่ำรวยเงินทอง แต่ก็พอใช้ชีวิตไปได้ หลังจากเกษียณแล้วแม่เขาก็ปลูกดอกไม้ ถักเสื้อไหมพรม งานอดิเรกที่สำคัญที่สุดคือไปเต้นที่ลานสาธารณะ
เท่านี้พ่อเขายังไม่วางใจ จะตามไปด้วยให้ได้ เห็นชัดๆ ว่าเต้นไม่เก่งก็ดึงดันจะเป็นคู่เต้นให้ได้ เป็นตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ
ทั้งสองคนดีต่อกันแบบนี้ไปตลอดชีวิต หมี่หยางจำได้ว่าพวกเขาไม่เคยโกรธกันที่บ้านมาก่อน มีครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวแบบนี้ เขาก็เรียกได้ว่าเติบโตขึ้นมาในโถน้ำผึ้ง[1]แล้ว
หมี่หยางคิดเสมอว่าตัวเองก็จะใช้ชีวิตเช่นนี้ไปตลอด หาคู่ชีวิตที่เรียบง่าย ชอบยิ้ม ไม่ชอบทะเลาะ ใช้ชีวิตง่ายๆ กันสองคนไปหลายสิบปี ไม่ขอให้ร่ำรวยเงินทอง ขอแค่ให้ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว แต่ยังไงก็ไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะตื่นขึ้นมาและย้อนเวลากลับมาเริ่มใหม่ทั้งหมด
หมี่หยางเคยขบคิดว่าตัวเองย้อนกลับมาตอนเด็กได้ยังไง แต่นอกจากความทรงจำสุดท้ายที่เวียนหัวหน่อยๆ แล้ว
อย่างอื่นที่เหลือก็คิดอะไรไม่ออกเลย ราวกับถูกปิดกั้นอะไรไว้ เรื่องในอดีตบางเรื่องเขาก็จำได้ บางเรื่องก็จำได้ไม่แม่น พอคิดมากก็ง่วงนอนง่าย บางครั้งหาวอยู่ก็หลับไปเลย
แค่ตอนนี้ที่กำลังคิดแบบนี้อยู่ เขาก็อดหาวออกมาอีกครั้งไม่ได้ เปลือกตาหนักอึ้ง
หมี่หยางคิดสักพัก ก็ขี้เกียจจะคิดต่อแล้ว เขาก็จะไม่ฝืน ยังไงซะก็ย้อนกลับมาตอนเด็กแล้ว ได้แต่ใช้ชีวิตค่อยเป็นค่อยไป
เขานิสัยอบอุ่น พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีตลอด
ตอนที่หมี่หยางใกล้จะหลับ ได้ยินพ่อแม่เขาคุยกันว่า “…นี่อันนั้น ยังเย็นอยู่หรือว่าไม่เย็นแล้ว”
หมี่หยางคิดในใจ ของอะไรเย็น?
ภายในเวลาอันรวดเร็ว มะเขือเทศที่อุดมไปด้วยน้ำมะเขือเทศก็ถูกส่งเข้าปากหมี่หยาง เปลือกนอกของมะเขือเทศอุ่นขึ้นมากแล้วเพราะอุณหภูมิห้อง เปลือกบางเหมือนห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆ หนึ่งชั้น เพียงกัดเบาๆ หนึ่งทีก็ได้ดูดน้ำมะเขือเทศด้านใน หมี่หยางแค่ดมก็รู้แล้วว่ามะเขือเทศสุกแล้วลูกนี้หวานเปรี้ยวน่าอร่อย แต่เขายังไม่มีฟัน พยายามแทะแล้วทิ้งคราบน้ำลายแค่สองสามคราบ เขาอยากกินจนทนแทบไม่ไหว
เฉิงชิงอยากเลียนแบบวิธีที่คุณนายไป๋สอนเธอเมื่อครู่ ตักผลไม้บดให้หมี่หยางกิน แต่หมี่เจ๋อไห่มีความคิด
มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เสนอว่า “ไม่ต้องหรอกมั้ง กล้วยต้องทำเป็นผลไม้บด แต่ตัวมะเขือเทศมีน้ำอยู่แล้ว ควักเป็นรูให้หยาง
หยางแทะเองก็พอ”
เฉิงชิงลังเล “จะได้เหรอ ควักยังไงล่ะ”
หมี่เจ๋อไห่ก็เป็นพ่อครั้งแรก แต่คิดสร้างสรรค์มากและกระตือรือร้นในการเป็นพ่อคนครั้งแรก ไม่ช้าก็ใช้ช้อนควักเป็นรูกลมใหญ่ที่ส่วนบนของมะเขือเทศลูกนั้น มะเขือเทศที่สุกดูเนื้อแน่น รสหวานและสาก น้ำเยอะชุ่มคอทั้งยังมีความเปรี้ยวหวานเล็กๆ กินเข้าไปคำใหญ่ในคืนหิมะตกช่วงฤดูหนาว ไม่ต้องพูดเลยว่าเยี่ยมยอดขนาดไหน
หมี่เจ๋อไห่เอาเนื้อส่วนที่ควักออกมาป้อนให้ภรรยา แล้วอุ้มลูกชายมาวางไว้หน้ามะเขือเทศลูกนั้นอย่างชื่นมื่น พร้อมทั้งเอ่ย “มา ลูกชาย หม่ำเถอะ!”
หมี่หยางคว่ำอยู่ตรงนั้น ทรงตัวไม่อยู่ หัวเกือบจุ่มเข้าไปในมะเขือเทศลูกนั้น!
เขากินไปสองคำแล้วก็เงยหน้า ร้องเรียก “อาๆ” รีบร้อนอยากให้พ่อแม่อุ้มตัวเองขึ้นมา แต่คู่พ่อแม่หนุ่มสาวไม่รู้สึกตัว นึกว่าลูกชายกินอย่างเอร็ดอร่อย มีความสุขจนส่ายหัวส่ายหน้าอยู่ตรงนั้นแน่ะ !
หมี่เจ๋อไห่พูดขึ้นอย่างภูมิใจ “เห็นไหม เขากินเองได้ กินเก่งขนาดไหน!”
เฉิงชิงเห็นหมี่หยางไม่มีสัญญาณว่าจะสำลัก ก็วางใจ พยักหน้า “เก่งจริงๆ”
หมี่หยางพูดไม่ได้ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดได้ จะต้องตะโกนแน่นอนว่า : พ่อแม่ดูแลผมหน่อยสิ! ไม่กลัวผมสำลักจริงๆ น่ะเหรอ? ตอนนี้ใช้นโยบายวางแผนครอบครัว[2]หมดแล้ว ถ้าขาดผมไป พ่อแม่จะยังมีลูกคนอื่นภายในยี่สิบปีได้เหรอ โดยเฉพาะสหายหมี่เจ๋อไห่ พ่อกล้าเลี้ยงลูกคนเดียวปล่อยปละขนาดนี้ได้ยังไงกัน?!
หมี่หยางพยายามประคองหัวเล็กบนคอ ก้มหัวก็โดนแรงโน้มถ่วงถ่วงลงไปเปรอะน้ำมะเขือเทศเต็มหน้า น้อยใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
พ่อแม่หวังพึ่งไม่ได้แล้ว เขาจะทำยังไงได้?!
หมี่หยางได้แต่ระวังแล้วระวังอีก พยายามพึ่งตัวเองทรงตัวต่อไป
แทะมะเขือเทศไปครึ่งลูกเขาก็แทะไม่ไหวแล้ว ดีที่เฉิงชิงก็รู้สักทีว่าจะปล่อยให้ลูกกินเยอะเกินไปไม่ได้ จึงเก็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เช็ดหน้าเช็ดมือเขาให้สะอาด แล้วป้อนน้ำเปล่าให้เล็กน้อย เริ่มกล่อมเขานอน
คืนนี้หมี่หยางเหนื่อยมาก ไม่รอให้เฉิงชิงร้องเพลงกล่อมนอนจบก็หลับไป
ในฝันเขาเห็นตัวเองเมื่อชาติที่แล้วอีกครั้ง ยังคงเป็นวันนั้นที่เขาเป็นหวัด เขาขี่จักรยานเอาเงินใส่ซองไปให้ไป๋ลั่วชวน พอค้นทุกซอกทุกมุมเตรียมอั่งเปาหนึ่งซองใส่เงินไว้เรียบร้อย ตอนที่จะเอาให้เขากลับถูกคุณชายไป๋เยาะเย้ยถากถางอย่างไร้เยื่อใย
ไม่รู้เพราะอยู่ในฝันหรือไม่ หมี่หยางรู้สึกราวกับตัวเองแยกร่างออกมา ไม่ได้รู้สึกอัดอั้นและโกรธเคืองอย่างในตอนแรกแล้ว พอเห็นเจ้าสาวคนนั้นของไป๋ลั่วชวนที่ว่ากันว่าเข้าพิธีหมั้นกับเขา ก็ยังคงไม่ได้มีปฏิกิริยามากมาย เทียบกับความผันผวนทางอารมณ์ซึ่งเกิดจากความอับอายที่ไป๋ลั่วชวนพูดสองประโยคนั้นกับตัวเขาเองไม่ได้เลย
ตอนอยู่บนเวทีไป๋ลั่วชวนไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ไม่ยอมทำหน้าดีๆ สักนิด หญิงสาวคนนั้นก็ไม่กล้าพูดสักคำ พอมีคนเข้ามาหา เธอกลับแสดงใบหน้ายิ้มแย้มรับแขก พยายามรักษาสิ่งที่เรียกว่าหน้าตา
หมี่หยางรู้ตั้งนานแล้วว่าไป๋ลั่วชวนมองใครหน้าไหนก็ไม่เข้าตาทั้งนั้น คนผู้นี้เอาแต่ตัวเองเป็นศูนย์กลางเสมอ ทำอะไรตามใจตัวเอง เอาแต่ใจโดยไม่คิดจนชินแล้ว ทว่าเขาก็มีสิทธิ์นั้น ตัวไป๋ลั่วชวนคือแสงสว่างที่รวบรวมจิตใจผู้คน เกิดมาก็ต้องถูกผู้คนยกย่อง ต้องแหงนหน้ามอง
หมี่หยางมองอยู่จากที่ไกลๆ ว่ากันตามจริงแล้วเขาไม่ได้เกลียดไป๋ลั่วชวน เมื่อคุณชายไป๋อยากดีกับใคร ก็มีท่าทีราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ยากจะมีใครทำสีหน้าเย็นชาใส่เขา
หมี่หยางเพียงแค่ขี้เกียจ พอเขานึกถึงคนที่อยู่รอบข้างไป๋ลั่วชวนที่พยายามรักษารอยยิ้มจอมปลอม ก็เกิดความคิด…
อยากหนีกลับบ้านไปช่วยแม่ปลูกดอกไม้
เขาเติบโตมาในครอบครัวเล็กๆ แบบนี้ และชอบบรรยากาศเรียบง่ายแบบนี้ คนที่เยินยอไป๋ลั่วชวนมีมากมายขนาดนั้น ยังไงก็ไม่ขาดเขาแค่เพียงคนเดียว พอคิดแบบนี้เขาก็ได้แต่รักษาภาพพจน์อย่างเต็มใจ ทั้งสองคนจึงค่อยๆ ห่างกันไป
ภาพแตกร้าวสั่นไหว หมี่หยางรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
ในความฝันเขายันกำแพงไว้ไม่อยู่ และรู้สึกราวกับกำแพงกำลังสั่นสะเทือน เหมือนมือไม่อาจเกาะไว้ได้ เขาได้ยินไป๋ลั่วชวนกำลังพูดกับตัวเอง——
“ฉันอยากย้อนกลับไปตอนเด็กจริงๆ เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น รู้จักนายใหม่อีกครั้ง” ไป๋ลั่วชวนขยับเข้ามาชิดใกล้ ลมหายใจร้อนแทบจะพรูรดใบหูของหมี่หยาง มือข้างหนึ่งกดที่หน้าอกของหมี่หยางอย่างแรง พลางกัดฟันพูดประโยคนั้นที่เขายังพูดไม่จบออกมา “ควักหัวใจนายออกมา ดูสิว่ามันเป็นใจหินใจเหล็กอะไร หลายปีมานี้ไม่เคยหวั่นไหว…ใจร้ายใจดำได้ขนาดนี้!”
เขาพูดอย่างจริงจัง หมี่หยางตกใจจนเหงื่อท่วมตัว
เขาลืมตาแล้วกะพริบ ภายในห้องมืดสนิท ได้ยินเสียงลมข้างนอกพัดละอองหิมะมากระทบบานประตูและหน้าต่าง ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดนี้ หิมะข้างนอกยิ่งถูกขับให้สว่างยิ่งขึ้น
ข้างๆ เป็นเสียงลมหายใจของพ่อกับแม่หลังจากหลับไปแล้ว แม่ที่โอบเขาอยู่กำลังนอนตะแคง ท่าทางปกป้องเขา ส่วนพ่อที่ฝึกมาทั้งวัน เหนื่อยล้าจนกรนเสียงดังลั่น
หมี่หยางขยับมือและเท้าอย่างระมัดระวัง ไม่ส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว ผ่านไปนานถึงจะหลับลงอีกครั้ง
คงเพราะคิดถึงไป๋ลั่วชวนมากเกินไป ในฝันคราวนี้ เขาฝันถึงไป๋ลั่วชวนอีกแล้ว แต่เป็นคุณชายไป๋น้อยที่เพิ่งหัดพลิกตัว หัดกินผลไม้บด ยืดตัวนอนหงาย ทั้งหยิ่งยโสทั้งน่ารัก
คุณชายน้อยในฝันยื่นมือมาหาเขา เขาลังเลเล็กน้อย คุณชายน้อยก็ทำท่าจะเปลี่ยนสีหน้าร้องไห้ยกใหญ่ หมี่หยางได้แต่โน้มตัวกอดเขาไว้ตบหลังให้เขาเบาๆ ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ ไม่หยุดของไป๋ลั่วชวน
เสียงหัวเราะสมจริงมาก ตอนหมี่หยางตื่นขึ้นมาก็รู้สึกราวกับว่าเสียงหัวเราะนั้นยังดังก้องอยู่ข้างหู
“คิกๆ…ฮ่าๆๆ!”
หมี่หยางเอียงคอมอง ในฝันซะที่ไหนกัน ทำไมคุณชายไป๋น้อยถึงถูกอุ้มมาหาเขาอีกแล้ว?
________________________________________
[1] หมายถึง โชคดี เต็มไปด้วยความรัก
[2] นโยบายวางแผนครอบครัวส่งเสริมการแต่งงานช้า มีลูกช้า มีลูกน้อย และให้กำเนิดลูกที่ร่างกายแข็งแรง เพื่อลดอัตราการเกิดของประชากรภายในประเทศจีน เริ่มใช้ในปีค.ศ. 1982