ตอนที่ 14 เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง VIII
เจ้า‘เป็ดไก่’ยักษ์ที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรชนิดนี้ ถึงรูปร่างจะน่าเกลียดมากแต่มันกลับมีรสชาติที่ดีอย่างน่าประหลาด
จางเฮงกินอาหารทะเลมานานจนเขาเกือบลืมรสชาติไก่ไปแล้วว่าเป็นยังไง ซุป ‘เป็ดไก่‘ ที่เขาต้มเพื่อเป็นอาหารค่ำหวนคืนความทรงจำกลับมา
ถ้าจะพูดอย่างจริงจังแล้วละก็ เนื้อของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีความเหนียวกว่าเนื้อไก่มากและใกล้เคียงกับเนื้อสัมผัสของนกพิราบมากกว่า
แต่สำหรับจางเฮงผู้ซึ่งคิดถึงเนื้อเกือบจะบ้าตาย นี่เป็นไก่ที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกินมา จางเฮงจัดการ ‘เป็ดไก่’ทั้ง 15 ตัวในมื้อเดียว จางเฮงนำเครื่องในออกไปแช่ในน้ำทะเลแล้วรมควัน เนื้อ‘เป็ดไก่‘แดดเดียวตอนนี้ถูกแขวนไว้อยู่ใต้ชายคาบ้านของเขา
จางเฮงพบพื้นที่ข้างหลังบ้านย่อมหนึ่งที่มีแสงแดดส่องอย่างทั่วถึงดีและเขาปลูกมันฝรั่งที่เขาเก็บมา นอกจากนี้เขายังเผาหญ้าและไม้ไปโรยใส่เพื่อเป็นปุ๋ย ท้ายที่สุดเขาก็ทำรั้วกั้นรอบแปลงผักและเฝ้ารอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นในอีกประมาณครึ่งเดือนจากนี้
ตอนแรกจางเฮงบันทึกเวลาบนผนังถ้ำแต่เขาไม่สามารถย้ายกำแพงไปยังที่อยู่ใหม่ของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงอาศัยนาฬิกาบนข้อมือของเขาแทน
ด้วยความทนทานของนาฬิกาที่ไม่สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ วันก่อนมานี้บนเกาะจางเฮงได้ใช้มันเพื่อลับหิน เมื่อดูที่ตำแหน่งของเข็มชั่วโมงและเข็มวินาทีเขาสามารถใช้การคำนวณอย่างง่ายเพื่อกำหนดวันที่ได้ วันนี้เป็นเวลา 201 วันแล้วตั้งแต่เขาถูก ‘ซัดมาที่ฝั่ง‘
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เป็นสิ่งแรกที่ขาดวิ่น จากนั้นรองเท้าของเขาก็มีรูขนาดใหญ่ เขาโชคดีที่ได้อยู่ในเขตร้อน เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอุณหภูมิแม้ว่าจะเป็นฤดูหนาว บางวันจางเฮงก็ไม่ใส่เสื้อผ้าเลยทั้งวัน
ตอนนี้ผิวเขาเป็นสีแทนจากแดด หนวดเครารุงรังและผมยุ่งเหยิงจนเป็นฝอย เขาดูสกปรกเล็กน้อย
บ่ายวันนี้จางเฮงวางสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ และปีนขึ้นไปบนหน้าผาริมชายหาด เขานั่งไขว่ห้างและจ้องมองไปยังที่ห่างไกล
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเพื่อนเก่าที่เขารออยู่ก็ปรากฏ
นักผจญภัยกำลังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ดูเหมือนจะจมได้ตลอดเวลา
จางเฮงมองดูเงาที่ขึ้นลงกระทบกับผิวน้ำ
รัสเซลล์ผู้เป็นทั้งนักปราชญ์นักคณิตศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่าชีวิตของเขาถูกควบคุมด้วยความหลงใหล 3 ประการง่ายๆแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง: การปรารถนาความรัก การไขว่คว้าหาความรู้และการสงสารจนทนไม่ได้กับความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุษย์
สิ่งที่จางเฮงทำได้ตอนนี้นั้นง่ายกว่ามาก
มีเพียงสองสิ่งที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ถึง 500 วัน – การสำรวจใจกลางเกาะและการเห็นชายคนนั้นปรากฏตัวในน้ำทุกๆ 40 วัน ก่อนหน้านี้เขาพยายามทำตัวให้ยุ่งและทำตัวเองไม่ให้ไร้จุดหมาย; ซึ่งนี้เป็นสิ่งย้ำเตือนเขาว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
หลายครั้งที่จางเฮงถูกล่อลวงให้ช่วยนักผจญภัย
การช่วยชีวิตเขาหมายถึงการมีคนอยู่กับเขาเป็นเวลา 19 วัน เขาคงได้ในสิ่งที่เขาต้องการมากในตอนนี้นั้นคือการได้พูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น มีเพื่อนและมีความอบอุ่นจากสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน
แต่จางเฮงไม่เคยทำอะไรเลย
เขาคิดถึงภาพยนตร์ที่เขาเคยดูชื่อเรื่องว่า ‘Cast Away’ เครื่องบินที่ตัวเอกขึ้นนั้นตกและเขาก็ถูกน้ำพัดขึ้นฝั่งพร้อมกับกองพัสดุจำนวนมาก เพื่อความอยู่รอดเขาเปิดแพ็คเกจทั้งหมดแต่เหลือไว้เพียงอันเดียวเพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของความหวังสำหรับเขา
การเห็นนักผจญภัยทุกๆ 40 วันคือความหมายเดียวกันกับจางเฮง
เขาอยู่บนเกาะนี้มานานกว่าสองร้อยวัน นั่นจะเท่ากับเวลาเล่นเกมห้ารอบสำหรับผู้เล่นทั่วไป เขายังห่างไกลจากวันที่ต้องกลับสู่ความเป็นจริง
ถ้าตอนนี้เขาช่วยเหลือชายคนนั้น เขาจะตายหลังจาก 19 วันและเขาจะอยู่คนเดียวอย่างแท้จริง ไปตลอดเวลาที่เหลืออยู่บนเกาะ
แม้ว่าทักษะการเอาตัวรอดในป่าของเขามาถึงเลเวล 1 แล้ว เขาก็ยังขาดอยู่ในหลายๆทาง (เช่นเขาอยากได้เกมคอนโซลแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเตตริสหรือเกมงูก็เถอะ) ถึงกระนั้นการเลเวลขึ้นก็ไม่ได้กดดันอย่างที่เคยเป็นเมื่อตอนที่เขามาถึงบนเกาะเป็นครั้งแรก
ในทางตรงกันข้ามเขาต้องการผู้ช่วยในการสำรวจเกาะ แน่นอนว่าเขาทำได้เพียงลำพังแต่มันจะปลอดภัยกว่ามากเมื่อมีคนอยู่ที่นี่ 2 คน
จางเฮงวางแผนที่จะพานักผจญภัยเข้าป่าไปกับเขา หลังจากที่ช่วยชีวิตเอาไว้
เขายืนยันได้จากที่ได้เจอกับเอ็ดและเด็กหนุ่มในกางเกงขาสั้น ว่าทั้งคู่เป็นผู้เชี่ยวชาญการเอาตัวรอดในป่า แต่ขอบเขตความรู้ของพวกเขาต่างกัน ทักษะและความรู้ที่เอ็ดมอบให้เป็นทักษะการเอาชีวิตรอดขั้นพื้นฐาน ในขณะที่เด็กกางเกงขาสั้นนั้นไปทางสร้างสรรค์และสร้างสิ่งของมากกว่า เมื่อสังเกตการแต่งตัวของนักผจญภัย จางเฮงก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการสำรวจ มันคงจะน่าอึดอัดใจสำหรับเขาหากจะช่วยชีวิตชายคนนั้นตอนนี้
จางเฮงต้องระงับความปรารถนาที่จะช่วยชีวิตชายคนนั้นไว้ ในขณะที่เขาทำได้เพียงมองดูคลื่นดูดกลืนชายคนนั้นลงไปเป็นครั้งที่สี่
เมื่อมองไปที่จุดที่ผู้สำรวจหายตัวไปเป็นครั้งสุดท้าย จางเฮงก็กระโดดลงจากหน้าผาและฝึกยิงธนูต่อไป
เขาใช้เวลา 3 เดือนกว่าจะยิงได้แม่นยำสูงถึง 90% ที่ 30 เมตร
แต่ก็ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆดังขึ้นมาจากอัพเกรดสกิล แต่สิ่งนี้ไม่ทำให้จางเฮงท้อใจ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าเกมนี้มีความมาตรฐานสูงกว่าปกติ ภาษาอังกฤษซึ่งเขาเรียนรู้มา 14 ปีและภาษาแม่ที่เขาใช้มาตั้งแต่เกิดนั้นกลับอยู่เพียงแค่เลเวล 1 เท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาว่ามีกี่ภาษาอยู่บนโลก การจัดประเภทนี้คงค่อนข้างยุติธรรมแล้ว
เช่นเดียวกับการเอาชีวิตรอดในป่า จางเฮงคิดว่าถ้าทุกคนบนโลกถูกโยนลงไปที่เกาะนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่มีชีวิตรอดแต่อย่างน้อยเขาก็จะต้องติดหนึ่งในสิบอันดับผู้รอดชีวิตแน่ๆ แต่สกิลของเขาโน้มไปด้านหนึ่งอย่างมากเพราะหากเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอีกประเภทหนึ่งเขาคงทำสิ่งนั้นได้ไม่ดี อย่างเช่นพื้นที่ขั้วโลกหรือทะเลทราย เขาคงแทบจะไม่รอดเลยจากที่นั่นเลย นั่นคือความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเขากับผู้เชี่ยวชาญ
ดังนั้นจางเฮงจึงไม่รีบเร่งที่จะพัฒนาสกิลการยิงธนูของเขา
เมื่อเขาเชี่ยวชาญการยิงในระยะ 30 เมตรแล้วเขาก็เริ่มฝึกฝนกับเป้าหมายเคลื่อนที่
ในตอนแรกเขาใช้ปลาที่ว่ายน้ำใกล้กับแนวปะการังเป็นที่ฝึกซ้อม แต่หลังจากยิงได้ 2 ครั้งเขาก็คิดได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นเหนือน้ำนั้นจริงๆแล้วมันสะท้อนและหักเหกับแสง หากเขายังคงฝึกฝนเช่นนั้นสกิลการยิงธนูของเขาคงจะเอียงแน่
เขาเลยเปลี่ยนมาฝึกกับปู แต่สัตว์พวกกุ้งกั้งปูเหล่านี้เป็นเหยื่อชนิดที่ไม่ขยับหากศัตรูยังคงอยู่ เขาลองแล้วว่าเป็นเป้าซ้อมที่แย่มาก จางเฮงไม่เคยคิดที่จะฝึกกับนกเลยเพราะนกส่วนใหญ่มักอยู่บนยอดไม้ หากเขาพลาดมันคงยากมากที่จะไปเก็บลูกธนูของเขา
ในท้ายที่สุดจางเฮงนั่งทำบนเครื่องปั้นดินเผาให้แตกเป็นชิ้นๆ แล้วผูกพวกมันไว้กับกิ่งไม้ เวลาลมพัดผ่านมันก็จะแกว่งไปมา
นั้นทำให้ยิงทำยากมาก
จางเฮงใช้เวลาฝึก 2 เดือนในการฝึกกับของที่ผูกกับเชือก ในตอนนั้นเองเขาจับ‘เป็ดไก่‘น่าเกลียดนี้ในสภาพสมบูรณ์ เพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ได้เข้าไปในแปลงผักของจางเฮง และมันคงจะได้จิกกินอาหารเช้าไปแล้วฟรีๆ แต่หัวของมันดันติดเข้าไปในรั้วแทน
จางเฮงคิดและตัดสินใจว่าเขาคงไม่รีบกินมัน จากนั้นเขาจึงผูกขาของสัตว์ตัวนั้นไว้กับเสาไม้ ตอนนี้เขามีเป้าหมายเคลื่อนที่ที่ดีกว่าเดิมแล้ว
จางเฮงเผาหัวลูกศรของเขา จากนั้นก็เริ่มโจมตีอย่างไร้มนุษยธรรมกับ ‘เป็ดไก่‘