ตอนที่ 15 เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง IX
ช่วงแรก จางเฮงนั่งนับวันรอวันที่เขาจะได้กลับไปสู่โลกแห่งความจริง
จากนั้นเขาพบว่าการทำอย่างนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากทำให้เขายิ่งท้อแท้ ยิ่งมองเวลามากเท่าไหร่เวลาก็ยิ่งเดินช้าลงมากเท่านั้น
เขาเลยไม่ใส่ใจมันอีก แล้วในระหว่างการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากมันฝรั่งที่เขาปลูกเป็นครั้งที่ 4 เขาก็ได้รับการแจ้งเตือน
[สกิลการยิงธนูเลื่อนขึ้นจากเลเวล 1 เป็นเลเวล 2 ดูรายละเอียดได้ที่หน้าข้อมูลตัวละคร]
จางเฮงวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วไปขุดนาฬิกา Tissot ที่อยู่มุมหนึ่งของบ้าน หลังจากใส่นาฬิกา เขาถึงเห็นว่าเวลาบนเกาะนี้ผ่านไป 385 วันแล้ว – มากกว่าปีหนึ่ง
ถึงจะเทียบกับโรบินสัน ครูโซไม่ได้ แต่นี้ก็น่าแปลกใจมากแล้วสำหรับคนในเมืองกรุงอย่างเขา
เอาจริงๆจางเฮงเริ่มชินกับชีวิตในป่าแบบนี้ซะแล้ว และเพื่อทำให้สะดวกสบายมากขึ้นเขาได้ขยายพื้นที่ของบ้านดินและแปลงผักเพิ่มเติมไปแล้วสองครั้ง จากเดิมบ้านเป็นเพียงห้องๆเดียวขยายมาเป็น 3 ห้องกับอีก 1 ห้องนั่งเล่น จางเฮงยังใส่เครื่องทำความร้อนและทำความเย็นใต้พื้น และแปลงผักมีผลผลิตออกมาเยอะเกินกว่าที่จะกินหมด จางเฮงจึงหั่นมันฝรั่งที่เหลือออกเป็นชิ้นเล็กๆจากมีดหินแล้วปล่อยให้แห้งภายใต้แสงดวงอาทิตย์ นั้นเป็นจุดกำเนิดของมันฝรั่งทอดออร์แกนิก 100%
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเจอหัวหอมอยู่ในป่าแล้วเอามันกลับมาปลูกที่แปลงผักของเขา แล้วเขายังสร้างบ่อปลา ห้องน้ำเอาท์ดอร์ และสร้างเล้าใกล้กับกระท่อมเล็กๆของเขา และในบ่อปลาเขาจับปลาและปูที่เขาไม่กินมาใส่ไว้ และ‘เป็ดไก่’ที่หัวติดอยู่ตรงรั้วก็ได้เป็นผู้อาศัยรายแรกในเล้าของเขา
หลังจากยิงไปที่สัตว์ตัวนั้นกว่าหนึ่งเดือนครึ่ง จากที่มันมีท่าทางว่า “มาสิ ไม่กลัวหรอก จับให้ได้สิ” สู่นัยน์ตาว่างเปล่าไร้ซึ่งวิญญาณ
จางเฮงรู้สึกเสียใจสำหรับเรื่องนี้และเขาห้ามตัวเองไม่ให้กินมัน ด้วยความตั้งใจว่าจะเก็บ‘เป็ดไก่’ตัวนี้ไว้แบบมีชีวิต และหวังว่ามันจะออกไข่ให้เขาเก็บได้ในสักวัน แต่เขาก็ฝันสลายเมื่อเขาพบว่ามันเป็นตัวผู้
เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ ยังไงจางเฮงก็ตัดสินใจที่จะเลี้ยงไว้และตั้งชื่อว่า ‘มิกกี้ เมาส์’
เทียบกับปลา,นกแล้วก็ปูแล้ว เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มี IQ สูงกว่านิดหน่อย ปฏิสัมพันธ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเจ้านายกับสัตว์เลี้ยง
จางเฮงยิงโดนเป้าเคลื่อนไหวในระยะ 10 เมตรได้ 80% และยิงโดนเป้าได้ 50% สำหรับระยะ 30 เมตร เมื่อสกิลการยิงธนูของเขาก้าวเข้าสู่เลเวล 2 เขารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเคลื่อนย้าย
เขาใช้เวลา 10 วันในการรวบรวมอาหารและของต่างๆสำหรับคน 2 คน และเตรียมจัดสรรค์ปันส่วนสำหรับมิกกี้ เมาส์ไห้พอ 1 เดือน จากนั้นเขาเลือกไม้ที่แข็งที่สุดที่เขาสามารถหาได้ และทำเป็นหอกเพื่อใช้เป็นอาวุธระยะประชิด
ในวันที่ 401 จางเฮงกำลังพายอยู่บนแพไม้ที่เขาทำเพื่อไปช่วยนักผจญภัยที่ลอยเหนือน้ำ
“ขอบคุณเพื่อน นายเป็นคนบนเกาะนี้เหรอ? พายุไต้ฝุ่นมันจมเรือที่ฉันเคยอยู่ ฉันเป็นคนเดียวที่ว่ายมาถึงที่นี่ ฉันเหนื่อยมาก ถ้าไม่ได้นาย ฉันคงไม่รอดแน่”
จางเฮง งงจนพูดไม่ออก ‘นี่ฉันดูเหมือนคนท้องถิ่นเหรอ?’
เขามองเงาที่สะท้อนลงบนน้ำทะเล ยอมรับก็ได้ ตอนนี้หน้าตาเขาดูเป็นคนท้องถิ่นจริงๆด้วย เขาอยู่บนเกาะนี้นานเกินไป นอกจากนาฬิกาแล้ว ทุกอย่างที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ต่างก็แรกพังหรือไม่ก็ใช่ไม่ได้ไปหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นความสุขที่ได้เห็นใครบางคนในสายพันธุ์เดียวกัน ล่าสุดคือเกือบหนึ่งที่ปีแล้วที่จางเฮงได้พูดคุยกับคนอื่น เขาแทบจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เขายื่นถังไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำดื่มส่งไปให้ชายคนนั้น
“ฉันชื่อจางเฮงและไม่ใช่คนที่นี่ เรือฉันก็จมเหมือนนาย แต่ฉันอยู่ที่นี่มาเกือบปีแล้ว”
หลังจากที่นักผจญภัยดื่มน้ำแล้วผิวของเขาก็ดูดีขึ้นอย่างมาก ตอนแรกชายคนนี้กังวลว่าหนุ่มพื้นเมืองคนนี้จะช่วยเขาเพื่อเอาเขากลับไปเป็นมื้อค่ำ แต่จากนั้นเขาก็โล่งใจและดีใจที่พบว่าอีกคนเป็นคนในเมืองเช่นกัน
“ชื่อของฉันคือเบลล์ บูตาร์และฉันเคยอยู่ในกองกำลังพิเศษของสหราชอาณาจักร สเปเชียลแอร์เซอร์วิสที่ 21 (21 SAS) เคยปีนขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์จากนั้นจึงตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพ และเป็นนักสำรวจและนักเขียน … นายบอกว่านายอยู่ ที่เกาะนี้มา 1 ปีเหรอ? มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ”
“จริงๆแล้วฉันเคยมีเพื่อนอยู่ 2 คนน่ะ แต่เขาทั้งคู่ก็ไม่รอด” จางเฮงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อว่า “นายจำคน 2 คนที่ตกไปในทะเลกับนายได้ไหม?”
“คน 2 คนที่อยู่ในทะเลกับฉันเหรอ?” เบลล์งงงวยกับสิ่งที่ได้ยิน “ตอนที่ทุกอย่างเกิดขึ้นฉันก็อยากช่วยชีวิตคนนะ แต่น้ำก็ซัดก็ถาโถมเข้ามาทำให้ฉันหมดสติและเมื่อฉันลืมตา ฉันก็เห็นเกาะเล็กๆนี้”
จางเฮงไม่แปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ แต่เสียดายที่เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเอ็ดหรือเด็กหนุ่มกางเกงขาสั้นเลย เขาคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาลอยอยู่ในมหาสมุทรมาเป็นปีแล้ว
จางเฮงตัดสินใจที่จะเล่นตามน้ำไป แม้ว่าเขาอยากจะรู้ว่าทำไมเกมถึงวนซ้ำบัคแบบนี้
เขาพายกลับไปที่ฝั่ง แล้วจางเฮงก็พาเบลล์ไปที่กระท่อมเล็กๆของเขา
“นายสร้างทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองงั้นเหรอ?” การที่เห็นบ้านดินที่มีมุมมองแบบเห็นทะเลได้ 180 องศาและสวนผักที่อุดมสมบูรณ์แถมยังมีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยปลาและกุ้ง จนเบลล์ถึงกับอุทานขึ้นมา “ฉันไม่คิดว่าฉันต้องสอนอะไรนายแล้วนะเนี่ย ฉันคงจะทำได้ไม่ดีไปกว่านี้หรอก”
ในขณะที่เขากำลังพูด สายตาของเบลล์พลันมองไปที่มิกกี้เมาส์ที่กำลังส่งเสียงอยู่ในเล้า แล้วเขาก็กรีดร้องออกมา
จางเฮงคิดว่ามิกกี้เมาส์ดูน่ากลัวจนทำให้ชายคนนี้ถึงกับหลั่งน้ำตาและเขากำลังจะแนะนำให้รู้จักกัน แต่เบลล์ก็ร้องขึ้นมาว่า“ โอ้ พระเจ้า! นี่จริงหรือเปล่า! นกโดโด! นกโดโดที่มีชีวิตและกำลังหายใจอยู่ในโลกใบนี้เนี่ยนะ!”
คราวนี้เป็นจางเฮงเองที่ตกตะลึง
เขาไม่ได้ไม่รู้จักนกที่ชื่อกว่าโดโด จากที่เคยอ่านมานกชนิดนี้อาศัยอยู่อย่างปกติสุขบนเกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดียจนกระทั่งกลุ่มอาณานิคมยุโรปมาถึง ความหายนะตกลงมาที่นกสายพันธุ์นี้และในช่วงเวลาสั้นๆเพียง 200 ปี นกก็ถูกกวาดล้างไปจนหมด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบสักตัวเดียว
จางเฮงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาได้กินนกประจำชาติของเกาะมอริเชียสไปแล้ว
แต่ในเมื่อนี่เป็นแค่เกม ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
ดูจากความมั่นใจของจางเฮงตอนนี้แล้วเบลล์คงมีปัญหานิดหน่อย เขาจึงตัดสินใจให้เพื่อนใหม่คนนี้ได้อธิบายตามหลักการ “นกโดโดสูญพันธุ์ในปี 1681 มีความคิดเห็นแตกออกอย่างหลากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้ – บ้างก็ว่าชาวยุโรปกินมันไปหมดแล้ว บ้างก็ว่าสัตว์ที่ชาวอาณานิคมนำมาด้วยนั้นทำให้เกิดการบุกรุกทางชีวภาพ หรือทฤษฎีที่ว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป… ไม่ว่าเป็นเพราะอะไร นกพวกนี้ก็ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกใน 16 ปีต่อมา กระดูกของนกโดโดถูกขายในการประมูลเป็นเงิน 500,000 ปอนด์ และการค้นพบของนายบนเกาะนี้ต้องทำให้ทั้งโลกตกตะลึง!”
‘น่าเสียดาย นี้เป็นแค่โลกเสมือนในเกม ออกไปนอกเกาะก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น…’ จางเฮงคิดกับตัวเอง
แทนที่จะพูดเรื่องนี้กับเบลล์ จางเฮงเลือกที่จะทำอย่างอื่นแทนด้วยวิธีที่ยอมรับได้ง่ายกว่า เพื่อบอกเขาว่า “เบลล์ถ้านี่เป็นนกโดโดจริงๆ เราต้องหาทางออกจากเกาะนี้และเอาไปแสดงให้โลกเห็นแล้วแหละ”
“ใช่เลย” เบลล์เห็นด้วย “แต่การที่มีนกโดโดอยู่บนเกาะนี้นั้นไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเราเลย เพราะนั่นหมายความว่าไม่เคยมีใครมาที่นี่ และคงไม่อยู่ในเส้นทางเดินเรือของเรือลำไหนเลย”
“ฉันอยู่ที่เกาะนี้มามากกว่าปีหนึ่ง ฉันคุ้นเคยกับพื้นที่รอบนอกของเกาะแล้ว และฉันกำลังคิดที่จะเข้าไปในใจกลางของเกาะเพื่อสำรวจ … อืม ใครจะรู้ฉันอาจจะเจอวิธีที่จะพาเราออกจากเกาะนี่ก็ได้”
“งั้นให้ฉันไปด้วยสิ ฉันคิดว่าฉันช่วยนายสำรวจได้นะ” เบลล์พูดด้วยความรีบร้อน “เราจะไปกันตอนไหน? พรุ่งนี้เลยไหม?”
“ไม่หรอก… รอให้ร่างกายนายฟื้นตัวเต็มที่อีกสักสองวันก่อน แล้วระหว่างนั้น… มาคุยกับฉันก่อน” จางเฮงมองไปที่นักสำรวจด้วยสายตาที่กระตือรือร้น
“???”