ตอนที่ 34 โตเกียวดริฟท์ IV
จางเฮงไม่ได้เบี่ยงไปมองทางอื่นในทันที เขากำลังคิดหาวิธีที่จะเข้าสู่ภารกิจหลักอยู่พอดี แล้วนี้ไง โป๊ะเชะ! – เบาะแสที่จะนำไปสู่ภารกิจหลักก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!
กลุ่มที่เรียกกันว่าโบโสะโซคุกลุ่มนี้เป็นคนที่ฝักใฝ่ในการแต่งรถอย่างมาก หากเขาหาทางเข้าร่วมกลุ่มนี้ได้ เขาก็คงจะได้รู้จักการแข่งรถใต้ดินทุกประเภท การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในกลุ่มนั้นสักคนสองคน คงทำให้เขาได้เจอกับใครสักคนที่อาจจะสอนสกิลการแข่งรถให้เขาได้
แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง – เขาสัมผัสได้ว่าอามิโกะไม่ชอบคนกลุ่มนี้เอาเสียเลย และถ้าหากไม่มีเธอคอยช่วยแปลให้เขา เขาก็ไม่มีทางสื่อสารกับคนกลุ่มนั้นได้แน่
เขาควรจะโน้มน้าวให้อามิโกะมาช่วยเขา หรือควรลากเธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ดีไหมนะ?
จางเฮงไม่ได้มีเวลาจะมาสองจิตสองใจ และในตอนที่ผู้ชายสวมผ้าคาดศีรษะกำลังจ้องมองมาทางนี้ เขาก้มหัวลงและหลบเลี่ยงการสบตา ลูกค้ารายอื่นส่วนใหญ่ก็ทำแบบนั้นเหมือนกันหมด กลุ่มโบโสะโซคุนี่รู้สึกเหมือนว่าจะเหนือกว่าคนทั่วไป พวกเขาผิวปากและหัวเราะเสียงดังขณะที่เดินกลับไปที่โต๊ะว่างด้านหลัง
สุดท้ายจางเฮงจึงตัดสินใจที่จะไม่ทรยศต่อมิตรภาพระหว่างเขาและอามิโกะเพราะกลุ่มคนพวกนี้โง่เกินไป หากเขาจะต้องไปพูดคุยกับพวกนั้นด้วยตัวเอง เขาจะต้องลดความฉลาดของเขาเพื่อให้อยู่ระดับเดียวกันกับพวกนั้น
จางเฮงไม่ได้อยากโดนทำร้ายหรือชอบเจ็บตัว เขาจึงตัดสินใจแล้วว่าจะล้มเลิกความตั้งใจดังกล่าวแทน เขารู้ว่านี่ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะมีส่วนร่วมในการแข่งซิ่งรถและยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากนักเลงกลุ่มนี้
ในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา จางเฮงใช้เวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นและทำงานที่ร้านอาหารตะวันตก เขายังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องการแข่งรถเลยแต่ความสัมพันธ์ของเขากับอามิโกะนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่ทำงานด้วยกันโดยจางเฮงช่วยปรับแก้การออกเสียงภาษาจีนกลางของอามิโกะและในทางกลับกันอามิโกะก็ได้สอนภาษาญี่ปุ่นให้แก่เขา จางเฮงเริ่มรู้สึกว่าอามิโกะชอบส่งข้อความมาพูดคุยกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่ได้รู้จักเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็คิดว่าอามิโกะเป็นผู้หญิงที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องจริงๆ ตั้งแต่เรื่องแมวโมโมะ เรื่องสุนัขจรจัดบนท้องถนนไปจนถึงเรื่องเบนโตะลดราคาในซุปเปอร์มาร์เก็ต – ไม่ว่าเธอจะพบเจออะไร เธอก็จะส่งข้อความมาบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นทุกเรื่อง!
ในระหว่างเรียนที่ภาษาญี่ปุ่น เขาก็ได้รับข้อความจากอามิโกะว่า:
อา! วันนี้ครูสอนภาษาจีนสวมกระโปรงลายดอกไม้สุดน่ารักที่ดูขัดกับอายุเธอมาก! ทุกคนดูตกใจใหญ่เลย
ขณะที่เขากำลังกินข้าว เขาก็จะได้รับข้อความว่า:
ข่าวใหญ่! นี่คือหายนะ! นายรู้รึเปล่าว่าจริงๆแล้วมัตซึโกะหมาที่มหา’ลัยน่ะเป็นผู้ชาย?!
หรือก่อนนอน:
จางซัง นายเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าโลกนี้ไม่เคยมีแมวอยู่มันจะกลายเป็นที่ที่น่ากลัวมากขนาดไหน?
อย่างหนึ่งที่เขาได้รับเกือบทุกวัน:
โอ้ไม่นะ ฉันส่งข้อความหานายมากเกินไปหรือเปล่า? นายเกลียดฉันแล้วใช่ไหม? ใช่? ไม่ใช่?
จางเฮงวางปากกาลูกลื่นที่เขาใช้อยู่แล้วขยี้ตา
“ไม่ใช่นะ ฉันกำลังทบทวนบทเรียนที่เรียนไปวันนี้อยู่”
เขาไม่ได้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เลยถึงแม้ว่าเขาจะยังหาข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันขับรถในตอนกลางคืนไม่เจอ แต่นี่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย เพื่อให้พูดภาษาญี่ปุ่นได้โดยเร็วที่สุดหรืออย่างน้อยก็แค่เข้าใจบทสนทนาที่ธรรมดาที่สุดในชีวิตประจำวันได้ เขาจึงทุ่มสุดตัว – ลดเวลานอนลงให้เหลือเพียง 5 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อฝึกฝนและทบทวนภาษาญี่ปุ่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมเขายังเก็บหนังสือภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานไว้ข้างเปียโนที่ร้านอาหารอีกด้วย
สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือการเข้าร่วมชั้นเรียนนอกหลักสูตรนี่ แทนที่จะเล่นเกมยังไงล่ะ!
“จางซัง นายนี่ขยันเกินไปแล้ว พอเทียบกับนายแล้วฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียเวลาเปล่าเลยแหละ” อามิโกะพูดด้วยความชื่นชม
“ฉันแค่ทำในสิ่งที่ฉันต้องทำน่ะ” จางเฮงยิ้มอย่างขมขื่น ความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจอยากเรียนรู้ภาษาเท่าไหร่หรอก แต่เมื่อบ่ายวันที่สองที่อยู่ที่นี่เขาก็ได้รับข้อความจากเสียงปริศนาเสียงเดิมและสิ่งนั้นก็เตือนความจำของเขาอีกครั้ง
นั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าเวลาที่เขาจะได้กลับไปยังโลกแห่งความจริงนั้นได้ขยายไปถึง 420 วัน แม้ว่าจะพอวางแผนไว้ล่วงหน้าได้ แต่เขาคงไม่สามารถพึ่งพาอามิโกะให้เป็นล่ามของเขาได้นานขนาดนั้น ยิ่งกว่านั้นเธอได้สมัครเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในประเทศจีนแล้วและคงจะไม่ได้เรียนที่นี่ในปีการศึกษาถัดไป จางเฮงคิดว่าเขาต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้
14 เดือนแห่งการเรียนรู้ที่ยาวนานเช่นนี้คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยาก ถ้าเขาไม่หยิบประโยชน์จากเรื่องนี้มาใช้และเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นมันก็คงจะน่าเสียดาย
จางเฮงมีเริ่มสงสัยว่าถ้าเขาเล่นเกมนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาคงได้เรียนรู้ภาษาหลักทั้งหมดของโลกก่อนแน่ๆ
อามิโกะยังคงส่งข้อความของเธอมาบอกเกี่ยวกับสิ่งเล็กๆน้อยๆเสมอ และหลังจากการโดนกระหน่ำมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ จางเฮงก็พอจะเดาออกว่าวันนี้เธอนั้นดูไร้ชีวิตชีวากว่าทุกวัน
เขาจึงพิมพ์ไปว่า:
เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?
แต่ก่อนที่เขาจะกดส่ง เขาก็ลบข้อความแล้วกดเบอร์โทรศัพท์ของเธอแทน “อามิโกะ พักนี้เธอมีเรื่องอะไรกวนใจหรือเปล่า?”
หญิงสาวตกใจมากที่ได้ยินอย่างนั้นจากเขา! เสียงของเธอค่อนข้างแหบห้าวราวกับว่าเธอเพิ่งร้องไห้เมื่อไม่นานมานี้และเธอก็สูดจมูก “จางซัง ฉันขอโทษที่ทำให้นายเป็นห่วง จริงๆมันไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่เรื่องครอบครัว ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เรื่องครอบครัวแล้ว – คนคนนั้นทิ้งเราไปเมื่อ 6 ปีก่อน”
“ถ้าเธอได้ระบายเรื่องนั้นออกมาบ้าง เธอน่าจะรู้สึกดีขึ้นนะ เธอเล่าให้ฉันฟังได้เลยนะถ้าเธอต้องการ ฉันจะเก็บเรื่องของเธอเป็นความลับแน่นอน ยังไงซะนอกจากเธอก็คงไม่มีใครในที่นี่ฟังฉันรู้เรื่องหรอก”
อามิโกะที่อารมณ์ไม่ดีนักหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้จางเฮงฟัง เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อตอนเธอยังเป็นเด็ก พ่อของเธอเป็นคนติดการพนันแข่งม้ามากและเขาสูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวไปเพราะมัน จนแม่ของเธอทนไม่ได้อีกต่อไปพวกเขาจึงหย่ากัน
หลังจากนั้นความสัมพันธ์ก็ขาดสะบั้น แม่ของเธอแต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยงและอามิโกะจึงได้มีน้องชายต่างพ่อ ชีวิตของพวกเขาก็เข้ากันได้ดีจนกระทั่งเธอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย เพราะเหตุใดก็ไม่ทราบได้พ่อแท้ๆได้เจอเธอและติดต่อกับเธอ
ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันพ่อมาขอยืมเงินเธอ ตอนแรกเขาบอกว่าเป็นเพราะธุรกิจของเขากำลังมีปัญหาและต้องการเงินมาใช้หมุนเวียนบ้าง แต่ถ้ามีครั้งแรกก็จะต้องมีครั้งที่สอง และหลังจากนั้นอีก 2-3 ครั้ง อามิโกะก็เริ่มสงสัย สุดท้ายเธอพบว่าพ่อไม่เพียงแต่ยังเล่นการพนันแต่เขายังติดเหล้าอีกต่างหาก
พ่อและลูกสาวทะเลาะกันและหยุดติดต่อกันไปกว่า 2-3 เดือน จากนั้นเมื่อช่วงบ่าย 1 ชั่วโมงก่อนพ่อของอามิโกะโทรหาเธอและเขากล่าวว่าเขาโดนเจ้าหนี้รุมทำร้ายมาและเขาก็ไม่มีเงินที่จะไปพบแพทย์ และจากบทเรียนที่เธอได้เรียนรู้มาแล้วนั่นทำให้อามิโกะไม่ได้ส่งเงินที่เธอลำบากยากเย็นหามาได้ส่งกลับไปให้เขาในทันที พ่อของเธอเรียกเธอว่าลูกอกตัญญูและยังบอกอีกว่าเขาไม่มีลูกสาวอย่างเธอ!
อามิโกะน้ำตาไหล และเธอถามจางเฮงที่ยังอยู่ในสายว่า “จางซัง ฉันเป็นคนเย็นชามากเลยเหรอ?”
“เอ่อ ฉันคิดว่าพ่อของเธอไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ดูทรงแล้วเขาคงจะโกหกอีกนั่นแหละ แต่ถ้าเธอเป็นห่วงเขา พรุ่งนี้ฉันไปกับเธอได้นะ”
“จริงเหรอ? นั้นไม่ได้ดูไม่เหมาะสมใช่ไหมที่บอกปัญหาภายในครอบครัวของฉันให้นายรับรู้?” อามิโกะ รู้สึกละอายใจ
“ไม่หรอก! เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฉันรู้สึกว่าฉันใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วแหละ เพราะถ้าฉันไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นฉันก็จะไปเล่นเปียโนที่ร้านอาหาร ยังไงฉันก็อยากจะพักผ่อนบ้างอยู่แล้ว” จางเฮงโพล่งเรื่องทั้งหมดที่อยู่ในใจนี้ออกมา หากเขาต้องดูตัวอักษรคาตาคานะนี้อีกแม้แต่ตัวเดียวอีกครั้งเขาต้องอ้วกแน่ๆ
“พรุ่งนี้วันเสาร์ งั้นไปหลังทำงานนะ!”
“ได้เลย!”
“ขอบคุณมากนะ จางซัง!”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องคิดมากเลย”
เรื่องราวปัญหาของอามิโกะเป็นเหมือนเพียงการเปลี่ยนเรื่องราวสั้นๆ จางเฮงไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังจากที่เขาวางสายเขาก็เริ่มคิดถึงวิธีการพัฒนาทักษะการขับรถของเขาอีกครั้ง นี่ก็เป็นเวลา 15 วันในเกมที่สองแล้วและเขายังไม่ได้เริ่มเข้าสู่ภารกิจหลักเลย หากผู้เล่นคนอื่นอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาคงจะต้องหวั่นวิตกกันไปแล้วแน่ๆ!
แต่เนื่องจากเขามีเวลา 14 เดือนจางเฮงจึงไม่รีบร้อนเท่าไหร่ แต่เขาก็คงไม่สามารถทำตัวเอ้อระเหยลอยชายแบบนี้ได้ไปตลอด มันจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะกำหนดเส้นตายให้ตัวเอง – ถ้าเขายังหาวิธีพัฒนาสกิลการขับรถของเขาไม่ได้สักที จางเฮงก็คงจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลองไปเข้าร่วมกลุ่มโบโสะโซคุนั่น