ตอนที่ 4 : การทดสอบเล็กๆ
“นี่พวกเธอได้ยินข่าวเรื่องนั้นปะ? รุ่นพี่ที่เรียนการสื่อสารปี 4 โกหกน้องปี 1 เกี่ยวกับการฝึกงานว่าเธอได้รับโอกาสที่ดีในตอนนั้น แต่ตอนเธอไปถึงเธอกลับโดนพวกผู้ชายมอมเหล้า แล้วพวกเขาก็ถ่ายรูปโป๊ของเธอ แถมคืนก่อนเพื่อนร่วมห้องของรุ่นพี่คนนั้นจู่ๆก็หายตัวไป เพื่อนร่วมห้องอีกคนบอกว่าเห็นเธอเข้านอน แต่จู่ๆเธอก็หายไปเลยแบบนั้น”
“เฮ้ย ได้ยินมาเหมือนกัน! พวกผู้หญิงทั้งหมดในห้องสองสติแตกกันหมด พวกเขาหากันทั้งม.แต่ก็หาเธอไม่เจอ แล้วตำรวจก็มาที่ม. แล้วเรียกอธิการบดีไปพบที่สน. ชัดเลยว่าคนมีคนส่งรูปแย่ๆของเธอไปให้พวกเจ้าหน้าที่ ในนั้นมีสองรูปที่ดูใกล้เธอมากแต่ดูเหมือนว่าคนในรูปไม่รู้ตัวเลย มันแปลกมากๆ ”
“ถ้าจะพูดถึงเรื่องแปลกๆ ตำนานสิบสองนาฬิกาของวูมาร์ทไม่แปลกกว่าหรอ?”
“ตำนานสิบสองนาฬิกาอะไรหรอ?”
“นี้ไม่รู้เรื่องนั้นได้ยังไงเนี่ย? มันเป็นข่าวดังไปทั่วม.เลยนะ! ในร้านวูมาร์ทที่อยู่ใกล้ๆห้องสมุด จู่ๆเนสกาแฟขวดนึงก็หายไป ทุกวันจันทร์ตอนเที่ยงคืน และทุกๆครั้งจะมีเงิน 4.50 หยวนวางไว้ที่แคชเชียร์ พนักงานแคชเชียร์สองคนกลัวจนจะบ้าตายอยู่แล้ว! ตอนที่เขาดูที่กล้องวงจรปิด กาแฟมันแค่หายไปในเสี้ยววินาที แถมไม่มีใครอยู่ในนั้นเลยด้วย”
“โว้ว! แค่ฟังยังขนลุกเลย”
กลุ่มผู้หญิงนั้นคุยกันเดินผ่านจางเฮงไป เขาลังยุ่งอยู่กับกล้องดิจิตอลขนาดเล็กยี่ห้อโซนี่ตัวใหม่ที่เพิ่งได้มา
ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ตั้งแต่เขามีเวลาเพิ่มมาอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาได้ทดลองและทำความเข้าใจความสามารถใหม่ที่ได้รับมา
เหตุการณ์ของพี่สื่อสารปี 4 คนนี้ เป็นอะไรที่เขาเคยเจอมาก่อน
ถ้าเขาเตรียมการอย่างดี เขาอาจจะก่อสงครามโลกครั้งที่สามเลยก็ได้ถ้าเขาอยากทำ
แน่นอนว่าทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งผลดีให้เขาเท่าไหร่
หรือบางทีเขาอาจจะเดินไปที่ถนนพร้อมกับขวานดับเพลิงแล้วจามเข้าที่ตู้ ATM แล้วเขาก็จะกลายเป็นเศษฐีเงินล้านชั่วข้ามคืน! หรือเขาอาจจะขโมยเงินทุกคนคนละหนึ่งหยวน แล้วได้เงินมายี่สิบล้านหยวนโดยที่อาจจะไม่มีใครสังเกตเลยก็ได้
แต่ในตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการเงินพวกนั้น
สำหรับนักศึกษาปีสอง เงินสามแสนหยวนก็ถึงว่ามากพอจนไม่รู้จะเอาเงินไปใช้ที่ไหนแล้ว
ครอบครัวไม่ต้องการเงินจากเขา ลืมพ่อแม่ไปได้เลยพวกเขาคงมัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับงานวิจัยในต่างประเทศ ตาของเขาเป็นนักศึกษารุ่นแรกที่ได้สอบเกาเข่า*ซึ่งเป็นการสอบที่ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในปี 1977 หลังจากจบการศึกษาเขากลายเป็นวิศวกรอาวุโสของโครงการอนุรักษ์น้ำ ตอนนี้เขาเกษียณแล้วเขามีเงินบำนาญ และบ้านพักคนชราพร้อมสนามหญ้าที่ซึ่งเขาเอาไว้ปลูกพืชผักสวนครัวและเล่นหมากรุก ปัจจุบันเขาพึงพอใจกับชีวิตของเขามาก
ความจริงเขาเริ่มชินกับความสามารถนี้แล้ว และจางเฮงไม่ได้อยากทำผิดกฎหมายเพื่อเอาเงินมาใช้
ล่าสุดเขาเข้าชมรมถ่ายรูป เดือนหน้าเอกการถ่ายภาพจะจัดกิจกรรมประกวดภาพถ่ายในธีม ‘ความประทับใจในเมืองใหญ่’ พี่ปี4เป็นผู้ดูแลในการหาสปอนเซอร์ ดังนั้นคนที่ชนะเลิศอันดันหนึ่งจะได้รับรางวัลเป็นเงินห้าแสนหยวนพร้อมกล้อง แคนนอน EF 17-40mm f/4L wide-angle zoom lens ส่วนที่สองและที่สามจะได้รางวัลอีกคนละสามแสนหยวนพร้อมของอภินันทนาการต่างๆ
เขามาเข้าชมรมสาย จางเฮงมีเข้าเรียนสองวิชาและสัมมนาอีกหนึ่ง เขาเสาะหาความรู้เรื่องการถ่ายภาพจากอินเทอร์เน็ตอย่างหนัก ตอนนี้เขาทำได้แค่จัดองค์ประกอบและปรับความสว่างของแสงในการถ่ายภาพ ในช่วงเวลาส่วนตัวยี่สิบสี่ชั่วโมงของจางเฮง ทุกคนจะหยุดอยู่นิ่งๆเพื่อให้เขาถ่ายรูป ถ้าเป็นช่างถ่ายภาพคนอื่นมันคงจะเป็นนาทีทอง รูปคนที่ถูกแช่แข็งไว้ในช่วงเวลานี้คงเข้าตาใครสักคน โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ถึงเขาจะยังถ่ายรูปไม่เก่ง – เขายังคงไม่เข้าใจเรื่องความอบอุ่นของสีและความคมชัดของภาพ แต่เมืองก็ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดผ่านเลนส์กล้องของเขา
จางเฮงเลือกมาสองรูปที่เขาชอบที่สุดจากทั้งหมดที่เขาถ่ายมาเมื่อคืน แล้วส่งเขาประกวด
เขาไม่ได้หวังรางวัล แต่อย่างน้อยเขาก็จะได้ประเมินความก้าวหน้าในผลงานของตน
หลังจากที่เขาค้นพบว่าตนเองมีเวลาพิเศษเพิ่มขึ้นมา แทนที่เขาจะเฉื่อยลง จางเฮงกลับทำตัวยุ่งขึ้น
แรกเริ่มเดิมที มันเป็นเพราะเขาอยากจะทดสอบและทดลองอะไรหลายสิ่ง เช่นว่า สิ่งของที่เขาปาออกไปจะแตกสลายหรือไม่? หรือมันจะหยุดนิ่งอยู่กับที่หลังจากเขาปล่อยมือจากมือ? เวลามันหยุดออกไปไกลขนาดไหน? เวลาหยุดอยู่แค่เมืองนี้หรือเปล่า? เขาซื้อตั๋วเครื่องบินไปไกลกว่าแสนไมล์ในวันเสาร์…
จากการทดลองมาทั้งหมด เขาได้คำตอบจากคำถามใหญ่ๆมาสามข้อ แต่ก็ยังไม่มีทางที่จะยืนยันได้อย่างหนึ่ง
แล้วเขาก็คิดออกว่าจะทำยังไงกับเวลาอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ได้มา
อย่างแรกเลยคือนอน มันเป็นสิ่งจำเป็นและเขาชินกับการนอนตอนเที่ยงคืน
ก่อนอื่นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาใช้เวลาทั้งวันตะลอนไปทั่วเมือง แต่เมื่อเขาเบื่อแล้วเขาก็ไม่สามารถทำมันได้อีก
ในช่วงเวลายี่สิบปีชั่วโมงที่ผู้คนไม่ไหวติง และเวลาบนนาฬิกาข้อมือของเขาก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ร่างกายของเขายังคงขยับอยู่ เขายังหิว กระหาย ไม่สบายตัว และเหนื่อยจากการทำกิจกรรมมาทั้งวัน
“หืมม นี่นับว่าเราแก่กว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย?” จางเฮงเริ่มส่องกระจก น่าเสียดายที่ถามนี่คงตอบไม่ได้ในเร็ววัน
หลังจากที่เขาใช้เวลาไปกับการกินและการนอน เขาเหลืออีก 14 ชั่วโมง เขาจำได้ว่าระยะเวลาที่เหลือของเขาเพียงพอสำหรับเขาที่จะทำสิ่งต่าง ๆ มากมายเช่นการอ่านหนังสือ บางทีมันอาจเป็นผลมาจากพ่อแม่นักศาสนศาสตร์ของเขาที่ทำให้เขาสนใจใคร่รู้เรื่องราวน่าประหลาดทุกประเภท ก่อนหน้านี้เนื่องจากมีเวลาจำกัดทำให้เขาอ่านหนังสือได้สัปดาห์ละเล่มเท่านั้น ตอนนี้เขาได้จัดแจงใหม่และทุ่มเทหกชั่วโมงในทุกวันจันทร์และวันพุธเพื่ออ่านหนังสือ
ห้องสมุดที่สว่างและกว้างขวางได้กลายเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่จำเป็นต้องจองที่นั่งล่วงหน้าหรือนั่งข้างคนแปลกหน้าอีกแล้ว – เขาไปที่ห้องสมุดในชุดนอนและรองเท้าแตะก็ยังได้
หนังสือน่าอ่าน พร้อมกับกาแฟเย็นก็พอแล้วสำหรับช่วงเวลาที่น่ารื่นรมย์
อีกอย่างหนึ่ง จางเฮงที่ลืมไปแล้วว่าเคยสมัครปีนหน้าผาก็ได้กลับเข้าไปอีกครั้ง การถ่ายภาพก็เป็นงานอดิเรก เขาเข้าเรียนทุกคลาสเป็นปกติ แล้วฝึกฝนและพัฒนาสิ่งที่เขาเรียนรู้ในช่วงเวลาของเขาเอง
เขายังไปซ้อมยิงธนูเช่นเคยและโค้ชก็ตกใจในการพัฒนาอย่างการกระโดดของเขาในทุกสัปดาห์ เขายังได้รับการสนับสนุนให้พิจารณาอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาศักยภาพที่มี
แน่นอนว่าสิ่งที่จางเฮงชอบที่สุดคือการเดินเตร็ดเตร่ในเมืองยามราตรี ทุกๆวันเขาใช้เวลาสองชั่วโมงสุดท้ายในการเดินไปรอบๆเมือง
เมืองใหญ่ในยามราตรีนั้นมีความลับซ่อนอยู่มากมาย
จางเฮงถือโอกาสตอนที่เวลาหยุดหยิบกล้องของเขาแล้วสังเกตไปตามมุมตึก เหมือนกับเขาได้ดูภาพยนตร์สต็อปโมชัน ส่วนใหญ่เขาจะคอยสังเกตอย่างเงียบๆ แต่บางครั้งเขาก็ทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เขาไม่ชอบเอามากๆ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความดีหรือความชั่ว เขาไม่มีความสนใจในการเล่นกับพระเจ้าหรือปีศาจ เขาแค่สนุกไปกับช่วงเวลาที่เป็นของเขาเท่านั้น
***
เกาเข่า – การสอบเอนทรานซ์ของนักเรียนจีน ซึ่งในหนึ่งปีจะมีการสอบเพียง 1 ครั้ง