ถังหนิงและเฉียวเซินเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เมื่อนึกถึงชายคนที่หลงใหลในภาพยนตร์ไซไฟมากกว่าที่เธอรักและจะไม่ได้พบหน้าเขาอีกแล้ว เธอก็ฝืนที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้
การกระทำของถังหนิงชวนให้น้ำตาของลูกสาวเฉียวเซินเริ่มไหลรินออกมาเช่นกัน แม้แต่ตอนที่โม่ถิงมาถึงโรงพยาบาล ถังหนิงก็ยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น
เมื่อเห็นคนรักตัวเองจมอยู่ในกองน้ำตา ความเจ็บปวดเข้าจู่โจมในใจของโม่ถิง เขารีบปรี่เข้าไปพยุงเธอขึ้นมาจากพื้นเข้าสู่อ้อมแขนของเขา
เฉียวเซินจากไปอย่างกะทันหันโดยไม่มีใครคาดฝัน ฉากสำคัญของภาพยนตร์ยังคงต้องถ่ายทำให้เสร็จก่อนเข้าสู่กระบวนการหลังการถ่ายทำ แต่เฉียวเซินกลับไม่อยู่เสียแล้ว
“ถังหนิง คุณท้องอยู่ อย่าปล่อยให้ตัวเองเศร้านักเลยนะคะ ตอนนี้ฉันหวังแค่ได้เห็น มดราชินี ขึ้นฉายบนหน้าจอ นั่นเป็นการทำให้พ่อของฉันตายตาหลับที่สุดค่ะ”
ถังหนิงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ได้แต่หันไปหาลูกสาวของเขาก่อนโค้งคำนับด้วยความจริงใจสามครั้ง
จากนั้นโม่ถิงอุ้มถังหนิงขึ้นในวงแขนและพาเธอกลับบ้าน ทว่าเธอนิ่งเงียบไปตลอดทาง
โม่ถิงเข้าใจว่าเธอต้องการเวลาในการยอมรับความจริง เขาจึงต่อสายหาลู่เช่อ บอกให้หยุดการถ่ายทำ มดราชินี ฃไปก่อนและสั่งให้เขาให้กำลังใจทีมงาน
ถังหนิงเอนตัวนอนบนเตียงขณะที่ฟังโม่ถิงคุยโทรศัพท์ จิตใจยังวนเวียนอยู่กับเรื่องการตายของเฉียวเซิน
โม่ถิงรับรู้สิ่งนี้ได้และเจ็บปวดในใจขณะที่นั่งอยู่ขอบเตียงพลางกุมมือถังหนิงเอาไว้ “สิ่งเดียวที่คุณทำได้ตอนนี้คือการทำ มดราชินี ให้สำเร็จนะครับเพราะมันเป็นความฝันสูงสุดของเขา หนิง…ผมรู้ว่าคุณปวดใจแต่คนเราไม่อาจฟื้นจากความตายขึ้นมาได้ ตั้งสตินะครับ ทีมงานทั้งหมดกำลังรอคุณอยู่นะ”
เธอเงยหน้ามองโม่ถิง ตอบกลับพร้อมเสียงสะอื้นขณะที่ตัวเองจมอยู่ในความโศกเศร้า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอนแต่ว่าก็ไม่เคยได้สัมผัสมันมาก่อน ตอนนี้ฉันกลับได้เห็นชายคนหนึ่งจากโลกใบนี้ไปทั้งที่เมื่อวานเขายังหัวเราะและพูดกับฉันอยู่แท้ๆ
“ฉันอึ้งที่มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันอย่างนี้และกำลังพยายามข้ามผ่านมันไปให้ได้อยู่ค่ะ” ถังหนิงร้องไห้พร้อมน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตาอีกครั้ง
“ฉันเลยเริ่มคิดถึงคุณและการที่คุณไปๆ มาๆ ระหว่างกองถ่าย บริษัท และบ้านของเรา ทั้งหมดเป็นเพราะว่าคุณรับปากกับฉันเอาไว้ คุณต้องวิ่งหัวหมุนอย่างกับลูกข่าง มันทำให้ฉันกลัวค่ะ”
เมื่อได้ยินความคิดของถังหนิง เขาก็เข้าใจความกลัวของเธอยากที่ใครจะยอมรับการสูญเสียใครสักคนไปอย่างกะทันหันได้ การปล่อยให้คนที่อ่อนไหวอย่างถังหนิงไว้เพียงลำพังจึงเป็นธรรมดาที่จะคิดเช่นนั้นกับคนรอบข้างและเริ่มรู้สึกผิด
โม่ถิงรั้งกายเธอเข้ามาในอ้อมกอดและลูบหลังเธอแผ่วเบา “คุณครับ เวลาที่คุณแข็งแกร่งแม้แต่ผู้ชายก็ยังสู้คุณไม่ได้ แต่คุณยังเลือกที่จะทรมานตัวเอง ทำไมคุณต้องแบกรับภาระที่ไม่ควรเอาไว้ด้วยล่ะครับ
“เข้มแข็งเข้าไว้นะครับ โอเคไหม”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาก และหลังจากเสียน้ำตาไปอีกครั้ง ในที่สุดอารมณ์ของเธอก็เริ่มกลับมามั่นคง
เธอพักผ่อนอีกเล็กน้อยก่อนดึงตัวเองกลับไปที่กองถ่าย โม่ถิงเข้าใจว่าอารมณ์ของเธอยังไม่เข้าที่เข้าทางดี เขาจึงตัดสินใจไปเป็นเพื่อนเธอ
ในขณะเดียวกันทันทีที่ทุกคนในกองถ่ายรู้เรื่องการตายของเฉียวเซิน พวกเขาพากันเศร้าสร้อย บางคนถึงกับรู้สึกว่า มดราชินี จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหากไม่มีเฉียวเซินด้วยไม่มีใครทุ่มเทได้อย่างเขาแล้ว
ดังนั้นหลังจากถังหนิงมาถึงกองถ่าย ทุกคนจับจ้องมาที่เธอก่อนเอ่ยถาม “ประธานถังครับ เราจะถ่ายทำกันต่อจริงๆ เหรอครับ เราจะไปต่อกันยังไงล่ะครับ”
ถังหนิงกลั้นน้ำตาและบอกกลับ “การถ่ายทำต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอนค่ะ ฉันติดต่อผู้กำกับอันจื่อเฮ่าไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะมารับช่วงต่อจากเฉียวเซิน”
ทีมงานไม่ได้แปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ถังหนิงจึงเอ่ยเสริม “ฉันรู้ว่าทุกคนจะยอมรับการตายของผู้กำกับเฉียวเซินได้ยาก ฉันเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน แต่ความฝันสูงสุดของเขาคือการได้เห็น มดราชินี โลดแล่นบนหน้าจอ ต่อไปนี้ฉันถึงหวังให้ทุกคนทุ่มเทให้ดีที่สุดและตั้งใจถ่ายทำต่อไป เมื่อถึงวันที่ผลงานถูกปล่อยออกมา ฉันจะจดจำชื่อและใบหน้าของพวกคุณทุกคนเอาไว้ค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นทีมงานทุกคนต่างซาบซึ้งจนน้ำตาไหล “โอเคครับ ถ้าประธานถังไม่ยอมแพ้ อย่างนั้นเราก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องยอมแพ้เหมือนกัน!”
“เราจะยืนหยัดจนถึงที่สุดและช่วยผู้กำกับคนใหม่ให้มากเท่าที่ทำได้ค่ะ!”
“ขอบคุณทุกคนนะคะ” แม้ว่าถังหนิงจะอยู่ในอ้อมกอดของโม่ถิง พวกเขาก็รู้ว่าหญิงสาวที่ดูอ่อนแอคนนี้ แท้จริงแล้วมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งเพียงไหน
ความมั่นใจและความทุ่มเทของเธอได้รวมทุกคนเป็นหนึ่งเดียวได้ในทันที
“จากนี้ไปทุกคนในกองถ่ายจะได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าครับ”
โม่ถิงว่าประโยคสุดท้ายขึ้นเพราะเขาเข้าใจว่าค่าตอบแทนเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้กำลังใจทีมงานได้
มันเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ทีมงานตั้งใจทำงานและทุ่มเทสุดหัวใจในการถ่ายทำ…
ไม่นานอันจื่อเฮ่าก็กลับมาจากต่างประเทศ ทันทีที่เขาก้าวเท้าเหยียบแผ่นดินจีน สิ่งแรกที่เขาทำคือไปพบถังหนิงที่จู้ซิงมีเดีย เมื่อเขามาถึง ถังหนิงก็กำลังเตรียมประกาศเรื่องการเสียชีวิตของเฉียวเซิน
“ฉันขอโทษที่เรียกคุณมากะทันหันนะ…”
“ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องขอโทษกันหรอก เดี๋ยวผมจะจัดการเองครับ” อันจื่อเฮ่ากล่าวเสียงหนักแน่น “ผมอาจจะไม่เก่งเรื่องอื่น แต่ถ้าเป็นเรื่องช่วยเพื่อนแล้วละก็ผมยิ่งกว่าเก่งซะอีกครับ อีกอย่างผมดีใจด้วยซ้ำที่ตัวเองยังทำประโยชน์ให้กับคุณได้อยู่นะครับ”
“แล้วซิงเยียนล่ะ…”
“เธอกำลังเข้าคัดตัวที่ต่างประเทศน่ะ เธอมีผู้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนครับ ผมเลยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเวลาเลยครับ”
ด้วยเหตุนี้อันจื่อเฮ่าเอาข้อมูลที่เฉียวเซินทิ้งไว้เบื้องหลังมาดูและวิเคราะห์รูปแบบการถ่ายทำของเขาเพื่อลดความแตกต่างของพวกเขา
สำหรับการประกาศเรื่องการเสียชีวิตของเฉียวเซิน เขาตัดสินใจแนะนำบางอย่างกับถังหนิง
“ประธานโม่ไม่ได้พยายามห้ามคุณเหรอครับ
“ถ้าคุณประกาศออกไปตอนนี้จะมีช่องให้ทุกคนใส่ร้ายคุณได้นะ ผมได้ยินมาว่าคุณสร้างศัตรูไว้เยอะเพราะเรื่องของลัวเซิงนี่ครับ”
“แล้วฉันต้องกลัวอะไรล่ะ” ถังหนิงถาม “ถ้าพวกเขาอยากจะใส่ความฉันก็เอาเลยค ฉันไม่สนใจถ้าพวกเขาอยากจะเยาะเย้ยฉันหรอก แต่ถ้ามีใครมาพยายามลองดีกับฉัน ฉันจะไม่ยอมถอยแน่
“เฉียวเซินใช้เวลาทั้งชีวิตพยายามสร้างหนังไซไฟที่สมบูรณ์แบบ ฉันไม่ต้องการให้เขาจากไปอย่างเงียบๆ หรอก”
“ก็ได้ครับ ยังไงก็มีคนอีกมากที่คอยสนับสนุนคุณอยู่ ทำตามที่คุณพอใจเถอะครับ”
สิ้นประโยค อันจื่อเฮ่าก็จากไปพร้อมกับบทและบันทึกของเฉียวเซิน เขาต้องทุ่มเทให้กับการถ่ายภาพยนตร์โดยทันที
ไม่นานหลังจากนั้นถังหนิงได้ปล่อยแถลงการณ์เรื่องการเสียชีวิตของเฉียวเซินในนามของจู้ซิงมีเดีย
เธอกำลังจะเติ่มเต็มความปรารถนาที่เฉียวเซินไม่อาจทำให้เสร็จสิ้น
ไม่นานทุกคนก็ได้รับทราบข่าวการเสียชีวิตของเฉียวเซิน ในขณะที่มีการยืนยันว่าต้นเหตุของการเสียชีวิตมาจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกจากการทำงานหนักในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องใหม่ของถังหนิง มดราชินี
ข่าวนี้ทำให้ประธานฟ่านยินดีเป็นอย่างยิ่ง…