หลังจากงานมอบรางวัลเฟยเทียนผ่านพ้นไป วันแต่งงานของหลินเฉี่ยนได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยเกรงว่าจะมีปัญหาอื่นโผล่ขึ้นมาอีกหากพวกเขาล่าช้าไปมากกว่านี้ คุณนายหลี่ได้กำหนดวันไว้ในอีกสามอาทิตย์ข้างหน้า เธอสนับสนุนสิ่งที่หลินเฉี่ยนทำกับเฝิงจิ้งโดยไม่ขัดข้อง เมื่อนึกถึงการที่เธอขีดเส้นตายกับเฝิงจิ้งบนหน้าจอต่อหน้าคนทั้งประเทศ ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเธอไม่มีทางให้อภัยและยอมรับอีกฝ่าย
เมื่อได้รู้วันแต่งงาน หลินเฉี่ยนทำเพียงแค่เอ่ยถาม “ฉันยังไม่แน่ใจว่าหลี่จิ่นจะกลับบ้านมาวันนั้นหรือเปล่าเลยนะคะ…”
“เด็กโง่ ป้าต้องบอกเรื่องนี้กับจินเอ๋อร์ก่อนที่จะจัดการเรื่องนี้แล้วสิจ๊ะ พอถึงเวลาหนูแค่สนใจกับการเป็นเจ้าสาวแสนสวยก็พอจ้ะ”
“แต่ว่าเรายังไม่ได้เลือกชุดกันเลยนะคะ…”
เมื่อได้ยินดังนั้น คุณนายหลี่หัวเราะออกมาพลางจับมือหลินเฉี่ยนเอาไว้ “จินเอ๋อร์จัดการให้คนตัดชุดไว้ให้หนูแล้วล่ะ เขาขอให้วิศวกรสร้างอาวุธประจำฐานทัพออกแบบชุดให้หนูจากแบบร่างและมีส่วนร่วมในการออกแบบเองเลยนะ”
“แต่ว่าเขาไม่รู้สัดส่วนของฉันนะคะ…”
ในตอนนี้เองที่คุณนายหลี่มองสำรวจร่างกายหลินเฉี่ยนและไหวไหล่ “หนูคิดว่ามีส่วนไหนของหนูที่เขาไม่คุ้นเคยเหรอจ๊ะ”
หลินเฉี่ยนถึงกับหน้าขึ้นสีระเรื่อ
“เฉี่ยนเฉี่ยน เราคงไม่เข้าใจความเจ็บปวดที่หนูผ่านมา ดังนั้นงานแต่งงานนี้จะเป็นการให้กำลังใจที่ดีที่สุดจากป้านะ”
หลังได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย หลินเฉี่ยนโผเข้ากอดคุณนายหลี่ “คุณป้า ขอบคุณนะคะ ขอบคุณทั้งคุณป้าและคุณลุงที่ดูแลหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตัวเองแล้วดีกับหนูขนาดนี้”
“อีกไม่นานหนูก็จะเป็นลูกสะใภ้ของป้าแล้วนะ การปกป้องหนูแทนจินเอ๋อร์เป็นสิ่งเดียวที่เราจะทำได้จ้ะ…”
พูดจบ คุณนายหลี่ลูบหลังหลินเฉี่ยนเพื่อปลอบโยนก่อนถอนหายใจออกมา เด็กคนนี้ช่างจิตใจดีและเข้มแข็งเหลือเกิน
หลินเฉี่ยนขยับกายเข้าในอ้อมแขนของคุณนายหลี่ราวกับตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของหลี่จิ่น ตอนนั้นเองที่เธอคิดไว้กับตัวเองว่าเธอจะต้องเข้มแข็งไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ ก็ตาม
…
หลินเฉี่ยนรีบบอกให้ถังหนิงรู้กำหนดการงานแต่งงานของเธอเพื่อขอลางาน
ที่สำคัญกว่านั้น ถังหนิงกำลังตั้งท้องอยู่และหลงเจี่ยต้องคอยดูแลลัวเซิง เธอจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบดูแลลัวอิงหงระหว่างที่เธอไม่อยู่
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไปแต่งงานเถอะ อีกอย่างก็ถือโอกาสนี้มีความสุขกับการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ซะเลยสิ ฉันจะจัดการเรื่องพี่หงเอง” ถังหนิงยืนยันก่อนที่เธอจะส่งเอกสารให้กับหลินเฉี่ยน “เธอไม่มีครอบครัวที่ไหน ดังนั้นจู้ซิงมีเดียจะเป็นครอบครัวให้เธอเอง เราปล่อยให้เธอไปแต่งงานมือเปล่าไม่ได้หรอกนะ”
หลินเฉี่ยนพลิกเปิดเอกสารอย่างสงสัยและพบว่ามันคือข้อตกลงในการโอนย้ายหุ้นของจู้ซิงมีเดีย
“พี่หนิง ของขวัญชิ้นนี้มันแพงเกินไปค่ะ…ฉัน…”
“เธอจะเป็นส่วนหนึ่งของจู้ซิงมีเดียตลอดไป ด้วยเอกสารนี้ เธอจะต้องทำงานให้กับจู้ซิงมีเดียไปตลอดชีวิต จริงๆ แล้วฉันติดว่าตัวเองได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วยซ้ำไปนะ รับไปสิ…”
หลินเฉี่ยนถือข้อตกลงเอาไว้ในมือก่อนพยักหน้ารับ เธอรู้ว่าไม่มีประโยชน์จะมาเซ้าซี้กับถังหนิง
“ฉันจะซาบซึ้งกับสิ่งนี้ไว้ในใจตลอดไปเลยค่ะ” หลินเฉี่ยนเอ่ยพลางชี้ไปที่หัวใจของตัวเองราวกับกำลังให้คำสาบานอยู่
ถังหนิงส่ายหน้าคล้ายบอกว่าไม่จำเป็น อย่างไรเสียทั้งสองก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันไปแล้ว
และเธอเพียงต้องการดูแลอีกฝ่ายอย่างที่คนในครอบครัวควรทำเท่านั้น!
…
ไม่นานเซนต์จิวเวลรี่ก็ได้ประกาศว่าจะร่วมงานกับลัวอิงหงกับสื่อมวลชนและยืนยันว่าเธอจะเป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่ของพวกเขา
เมื่อข่าวนี้ถูกปล่อยออกไป ทุกคนต่างอึ้งด้วยไม่มีใครคาดคิดว่าลัวอิงหงซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการใช้ชีวิตในแง่บวกจะได้รับการสนับสนุนอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงการได้เป็นพรีเซนเตอร์ของเซนต์จิวเวลรี่ที่โด่งดังอีกด้วย
เดิมที่ผู้คนคงไม่เชื่อว่าจะเกิดการร่วมงานกันในครั้งนี้ขึ้น หากแต่ถังหนิงได้เตรียมการเอาไว้แล้ว เธอรู้ว่าลัวอิงหงเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือและจงใจทำให้สาธารณชนได้เห็น ดังนั้นในตอนนี้เมื่อข่าวถูกประกาศออกมา ทุกคนจึงให้การยอมรับเป็นอย่างดี พวกเขาต่างรู้สึกว่าลัวอิงหงเหมาะสมด้วยทั้งความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ของเธอ
ยิ่งเมื่อเซนต์จิวเวลรี่ตัดสินใจปล่อยแบบภาพร่างฝีมือลัวอิงหงลงบนเว็บไซต์ ทุกคนก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอเหมาะสมกับตำแหน่งพรีเซนเตอร์ พวกเขารู้สึกว่าภาพลักษณ์ใหม่ที่เธอสร้างขึ้นคล้ายกับการเติบโตตลอดเวลาที่ผ่านมาของเซนต์จิวเวลรี่
ลัวอิงหงยังไม่อยากจะเชื่อตัวเอง นี่มันเป็นไปได้อย่างไร
ทุกๆ ความเห็นที่ทิ้งไว้ใต้แถลงการณ์ของเซนต์จิวเวลรี่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ไม่มีใครที่ออกมาต่อว่าหรือต่อต้านเธอแม้แต่น้อย
ลัวอิงหงนึกย้อนกลับไปถึงการฝึกฝนที่ถังหนิงจัดการให้และเส้นทางที่เธอได้ปูเอาไว้ และพบว่าทุกๆ ก้าวนั้นถูกวางแผนไว้อย่างรอบคอบ ทุกอย่างมีจุดประสงค์ของตัวเองเพราะถังหนิงไม่เคยทำอะไรที่เปล่าประโยชน์
มาถึงตอนนี้ ลัวอิงหงถึงได้เข้าใจความหมายของคำว่าทรงพลัง
ลัวอิงหงไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะได้รับการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หลังจากการแถลงของเซนต์จิวเวลรี่ ในที่สุดเธอก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงสักที
ที่สำคัญไปมากกว่านั้น ด้วยในครั้งนี้เธอไม่ได้เข้าไปเดินบนเส้นทางเดียวกับเฝิงจิ้ง เฝิงจิ้งจึงไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองแต่อย่างใด
ไม่นานหลังจากนั้น ถังหนิงได้จัดการนัดสัมภาษณ์ครั้งสำคัญให้กับเธอ
เพื่อป้องกันสิ่งไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น ถังหนิงอนุญาตให้นักข่าวจัดการสัมภาษณ์ภายในจู้ซิงมีเดีย
สาธารชนได้ให้ความสนใจในจู้ซิงมีเดีย จึงพาให้พวกเขาสนใจการสัมภาษณ์ของลัวอิงหงไปด้วย
ในขณะเดียวกัน เฝิงจิ้งได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นหากแต่เธอไม่อาจทำสิ่งใดได้เพราะไม่สามารถหาจุดด่างพร้อยของลัวอิงหงได้ ถึงอย่างไรเสียเธอเองก็กำลังตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับถังหนิงผู้ไร้ที่ติอยู่
“ฉันควรทำยังไงดี คิดมาสักอย่างสิ เธอจะให้ฉันนั่งอยู่เฉยๆ แล้วมองนังนั่นดังขึ้นเรื่อยๆ หรือยังไงกัน”
ขณะที่มองเฝิงจิ้งโมโหฟาดงวงฟาดงา ผู้จัดการของเฝิงจิ้งเข้ามาหาและพยายามปลอบใจเธอ “ต่อให้เธอกลับมาได้สำเร็จ เธอก็ไม่มีอะไรเทียบคุณได้หรอกค่ะ อย่ากังวลไปเลยนะคะ”
“ฉันจะไม่กังวลได้ยังไง ถ้าวันใดวันหนึ่งเธอดังกว่าฉันขึ้นมาล่ะ ฉันต้องยอมปล่อยให้เธอเหยียบย่ำฉันขึ้นไปเหรอ ไม่เด็ดขาด ฉันไม่มีทางปล่อยให้มันเกิดขึ้นแน่!”
“แต่เราจะไปทำอะไรได้ละคะ” ผู้จัดการของเธอถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เฝิงจิ้งก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกกลับ “ฉันทำอะไรไม่ได้ ฉันมีแค่ลูกชายของนังนั่นเท่านั้นแหละ”
“คุณว่าอะไรนะคะ”
สายตาของเฝิงจิ้งฉายแววเจ้าเล่ห์
ตลอดการต่อสู้กับถังหนิง เธอทำได้เพียงแค่ยอมถอดใจ เธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ดังนั้นเธอจึงดึงตัวผู้จัดการเข้ามาก่อนเอ่ย “ฉันมีบางอย่างให้เธอทำ รีบไปหาคนมาจัดการเรื่องนี้ซะ…”
อีกฝ่ายพยักหน้าทันที “รับทราบค่ะ ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง”
เฝิงจิ้งไม่อยากจะเชื่อว่าลัวอิงหงจะไม่สนใจลูกชายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอคงแค่พูดเหมือนไม่สนใจเพราะต้องการแสร้งทำเป็นเฉยชาใช่ไหม
อย่างนั้นก็มาดูกันว่าเธอจะทนไปได้อีกสักกี่น้ำ
ตอนนี้ลัวอิงหงกำลังดูรายละเอียดเกี่ยวกับการสัมภาษณ์อยู่ที่บริษัท แต่อยู่ๆ ก็ได้รับสายจากลูกชายของตัวเอง…
“แม่ครับ ช่วยผมด้วย”