ช่วงนี้ถังหนิงโตขึ้นมาจนเบื่อที่จะตามเอาคืนคนอื่นแล้ว เธอรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหนและมีจุดยืนอย่างไร
ดังนั้นไม่ว่าผู้กำกับจะพยายามโน้มน้าวเธอเพียงไหน เธอก็ตั้งใจว่าจะไม่เข้าร่วมการฉายรอบปฐมทัศน์เด็ดขาด
คืนนั้นที่ไฮแอทรีเจนซี ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นพิเศษ ถังหนิงกำลังอุ้มท้องลูกคนที่สาม ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อถิงที่ต้องอุ้มลูกชายทั้งสองคน ในขณะที่เธอมองชายร่างสูงที่แข็งแกร่งอุ้มเจ้าตัวเล็กทั้งสองคนเข้าไปในห้องน้ำ หัวใจถังหนิงก็ละลาย
โม่ถิงกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสามีที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ครั้งที่ถังหนิงตั้งท้องแรกจนกระทั่งเธอคลอดลูกๆ ออกมา ไม่ว่าเขาจะโหดร้ายและเฉยชาในตอนที่อยู่ภายนอกเพียงใด ทันทีที่เขากลับมาถึงบ้าน เขาก็จะถอดหัวโขนและคอยดูแลถังหนิงและลูกๆ ของพวกเขาอยู่เสมอ
“ทำไมคุณถึงไม่ไปงานฉายรอบปฐมทัศน์ ผู้รอดชีพ ล่ะครับ”
ถังหนิงส่งผ้าเช็ดตัวให้โม่ถิงขณะที่มองเขาอุ้มหนึ่งในลูกๆ ไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ฉันจะไปเข้าร่วมหรือเปล่าก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมากนักหรอกค่ะ”
โม่ถิงไม่ได้พูดอะไรหลังจากได้ยินคำตอบของเธอ หากแต่ลึกๆ แล้วเขากลับรู้สึกว่าการแสดงของถังหนิงใน ผู้รอดชีพ เพียงพอที่จะทำให้เธอคว้ารางวัลเฟยเทียนไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแล้วว่าจะส่งภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าชิง
“ผมได้ยินว่าเฉียวเซินกำลังวางแผนแนะนำนักแสดงนำหญิงสำหรับเรื่อง ดินแดนชำระบาป เป็นยังไงบ้างครับ”
“ฉันกำลังเจรจาอยู่ค่ะ” ถังหนิงยักไหล่ ทุกครั้งที่เธอพยายามโน้มน้าวเฉียวเซิน เขามักจะเถียงกลับด้วยเรื่องที่เธอปฏิเสธรับบทนำ หลังจากถกเถียงกันไปมาไม่มีที่สิ้นสุด ถังหนิงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้เขาทำตามที่ต้องการ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้มีนักแสดงที่เหมาะสมอยู่ในใจอยู่แล้ว
“นักแสดงหญิงคนนั้นจะต้องถ่ายฉากเลิฟซีนกับผมนะครับ” โม่ถิงหันไปมองถังหนิง
ถังหนิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ “ก็ใช่ค่ะ”
“คุณไม่หวงผมเหรอครับ”
“หวงสิคะ” ถังหนิงตอบ “แต่ฉันเชื่อใจคุณค่ะ”
โม่ถิงเอี้ยวตัวกลับไปหาในขณะที่กำลังอาบน้ำให้ลูกๆ และเอ่ยกับถังหนิง “ผมต้องการแค่คุณเท่านั้นครับ หลังจากตกลงเรื่องนักแสดงนำหญิงได้ก็บอกนะครับ ผมจะบอกให้ลู่เช่อสืบประวัติของเธอดู”
“โอเคค่ะ”
ถังหนิงคิดว่าเธอคงจัดการกับอารมณ์หึงหวงของตัวเองได้ จนกระทั่งถึงวันถ่ายทำจริงถึงได้รู้ตัวว่าไม่อาจทนเห็นคนอื่นมองโม่ถิงด้วยแววตารักใคร่ได้
…
ในขณะเดียวกันซย่าหันโม่ได้เดินทางกลับมา
เธอกลับมาพร้อมบันทึกการท่องเที่ยวและรูปภาพมากมาย ทั้งยังตีพิมพ์เรื่องราวเหล่านี้ในนิตรสารท่องเที่ยว ครั้งนี้เธอไม่ได้กลับมาด้วยภาพลักษณ์แย่ๆ ที่ติดตัวก่อนหน้านี้ และไม่ต้องหลบซ่อนจากใครเช่นกัน นานแล้วที่เธอไม่ได้หายใจหายคอได้โล่งในปักกิ่ง
แม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว แฟนๆ บางกลุ่มที่สนามบินก็ยังคงจำเธอได้อยู่ดี
ทันทีที่เธอถอดแว่นกันแดด พวกเขาก็วิ่งเข้ามาถ่ายรูปกับเธอ
ซย่าหันโม่ถึงกับชะงัก เธอคิดว่าเป็นแอนตี้แฟนที่พยายามเข้ามาหาเรื่อง แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพวกเขาส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับเธอก่อนเอ่ย “ซย่าหันโม่ ฉันชอบรูปที่คุณถ่าย และบทความของคุณก็ดีมากๆ เลยค่ะ”
เธอออกอาการอึ้งไป แม้ว่าจะรู้ว่าสถานการณ์ของตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว แต่มันเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำชื่นชมจากปากคนอื่นเช่นนี้
หลังจากนั้นซย่าหันโม่ถอดเครื่องประดับที่ใช้พรางตัวและถ่ายรูปกับแฟนๆ ของเธอ
ในขณะเดียวกันหลินเฉี่ยนสังเกตเห็นซย่าหันโม่ที่อยู่ท่ามกลางแฟนๆ มาตั้งแต่อยู่ที่ทางเข้าสนามบินและรีบเข้าไปหาเธอ “พี่หนิงบอกให้ฉันมารับคุณค่ะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณกลับไปพักผ่อนที่บ้านนะคะ”
หลังจากก้าวขึ้นมาในรถของหลินเฉี่ยน ซย่าหันโม่ก็พูดขึ้นมา “ฉันไม่เคยเจอแฟนๆ ที่ใจดีขนาดนี้เลยค่ะ”
“ใครบอกให้เมื่อก่อนคุณขึ้นชื่อเรื่องข่าวฉาวกันล่ะคะ”
ซย่าหันโม่ขำคิกคักและหันมองออกไปนอกหน้าต่าง “ทั้งหมดต้องขอบคุณพี่หนิงค่ะ เธอช่วยให้ฉันได้ค้นพบตัวเองเลยนะคะ”
จากนั้นเธอส่งนามบัตรให้กับหลินเฉี่ยน “ผู้ชายคนนี้ชื่อโจวชิงค่ะ เขาเป็นพิธีกรรายการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย และตอนนี้กำลังขาดทีมพิธีกรประจำรายการอยู่คนหนึ่ง เขาอยากให้ฉันเข้าร่วมรายการเพราะเห็นว่าฉันมีประสบการณ์การเดินทางมาเยอะน่ะค่ะ”
“คุณไปพบเข้ามาตอนไหนคะ”
“ฉันบังเอิญเจอเขาตอนอยู่ที่ยุโรปค่ะ” ซย่าหันโม่ตอบ “ฉันเองก็อยากจะลองเหมือนกัน”
“คุณเลยอยากให้พี่หนิงช่วยตรวจสอบเรื่องของเขาใช่ไหมคะ” หลินเฉี่ยนถาม “ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะบอกเรื่องนี้กับพี่หนิงให้ จู้ซิงมีเดียสนับสนุนให้ศิลปินมีอิสระที่จะก้าวหน้าในแนวทางที่ตัวเองต้องการอยู่แล้วล่ะค่ะ”
ซย่าหันโม่พยักหน้ารับแต่ใจของเธอยังนึกถึงแต่กลุ่มแฟนๆ ที่เจอก่อนหน้านี้ เธอไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนชื่นชอบเธอจริงๆ
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะว่าถังหนิงได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้องให้กับเธอ
“อีกอย่างฉันเห็นตัวอย่างหนังเรื่อง ผู้รอดชีพ ระหว่างที่ฉันอยู่ต่างประเทศ ชาวเน็ตดูคาดหวังกับมันไว้สูงเลยนะคะ ฉันอ่านความเห็นผ่านๆ ก็เห็นว่าพี่หนิงมีแฟนหนังเยอะเลยค่ะ”
“เป็นเพราะผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ของถังหนิงค่ะ หนังเรื่องก่อนๆ ของเธอทำรายได้ถล่มทลายในต่างประเทศเลยล่ะค่ะ” หลินเฉี่ยนอธิบาย “อีกเรื่องหนึ่งคือ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับลัวเซิง พี่หนิงเลยบอกให้เราดูแลคุณให้ดี โดยเฉพาะตอนที่ไปคุยงาน เธอบอกว่าต่อไปนี้อย่าปล่อยให้คนอื่นมีโอกาสทำร้ายพวกคุณได้อีก”
“ฉันได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับลัวเซิงแล้ว โชคดีที่เขามีพี่หนิงคอยปกป้องเขาอยู่นะคะ”
หลินเฉี่ยนระบายยิ้มและขับรถไปส่งซย่าหันโม่ที่บ้าน ก่อนกลับไปที่ห้องพักของซิงหลาน แต่อยู่ๆ ในจังหวะที่ขับผ่านตำรวจบางคน เธอก็นึกถึงหลี่จิ่นขึ้นมาโดยปริยาย
ตอนนี้ทั้งหมดที่เธอรู้คือหลี่จิ่นเป็นนายพล หากแต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่หน่วยไหน และเธอรู้ว่าเจ้าตัวคงไม่มีทางบอกเธอเองแน่
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก ซิงหลานบอกอย่างสำนึกผิดกับหลินเฉี่ยน “ฉันบอกลุงของฉันเรื่องที่ลูกพี่ลูกน้องของฉันช่วยคุณไว้แล้วนะคะ ฉันคิดว่าคุณอาจจะได้เจอพ่อแม่ของเขาในเร็วๆ นี้ค่ะ”
“คุณ…”
“ไม่ต้องกังวลนะคะ พวกเขาค่อนข้างใจดีเลยล่ะค่ะ”
หลินเฉี่ยนรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย ระหว่างเธอกับหลี่จิ่นมันไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ซิงหลานยังไปบอกเรื่องของเธอกับพ่อแม่ของเขา หลินเฉี่ยนไม่รู้จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร นี่มันเร็วเกินไปแล้ว!
“พี่หนิงกับประธานโม่ก็แต่งงานกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันนะคะ พวกคุณสองคนเองก็ยืดเยื้อกันมานานแล้วด้วยนี่คะ…”
หลินเฉี่ยนตกอยู่ในอาการงุนงง…
ว่าแต่นี่มันดึกเกินกว่าที่จะติดต่อหลี่จิ่นใช่ไหมนะ
อย่างไรก็ตาม หลินเฉี่ยนต้องวิตกกังวลเก้อ เพราะสุดท้ายพ่อแม่ของหลี่จิ่นก็ไม่ได้มาหาเธอ ความจริงแล้ว แม้แต่หลี่จิ่นที่รับปากว่าจะกลับมาหาในอีกสามวันเองก็ไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นเช่นกัน…
หลินเฉี่ยนไม่คิดว่าหลี่จิ่นจะเป็นคนประเภทที่จะผิดคำพูด สัญชาตญาณของเธอจึงบอกว่าเขาต้องได้รับบาดเจ็บอีกแน่
ระหว่างที่หลี่จิ่นหายหน้าไป ในคืนก่อนที่งานรอบปฐมทัศน์ของ ผู้รอดชีพ จะเริ่มขึ้น…
ถึงแม้ถังหนิงจะตัดสินใจไม่ไปเข้าร่วมงาน หลินเฉี่ยนกับซิงหลานยังคงตั้งใจจะไปดูหนังด้วยกัน มันไม่ง่ายที่จะได้ตั๋วเข้าชมมาครอบครอง พวกเธอจึงไม่อาจทำให้มันเสียเปล่าได้ ทว่า…ผู้จัดการของซิงหลานกลับห้ามไม่ให้เธอไป ทิ้งให้หลินเฉี่ยนอยู่กับตั๋วทั้งสองใบในมือ
เดิมทีเธอวางแผนว่าจะไปเพียงลำพัง ทว่าเมื่อลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นร่างสูงของหลี่จิ่น
เขาไม่ได้พูดอะไรขณะที่เปิดประตูรถของตัวเอง
และหลินเฉี่ยนก็ไม่ได้ถามพร้อมก้าวขึ้นไปบนรถ
“คุณกำลังจะไปดู ผู้รอดชีพ ที่โรงหนังเหรอครับ”
“คุณชอบดูหนังไหมคะ” เธอเอ่ยถามกลับ
“ไม่ครับ แต่ผมได้ยินมาว่ามันสร้างจากเรื่องจริง ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจช่วยเหลือในครั้งนั้นน่ะครับ” หลี่จิ่นว่าขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาอย่างเคย