ในทางกลับกันลัวเซิงที่ได้รับบาดเจ็บกลับไม่ได้สูญเสียทุกอย่างไป อันที่จริงแล้วเขายังสามารถคว้าบทบาทในละครเรื่องใหม่ไว้ได้อีกด้วย หลังจากการแถลงของถังหนิงสิ้นสุดลง เว็บไซต์ทางการของละครเรื่อง ของเลียนแบบก็ ใช้โอกาสนี้ประกาศว่าพวกเขาจะเริ่มการถ่ายทำและยืนยันว่าลัวเซิงได้รับบทนำในเรื่องนี้ ทั้งยังชี้แจงว่าพวกเขาจะรอจนกว่าเขาจะกลับมาหายดี
เรื่องของลัวเซิงกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ส่งผลกระทบถึงทุกคน ทว่าคนภายนอกส่วนใหญ่นั้นเห็นอกเห็นใจเขา พูดได้อีกอย่างว่าจริงๆ แล้วเขาได้ผลประโยชน์จากเคราะห์ร้ายในครั้งนี้
“ขอบคุณนะครับ พี่หนิง” ลัวเซิงกล่าวขอบคุณหลังรู้ข่าวว่าเรื่องราวได้พลิกผันไปแล้ว “ขอบคุณที่ไม่ทอดทิ้งผมนะครับ”
“นายไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฉันถึงต้องทิ้งนายล่ะ” ถังหนิงท้วง “จากนี้ไปแค่สนใจกับการรักษาตัวให้หายดีก็พอ เมื่อนายกลับมาแข็งแรงอีกครั้งจะได้เริ่มถ่ายทำได้เลย ฉันคุยกับผู้กำกับลัวเอาไว้แล้ว นายสมควรได้รับการต้อนรับจากผู้คน ถึงผู้กำกับลัวจะไม่ใช่คนที่จริงใจและเปิดกว้างซะทีเดียว แต่เขาก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ยังพอจะเป็นมิตรกับเขาได้อยู่”
ได้ยินดังนั้นลัวเซิงก็หัวเราะออกมาแม้จะกระทบกระเทือนแผลของเขาเล็กน้อย “เข้าใจแล้วครับ พี่หนิง”
ส่วนเรื่องผู้อาวุโสและเด็กหนุ่มตระกูลเจิ้ง ถังหนิงได้ทุ่มเทเตรียมจัดการกับพวกเขาไว้ ตอนนี้ถึงเวลาที่จะ เล่นสนุก กับพวกเขาแล้ว
และท้ายที่สุด สำหรับ เปลวเพลิง ถังหนิงมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะกลับมาได้อีก นอกเสียจากจะเปลี่ยนตัวนักแสดงกับทีมงานทั้งหมด ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องอยู่อย่างอับอายต่อไป
ด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวลที่ทำให้ถังหนิงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ขณะที่เธอก้าวออกมาจากบริษัท เธอสังเกตเห็นรถของโม่ถิงที่จอดอยู่ด้านนอก เธอจึงรีบเข้าไปหาเขาและเอ่ยถาม “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ”
“ผมรู้ว่าคุณคิดถึงผมน่ะสิ” โม่ถิงว่าขึ้นพลางจ้องมองถังหนิง
ถังหนิงหลุดขำก่อนพยักหน้ารับ “คุณเป็นคนเดียวในโลกที่เข้าใจฉันเลยค่ะ…”
“ไหนๆ เรื่องก็จบลงแล้ว คุณน่าจะพักผ่อนสักหน่อยนะครับ”
“กลับบ้านกันเถอะค่ะ คุณโม่ ฉันคิดถึงลูกๆ แล้ว”
…
เรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายลงอย่างราบรื่น ทว่าวันแข่งขันรอบรองชนะเลิศของซิงหลานได้มาถึงอย่างรวดเร็ว ซิงหลานฝึกซ้อมอย่างหนักแม้ว่าฝีมือของเธอจะก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆ ด้วยคะแนนสูงสุดที่พาให้เธอผ่านทุกรอบมาได้ ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นส่วนหนึ่งของไห่รุ่ย เธอก็ยังขอคำแนะนำจากถังหนิงอยู่เสมอ ด้วยเชื่อว่าไม่มีใครที่จะให้คำแนะนำได้ดีไปกว่าเธอ
ในระหว่างนี้ หลินเฉี่ยนยังอยู่ที่บ้านของซิงหลาน แม้เธอจะคิดว่าเฉวียนจื่อเยี่ยคงย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลเฉวียนแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมกลับไปอยู่ที่ห้อง เธอมีความสุขกับการอยู่กับซิงหลาน อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องรู้สึกเหน็บหนาวและโดดเดี่ยว
ซิงหลานเองยินดีที่มีหลินเฉี่ยนมาอยู่ด้วยกัน ยิ่งตอนที่ได้ถามเรื่องหลี่จิ่นกับเธอ แต่ทุกครั้งที่หลินเฉี่ยนนึกถึงผู้ชายเย็นชาคนนั้น เธอก็มักจะยกมือขึ้นกอดตัวเองด้วยอาการเสียวสันหลังวาบ “ฉันไม่รู้ว่าจะเข้ากับเขาได้ยังไงเลยจริงๆ ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ… ครอบครัวของลุงฉันหวังในตัวคุณไว้มากเลยนะคะ”
“พวกเขาไม่เห็นข่าวที่ฉันไปสร้างเรื่องไว้กับ ใครบางคน เมื่อไม่นานมานี้เหรอ”
“เห็นแล้วค่ะ แต่พวกเขาก็ดูไม่ได้สนใจอะไรนะคะ ดูเหมือนว่าตราบใดที่ลูกพี่ลูกน้องของฉันได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตน พวกเขาไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครหรอกค่ะ”
“…” หลินเฉี่ยนถึงกับนิ่งไป
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะคบหาดูใจกับลูกพี่ลูกน้องของคุณสักหน่อย!” ทันทีที่พูดจบสายโทรศัพท์จากหลี่จิ่นก็ดังขึ้น
ซิงหลานถอนหายใจในขณะที่หลินเฉี่ยนกลอกตาไปมา
คดีปิดลงแล้ว พวกเขายังจะมีเหตุผลอะไรจะต้องไปเจอกันอีก
หลินเฉี่ยนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนกดรับสาย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ช่วยเหลือเธอไว้
“มาบ้านผมสิ” หลี่จิ่นวางสายหลังจากทิ้งคำพูดสี่คำเอาไว้
หลินเฉี่ยนชะงักงัน
เธอสนิทสนมกับเขาขนาดนั้นเลยหรืออย่างไรกัน
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้สนิทสนมกับเขา หลินเฉี่ยนก็ยังลุกขึ้นและขับรถตรงไปที่บ้านของเขา เธอถูกลากตัวเข้ามาในห้องนั่งเล่นของเขาในเวลาถัดมา
“อะไรกัน…คุณต้องการอะไรกันเนี่ย”
“ผมไปช่วยบางคนมาและได้รับบาดเจ็บระหว่างนั้น คุณทำอาหารเป็นไหมครับ” หลี่จิ่นถามพร้อมเอามือกุมท้องเอาไว้
หลินเฉี่ยนจ้องมองเขาก่อนพยักหน้ารับ “พอเป็นบ้างค่ะ”
“ผมหิวแล้ว!”
เธอนิ่งค้างไปอีกครั้ง นี่มันหมายความว่าอะไรกัน ผู้ชายคนนี้กำลังทำกับเธอเหมือนเป็นว่าที่คนรักอยู่หรือ ทำไมเขาถึงไม่ถามถึงความสมัครใจของเธอก่อนเลย
“นอกจากคุณ ผมก็ไม่รู้จักผู้หญิงคนอื่นแล้ว” หลี่จิ่นอธิบายเสียงเรียบ “ผมจะถือว่าเป็นการขอบคุณเรื่องที่ผมช่วยไว้ก่อนหน้านี้แล้วกัน”
ได้ยินเช่นนี้ หลินเฉี่ยนก็พยักหน้ารับในท้ายที่สุด “ก็ได้ค่ะ นั่งพักที่นี่แล้วกันนะคะ คุณอยากจะทานอะไรล่ะ”
“อะไรก็ได้ครับ”
หลังตอบกลับ หลี่จิ่นเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองในขณะที่หลินเฉี่ยนกลายเป็นแม่ครัวส่วนตัวของเขา ผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความอันตรายและลึกลับ แต่หลินเฉี่ยนไม่อาจปฏิเสธคำขอของเขาได้อย่างอธิบายไม่ถูก
“ดูท่าแล้วบาดแผลของเขาคงไม่ใช่เล่นๆ ” เธอคิด
หลินเฉี่ยนค่อยๆ ทำอาหารจานง่ายๆ ไม่กี่อย่างก่อนเดินไปตามหลี่จิ่นที่ห้องนอน ทว่าในจังหวะที่เธอมาถึงหน้าประตู เธอสังเกตว่าเขากำลังพยายามเปลี่ยนผ้าพันแผล เป็นตอนที่ได้เห็นปากแผลที่น่ากลัวบนหน้าท้องของเขาซึ่งเกิดจากรอยกระสุน
เป็นครั้งแรกที่หลินเฉี่ยนได้เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องทำนองนี้
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ แต่ผมก็ช่วยคนไว้ได้ถึงสี่คน”
เธอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงบอกเรื่องนี้กับเธอ หากแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรับฟัง “ไปทานข้าวเถอะค่ะ ฉันกำลังจะกลับบ้านแล้ว”
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณ…”
“ช่างมันเถอะค่ะ สนใจดูแลแผลตัวเองก่อนเถอะนะคะ”
หลี่จิ่นพยักหน้าและไม่ดื้อแพ่งต่อไป
หลินเฉี่ยนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนออกจากบ้านไป เธอก้าวขึ้นไปในรถและขับตรงกลับมาที่บ้าน สัญชาตญาณของเธอบอกว่าผู้ชายคนนี้อันตรายเกินไป
“โอ๊ะโอ มีใครบางคนหายออกไปทั้งช่วงบ่ายเลย คุณไปทำอะไรมาคะ” ซิงหลานถามขึ้นพร้อมโผล่ตัวขึ้นด้านหลังหลินเฉี่ยน
หลินเฉี่ยนกลอกตากลับไปอย่างเอือมระอาเป็นคำตอบ
หากนี่เป็นเฉวียนจื่อเยี่ย เธอคงจะหลีกเลี่ยงเขาโดยไม่ลังเล แต่อยู่ๆ พอเป็นหลี่จิ่น ถึงเธอจะอยากหลบหน้าเขาแต่กลับยังต้องการเข้าใกล้เขาในเวลาเดียวกัน
เธอหมกมุ่นเกินไปแล้วหรืออย่างไรกัน!
…
ตอนนี้เรื่องของลัวเซิงเป็นที่กระจ่างแล้ว ถังหนิงจึงกลับไปสนใจเรื่องการเตรียมการถ่ายทำภาพยนตร์ไซไฟของเธอ แต่เพราะว่าเธอได้ลงทุนกับกระบวนการหลังการถ่ายทำไป จึงมีอุปสรรคอีกมากที่เธอต้องพบเจอ อันดับแรกคือความท้าทายของเทคนิคพิเศษเบื้องหลังกระบวนการหลังการถ่ายทำ ทว่าเฉียวเซินก็ยังคงมั่นใจและเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้
“บทพร้อมแล้วนะครับ” เฉียวเซินเอ่ยพร้อมส่งเอกสารบางอย่างให้ถังหนิง “นี่เป็นฉบับรวบรัด
“ส่วนเรื่องนักแสดง ฉันกำลังหวังว่าคุณจะมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมนักแสดงนะ ฉันเชื่อในเสน่ห์และความสามารถในการแสดงของคุณ”
ถังหนิงรับเอกสารมาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะกลับไปแสดงอีกค่ะ…”
“ฉันรู้ แต่ก็ยังอยากให้คุณได้ลอง เลยแนะนำมันให้คุณนะ” เฉียวเซินยักไหล่ “น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ”
ถังหนิงนิ่งเงียบและครุ่นคิดไปชั่วขณะ แต่เธอก็ยึดมั่นในความตั้งใจเดิมของตัวเอง “ฉันช่วยคุณเลือกนักแสดงที่เหมาะสมได้ค่ะ”
“ไม่ พวกเขาไม่ใช่คุณ ฉันคาดหวังให้คุณเก็บเอาไปคิดนะ”
ถังหนิงถือบทไว้ในมือแต่ไม่ได้เปิดอ่าน เธอกลัวว่าหากพลิกเปิดมันแล้วจะไม่อาจปิดกลับลงไปได้อีก
เธอยังแสดงได้อยู่อีกหรือ
หลังจากเหตุการณ์ของสวี่ซิน สาธารณชนยังจะอ้าแขนรับเธอหรือ
ความลังเลก่อตัวอัดแน่นในใจถังหนิง หลังจากกลับมาถึงบ้าน เธอก็วางบทไว้บนโต๊ะและจ้องมองด้วยท่าทีสับสน หากแต่ก่อนหน้านี้เธอได้ตัดสินใจไปแล้ว เธอจึงไม่ควรเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
ครั้นโม่ถิงกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นถังหนิงกำลังนั่งมองบทอยู่บนโซฟาอย่างคิดไม่ตก
เธออาจจะกักขังจิตวิญญาณนักแสดงภายในตัวเองเอาไว้อยู่ แต่ไม่ช้าก็เร็วเธอก็จะรู้สึกตัว
มันไม่ได้หมายความว่าโม่ถิงกำลังจะได้กลับมาเป็นผู้จัดการอีกครั้งอย่างนั้นหรือ