“อะไรกัน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด จากสิ่งที่โรงพยาบาลของคุณประกาศก่อนหน้านี้เราดูจะคุ้นเคยกันดีนี่ครับ แต่ดูท่าแล้วผู้อำนวยการหลินจะไม่อยากเจอผมนะครับ” โม่ถิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ความลังเลใจอัดแน่นอยู่ในตัวผู้อำนวยการหลิน ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากก้าวเข้ามาในห้องและนั่งลงตรงข้ามโม่ถิง
ทว่าหลังจากเขาทิ้งตัวลงนั่งความรู้สึกไม่สบายใจก็ก่อตัวขึ้นท่ามกลางกล้องหลายตัวที่รายล้อมฝ่ายตรงข้าม
นอกจากนี้เพียงแค่สบตามองโม่ถิงครั้งเดียวก็ทำให้ต้องผงะถอยไปด้วยความกลัวด้วยรังสีอำมหิตรอบตัวเขาแล้ว
“คุณโม่ ถ้าคุณอยากจะพบผม ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ…”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจอผู้อำนวยการหลินหรอกครับ” โม่ถิงว่าขึ้นอย่างมีความนัย จากนั้นท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาแฝงความร้ายกาจและอันตราย “ผมแค่อยากรู้ว่าไห่รุ่ยทำอะไรกับโรงพยาบาลของคุณให้กลัวจนต้องไล่พนักงานคนหนึ่งออกเท่านั้นครับ”
“เรื่องนั้น…”
“ผู้อำนวยการหลิน มีข่าวลือว่าไห่รุ่ยทำการกดดันคุณ ไห่รุ่ยทำแบบนั้นจริงๆ หรือครับ จากที่หมอถานว่าไว้ว่าเราร่วมมือกันใช้วิธีสกปรก
“หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ผมก็โกรธมาก ถ้าอาณาจักรความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ของผมต้องลงมาจัดการกับหมอโง่ๆ คนหนึ่ง
.” ส่วนตัวผมไม่คิดว่าหมอถานจะอยู่ในระดับที่ต้องได้รับความสนใจขนาดนั้น ว่าไหมครับ”
ผู้อำนวยการหลินถูกกดดันอย่างรุนแรง เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดข่าวลือพวกนี้ขึ้นทั้งนึกไม่ถึงว่าโม่ถิงจะมาพบเขาด้วยตัวเองเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ควรเกิดขึ้นแต่ตอนนี้เขาถูกต้อนให้ต้องรับผิดชอบ เขาต้องพูดอะไรเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเขาไว้กัน
“ผมคิดว่าหมอถานต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ ครับ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้อำนวยการหลินช่วยอธิบายว่าทำไมถึงไล่หมอถานออกด้วยนะครับ”
“คือ…” อีกฝ่ายนิ่งค้างไป
“คุณให้คำตอบผมไม่ได้หรือครับ ไม่เป็นไร ผมจะตอบแทนคุณเอง” สิ้นเสียงโม่ถิงก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดเล่นบันทึกเสียง
ต่อหน้าสื่อทั้งหมด…
“ถานซูหลิงเหรอ เอ ใครในโรงพยาบาลไม่รู้จักเธอบ้าง เธอขึ้นชื่อเรื่องการควบคุมอารมณ์ต่ำและชอบมีปัญหากับญาติคนไข้บ่อยๆ บางครั้งเธอก็มักก่อเรื่อง เพราะอย่างนั้นผู้อำนวยการเลยอยากไล่เธอออกมานานแล้ว”
“ฉันไม่ได้พูดลอยๆ นะ ถานซูหลิงคนนั้นเธอบ้าไปแล้ว เธอทำให้โรงพยาบาลกลายเป็นสถานที่น่าขยะแขยง”
“ก่อนหน้านี้ระหว่างการประชุมเธอทำให้ผู้อำนวยการตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ตอนนั้นเขาก็อยากจะกำจัดเธอแล้วล่ะ”
“ฉันคิดว่าคนในโรงพยาบาลแปดสิบเปอร์เซ็นต์อยากจะให้ถานซูหลิงออกไป”
“บันทึกเสียงทั้งหมดมาจากหมอซึ่งทำงานที่โรงพยาบาลของคุณ ฟังแล้วดูจะไม่มีใครชอบถานซูหลิงเลย ดังนั้นคุณเลยตัดสินใจอ้างเรื่องที่เธอขัดแย้งกับไห่รุ่ยเพื่อไล่เธอออกใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ” ผู้อำนวยการหลินปฏิเสธทันที
“อย่างนั้นคุณมีเหตุผลอะไรครับ” โม่ถิงถามขึ้น
อย่างไรก็ตามคนถูกถามเกิดอาการละล่ำละลักมาชั่วขณะโดยที่ไม่ได้ชี้แจงอะไร
“ถานซูหลิงแสดงความเห็นในเชิงลบต่อไห่รุ่ย แล้วทางเราทำอะไรผิดหรือครับ” โม่ถิงเอ่ยถามขณะวางโทรศัพท์ลง “คุณมีเรื่องผิดคนแล้วล่ะ ผู้อำนวยการหลิน…
“ไม่ว่าจะเป็นไห่รุ่ยหรือผม แต่สถานะของคุณก็ยังเหมือนเดิม คุณไม่สามารถต่อกรกับพวกเราได้หรอก ฉะนั้นเลิกฝันจะโยนความผิดให้เรา เราจะไม่แบกรับข้อกล่าวหาที่ทำให้ถานซูหลิงโดนไล่ออกแน่”
พลันสีหน้าของคนฟังก็คละเคล้าไปมาระหว่างสีแดงและขาว
“หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันภรรยาของผม ผมคงไม่มาเจอแค่ผู้อำนวยการธรรมดาๆ อย่างคุณ ตอนนี้เรื่องก็กระจ่างแล้ว ถ้าคุณยังปฏิเสธจะชี้แจงทุกอย่างกับสาธารณชน อย่าหาว่าผมโหดร้ายแล้วกัน และนี่เป็นสิ่งที่คุณเรียกว่าโดนกดดัน”
ต่อหน้ากล้องหลายตัว อารมณ์โกรธของโม่ถิงก็ปะทุขึ้น
ทุกคำของเขาเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตให้คนที่ได้ยินต้องเหงื่อตกด้วยความหวาดกลัว
“ผมไม่สนใจเรื่องภายในของคุณหรอก แต่อย่าเอาไห่รุ่ยและภรรยาของผมไปเกี่ยวข้อง!”
ประโยคสุดท้ายของเขาชวนให้นึกถึงคำสั่งของปีศาจ ทันทีที่มันเข้าหูผู้อำนวยการหลินเจ้าตัวก็รู้สึกว่าเขาต้องออกมาชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยไม่เคยคิดอยากทำให้โม่ถิงโกรธ
“คุณโม่ ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ ทางเราก็กลัวข่าวลือเช่นกัน ที่ทำให้ไห่รุ่ยต้องเข้ามาเกี่ยวข้องผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ” ผู้อำนวยการหลินอธิบายอย่างจริงใจก่อนที่จะหันไปทางสื่อ “เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างถานซูหลิงกับผม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไห่รุ่ยผมหวังว่าสาธารณชนจะไม่เข้าใจผิดกันนะครับ”
“ยังไงก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้ว ช่วยชี้แจงเหตุผลที่แท้จริงในการไล่ถานซูหลิงออกด้วยครับ”
“เป็นเรื่องภายในของโรงพยาบาลของเราน่ะครับ ให้เราจัดการด้วยตัวเองเถอะครับ” ผู้อำนวยการหลินพยายามต่อรอง
“ตอนที่คนภายนอกวิพากษ์วิจารณ์ไห่รุ่ย ก็ไม่มีใครออกมาเจรจากับเราเลยนะครับ” โม่ถิงเอ่ยเสียงเข้ม “ตอนที่ผู้คนต่อว่าภรรยาผมเพราะถานซูหลิงก็ไม่มีใครออกมาพูดอะไรกับเราเหมือนกันแม้ว่าผมจะอยากออกมาชี้แจงเรื่องต่างๆ ก็ตาม”
ผู้อำนวยการหลินไม่มีทางเลือกได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะหันไปเผชิญหน้ากับสื่ออย่างไม่เต็มใจนักก่อนอธิบายออกมา “ทางโรงพยาบาลของเราต้องยอมรับว่าถานซูหลิงเป็นหมอที่มีความสามารถแต่ว่า…
“เธอยังเป็นหมอที่ได้รับการร้องเรียนเยอะที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอรักษาคนไข้ได้ไม่ดีแต่เพราะเธอมักจะหยาบคายใส่ญาติคนไข้ ในขณะเดียวกันเธอก็เป็นคนที่ได้รับการร้องเรียนจากภาคส่วนภายในมากที่สุดเช่นกัน ด้วยภาวะทางอารมณ์ส่วนตัวของเธอจึงทำให้ผู้ร่วมงานอึดอัดในที่ทำงาน นั่นเป็นเหตุผลที่ทางโรงพยาบาลตัดสินใจไล่เธอออกครับ
“ผมขอเป็นตัวแทนของโรงพยาบาลในการกล่าวขอโทษประธานโม่ที่ทำให้สาธารณชนเข้าใจไห่รุ่ยผิด หวังว่าประธานโม่จะให้อภัยเรา เป็นเราเองที่จัดการเรื่องนี้อย่างไม่เหมาะสมและทำให้ทุกคนผิดหวังครับ”
“ในประเด็นของถานซูหลิง” โม่ถิงเอ่ยต่อ “กั่วกั่วป่วยผมจึงพาลูกชายของผมไปโรงพยาบาล หมอถานไม่ได้พบถังหนิงเธอจึงขอให้แม่มากับลูกด้วยในครั้งหน้า
“แต่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่กั่วกั่วมีไข้ นอกจากนี้ระบบภูมิคุ้มกันของเขายังอ่อนแอลงอีกด้วย ผมจึงตัดสินใจไม่บอกถังหนิงเพราะรู้ว่าเธอจะต้องทิ้งทุกอย่างที่กองถ่ายและกลับมาที่บ้าน เธอเป็นนักแสดงนำ เป็นตัวละครหลักของนักแสดงทั้งหมด ผมไม่สามารถให้เธอทิ้งงานมากขนาดนั้นและไม่สนใจทีมงานทั้งหมดได้ ผมจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับเธอ…
“แต่ว่าหมอถานกลับใช้อคติมาตำหนิภรรยาของผมเพียงเพราะว่าไม่เคยพบเธอ…
“ระหว่างที่กั่วกั่วป่วยก่อนหน้านี้ ถังหนิงขอลาจากกองถ่ายและรีบกลับบ้านในตอนกลางคืน เธอพากั่วกั่วไปโรงพยาบาลในวันต่อมาแม้ว่าจะต้องเจอกับคำต่อว่าของหมอถาน
“นี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดครับ
“ถังหนิงกับผมไม่ได้แต่งงานคลุมถุงชน ผมรักภรรยาของผมมากกว่าอะไรทั้งสิ้น…
“ระหว่างเรามีผลประโยชน์ร่วมกันจริงครับ แต่มันคือความรักที่มีต่อกันและกัน”
ได้ยินเช่นนั้นนักข่าวก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “หากถังหนิงมีความรับผิดชอบในฐานะแม่จริง ทำไมระบบภูมิคุ้มกันของลูกถึงได้อ่อนแอล่ะคะ ไม่ใช่เพราะว่าเริ่มมีปัญหาตั้งแต่ตอนที่เธอท้องแล้วหรือคะ”
โม่ถิงหลุดหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น