คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในไห่รุ่ยช่วงระยะหลังมานี้คงหนีไม่พ้นซ่งซิน
เพลงของเธอทำยอดขายอันดับหนึ่ง บทละครที่เธอดัดแปลงดังเป็นพลุแตก และเธอก็ทำตัวน่ารักสุดๆ ในรายการวาไรตี้ต่างๆ ใช้เวลาไม่นานชื่อของซ่งซินก็ดังไปทั่วปักกิ่ง ที่จริงวงการเพลงได้มอบฉายาให้เธอว่า สุดยอดอัจฉริยะ!
ไห่รุ่ยได้เตรียมการสำหรับระยะแรกในการผลักดันเธอเอาไว้แล้ว พวกเขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ ความนิยมของเธอจะต้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่อาจประเมินค่าได้ อย่างไรก็ตาม จุดด้อยเพียงอย่างเดียวของเธอคือเธอไม่ค่อยมีเรื่องน่าสนใจให้พูดถึงนัก
แน่นอนว่าเธอโด่งดัง แต่เธอยังไม่อาจเทียบกับความน่าประทับใจที่ถังหนิงเลยทิ้งเอาไว้
ดังนั้นหากเธอต้องการก้าวข้ามถังหนิงไปให้ได้ เธอยังต้องเดินไปอีกไกลโข
หลังเหตุการณ์ของฮว่าเหวินเฟิ่ง ถังหนิงก็เก็บตัวอยู่ในบ้านมากกว่าเดิม แม้แต่ในงานอีเวาต์สำคัญ เธอก็เลี่ยงที่จะเข้าร่วมเพื่อปกป้องลูกในท้องของเธอ
เธอยังคงสืบหาตัวคนที่ปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่แม้แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งก็ยังจำไม่ได้ แล้วถังหนิงจะไปหาคำใบ้หรือข้อมูลได้จากที่ไหนอีก
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมา โม่ถิงออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่และกลับดึก ทั้งคู่แทบไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันเลย แม้แต่การพูดคุยกันเพียงเล็กน้อยก็แทบเป็นไปไม่ได้ ทุกครั้งที่ถังหนิงตื่นขึ้น เธออยากพูดคุยกับโม่ถิง แต่ทุกครั้งที่เธอเห็นใบหน้าอันเหนื่อยล้าของอีกฝ่าย เธอก็ทำใจรบกวนเขาได้ไม่
เมื่อเห็นเช่นนั้น ไป๋ลี่หวาจึงอดถามไม่ได้ “ฉันไม่เคยเห็นคุณบ่นเรื่องโม่ถิงทำงานหนักเกินไปเลยนะ คุณไม่รู้สึกว่าเขาให้เวลากับคุณไม่พออย่างงั้นเหรอ”
เพราะการถูกวางยาด้วยควินิดีน ทำให้ถึงหนิงใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับหนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับยา ทันทีที่เธอได้ยินคำถามของไป๋ลี่หวา เธอส่ายศีรษะ “บ่นเรื่องอะไรล่ะ ฉันรู้จักเขาดีกว่าใครทั้งนั้น”
“ถ้าเขากำลังแอบทำอะไรลับหลังคุณล่ะ ฉันสังเกตว่าหมู่นี้เขาไปที่บ้านหลังข้างๆ บ่อยขึ้นนะ คุณไม่สังเกตเหรอ” ไป๋ลี่หวาถามอย่างมีนัย “ฉันเห็นเขาเมื่อเข้า หลังจากที่เขาออกจากบ้านก็ไม่ได้ตรงไปไห่รุ่ย แต่กลับไปที่บ้านหลังข้างๆ แทน”
ถังหนิงวางหนังสือในมือลงและยืดคอมองไปด้านนอก “เป็นไปได้ยังไง”
“ทำไมเราสองคนไปลองไปดูด้วยกันล่ะ บางทีเราอาจจะบังเอิญเจอเขาก็ได้”
แม้ถังหนิงจะไม่เชื่อไป๋ลี่หวา แต่เธอก็ยังอยากรู้ว่าโม่ถิงกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นจากโซฟาและเดินออกไปจากบ้านพร้อมไป๋ลี่หวาก่อนตรงไปที่บ้านหลังข้างๆ
ที่นั่น กลุ่มคนงานจำนวนมากกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำงาน ทันทีที่พวกเขาเห็นถังหนิง พวกเขารีบบอก “คุณผู้หญิงมาที่นี่จะเป็นการขัดขวางการทำงานของพวกเรานะครับ”
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่งั้นเหรอ” ถังหนิงถามด้วยความสงสัย
“แต่เดิมมีครับ แต่ตอนนี้บ้านหลังนี้ถูกขายให้ใครสักคนไปแล้ว บางทีนายใหญ่คนไหนสักคนอาจจะอยากได้บ้านให้เมียของเขาก็ได้” คนงานคนหนึ่งถอนหายใจก่อนที่เขาจะกลับไปทำงาน ทว่าสีหน้าไป๋ลี่หวาไม่พอใจนัก แม้จะไม่มีใครเห็นก็ตาม
“เสี่ยวหนิง ทำไมไม่โทรไปถามโม่ถิงเรื่องนี้ล่ะ”
ถังหนิงส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่จำเป็น ปกติถ้าเขาอยากบอกเขาจะบอกฉันเอง”
จากนั้นถังหนิงกลับไปที่บ้านของตนเอง หลังจากที่เธอกลับไปแล้ว เหล่าคนงานต่างพากันพูดถึงถังหนิง “นั่นมันถังหนิงเมียของโม่ถิงไม่ใช่เหรอ นี่หมายความว่าถังหนิงตกกระป๋องแล้วใช่ไหม ไม่งั้นทำไมเขาต้องซื้อบ้านหลังติดกันทั้งที่ก็มีบ้านอยู่แล้วด้วยล่ะ เขาต้องแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ แน่ แบบนี้เขาจะได้เก็บเมียน้อยได้สะดวกในขณะที่เมียตัวเองกำลังท้อง”
“หุบปากไปเลย หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วกลับไปทำงานซะ” หัวหน้าผู้คุมงานเขกหัวคนงานคนนั้นเป็นการเตือน
“เห็นถังหนิงท้องแบบนั้นก็รู้สึกเห็นใจเหมือนกันนะ”
“นายพูดแบบนั้นโต้งๆ ไม่ได้นะ”
ไป๋ลี่หวาเพิ่งได้อยู่กับโม่ถิงและถังหนิงมาได้ไม่นาน สิ่งที่เธอรู้มีเพียงแค่ทั้งคู่แต่งงานกับแบบสายฟ้าแลบและไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าทั้งคู่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร และไม่รู้ว่าถังหนิงและโม่ถิงมีความเชื่อใจกันในระดับไหน
โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เป็นช่วงเวลาอ่อนไหวก่อนการคลอด
“เสี่ยวหนิง ฉันเชื่อว่าโม่ถิงมีเหตุผลที่ทำแบบนี้”
ถังหนิงเพียงแค่ตอบรับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
…
บ่ายวันนั้น นางเอกคนใหม่ได้เดินทางมาถึงกองถ่ายของเฉินซิงเยียน
นี่เป็นการเปลี่ยนตัวในนาทีสุดท้าย ผู้กำกับไม่อาจหานักแสดงหญิงชื่อดังคนไหนมารับบทแทนเนื่องจากปัญหาด้านตารางเวลา กระนั้นก็ตาม หลินเซิงยังเป็นตัวสำคัญที่สุด ตราบใดที่นางเอกคนใหม่ไม่ทำตัวเหมือนเฉินซิงเยียน แค่นั้นก็พอแล้ว
ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเดินทางมาถึงกองถ่าย เธอก็เลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ให้ทีมงานทุกคนในกอง ท่าทางอันใจกว้างของเธอบดบังน้ำใจเล็กน้อยที่เฉินซิงเยียนเคยทำไว้ได้อย่างง่ายดาย
ที่สำคัญกว่านั้น ผู้กำกับตัดสินใจใช้เธอหลังจากได้เห็นเธอแสดงแค่ฉากเดียวและยืนยันว่าเธอจะแสดงแทนฉากทั้งหมดที่เฉินซิงเยียนเคยถ่ายไว้
เฉินซิงเยียนยังคงอยู่ช่วยงานในกองถ่ายแม้ทุกคนจะมองเธอด้วยความเวทนา บางคนถึงกับถามเธอว่าทำไมเธอถึงยังยืนกรานที่จะไม่กลับไป
เฉินซิงเยียนไม่รู้จะตอบอย่างไร รู้แค่ว่าเธอไม่อยากยอมแพ้
ทว่าค่ำคืนวันนั้นจะเป็นคืออันยากลำบากสำหรับเธอ…
“ช่างไฟรีบปรับไฟเร็วเข้า ส่วนนักแสดงอื่นๆ ไปพักได้” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้กำกับ เฉินซิงเยียนก็เดินตามทีมงานคนอื่นๆ ไปยังกองถ่าย ทันทีที่นักแสดงหญิงคนใหม่เห็นเฉินซิงเยียน เธอก็ถามขึ้น “เธอคือนางเอกคนก่อนใช่ไหม ฉันได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอแล้วนะ ขอโทษด้วยที่เอาบทของเธอมา”
ผู้หญิงคนนั้นห่อตัวด้วยผ้าห่มพร้อมท่าทางสบายๆ เธอไม่ได้ดูเสียใจเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเธอพูดเหน็บแนมเฉินซิงเยียนเล็กๆ ด้วย
“ฉันเข้าใจเธอนะ เธอเป็นสตันต์มาตลอด อยู่ๆ จะให้มาจดจ่ออยู่หน้ากล้องก็คงยากหน่อย” ผู้หญิงคนนั้นหยุดพูดกลางคันและมองไปที่เสื้อผ้าซึ่งวางอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ “ช่วยเอาเสื้อผ้าพวกนั้นมาให้ทีสิ ตอนนี้เธอเป็นแต่ทีมงานคนหนึ่ง ฉันมั่นใจว่าเธอคงไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องทำงานแบบนี้ใช่ไหมล่ะ”
หากนี่เป็นเมื่อก่อน คงไม่มีทางที่เฉินซิงเยียนจะทนถูกกระทำแบบนี้ได้ แต่ตอนนี้เธอเป็นแค่เม่นที่ถูกถอนหนามออกไปจนหมดแล้ว ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดเพียงใด เธอก็ต้องควบคุมความโกรธและส่งเสื้อผ้าพวกนั้นให้ผู้หญิงคนนี้
“ผู้ช่วยของฉันไม่สบายเพราะการเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างลำบาก ตอนนี้กำลังพักอยู่ ทำไมคืนนี้เธอไม่อยู่ช่วยฉันล่ะ บอกค่าจ้างมาได้เลย… ฉันไม่ทำไม่ดีกับเธอหรอก”
“ฉัน…”
“ผู้กำกับคะ…”
“ก็ได้” เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นจะเรียกผู้กำกับ เฉินซิงเยียนก็รีบตอบตกลงทันที “ฉันจะเป็นผู้ช่วยให้เธอ”
“เป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้ว ฉันกำลังจะถ่ายฉากต่อไป ช่วยตามช่างแต่งหน้ามาให้ที ฉันคงไม่ต้องสอนเธอเรื่องนี้ใช่ไหม”
เฉินซิงเยียนกลืนความโกรธของตัวเองเองและวิ่งออกจากกองถ่ายไปตามช่างแต่งหน้า แต่ไม่ว่าเธอจะไปตามหาที่ไหน เธอก็หาช่างแต่งหน้าไม่เจอ หลังกลับมาหานักแสดงหญิงคนนั้น เฉินซิงเยียนกลับถูกตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ “เธอเป็นผู้ช่วยภาษาอะไร ฉันบอกแล้วไงว่าการถ่ายทำกำลังจะเริ่ม เธอเสียเวลาสิบนาทีไปตามหาช่างแต่งหน้าได้ยังไง”
ทุกคนอึ้ง
ผู้หญิงคนนี้หยิ่งยโสเกินไปแล้ว ตบหน้าเฉินซิงเยียนแบบนั้นได้ยังไงกัน
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอเป็นน้องสาวของโม่ถิงหรือเปล่า ในเมื่อเธออยู่ในกองถ่าย เธอก็เป็นแค่ทีมงานคนหนึ่ง และ ‘ไม่สำคัญ’ อะไรทั้งนั้น”
เฉินซิงเยียนหันกลับมามองหน้าผู้หญิงคนนั้น แววตาอาฆาตที่ปรากฏในดวงตาของเธอดูราวกับพร้อมจะฉีกอีกฝ่ายเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ
“อยากจะทำอะไรล่ะ”
“เธอคิดว่าฉันจะต่อยเธอหรือไง” เฉินซิงเยียนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะดูว่าเธอจะถ่ายฉากต่อไปโดยไม่มีสตันต์ได้ยังไง”
“ต่อให้ฉันถ่ายฉากนี้ไม่ได้ บทนี้ก็ไม่กลับไปหาเธอหรอก!”