“หมอนั่นมาทุ่มเทหัวใจทั้งหมดช่วยฉันด้วยวิธีไหนกัน” เฉินซิงเยียนถามขณะที่เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย
“ฉันจะไปรู้ได้ไง เธอไปถามเอาเองสิ!” หลินเซิงตัดสินใจที่จะไม่เฉลยปริศนา ให้อันจื่อเฮ่าได้เจ็บสักหน่อย
…
ขณะเดียวกัน อันจื่อเฮ่าตั้งใจที่จะชดใช้ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกองถ่าย ขณะที่ผู้กำกับมองดู เขาก็รู้สึกเจ็บใจแทนอีกฝ่าย “ต้องปวดหัวมากแน่ที่ต้องดูแลคนแบบนี้”
อันจื่อเฮ่ามองเฉินซิงเยียนและส่ายศีรษะ “เธอเป็นต้นอ่อนที่ดี แต่ต้องการเวลาเติบโตและพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง”
“นายเป็นคนเดียวที่นี่ที่คิดว่าเด็กนั่นมีความสามารถไร้ขีดจำกัด” ผู้กำกับถอนหายใจ
อันจื่อเฮ่ายิ้มอย่างไม่เห็นด้วย
“หมู่นี้นายเจอปัญหาเรื่องเงินใช่ไหม ถ้าต้องการเงินก็มาหาฉันก็ได้ ฉันแนะนำงานให้นายได้” ผู้กำกับเสนอด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น แต่เขาเพียงแต่ต้องการโชว์เส้นสายอันกว้างขวางของตัวเองเท่านั้น
อันจื่อเฮ่ายิ้มพลางพยักหน้าอย่างขอบคุณ แต่เขายังไม่อยู่ในจุดนั้น
แม้เฉินซิงเยียนจะไม่ได้ทำงานหนักมากพอ แต่เธอก็มีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ บางครั้ง อันจื่อเฮ่าต้องตกอยู่ในสภาวะลำบาก เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะทำให้อีกฝ่ายเจิดจรัสหรือปล่อยให้อีกฝ่ายได้เป็นตัวของตัวเองดี
หลังจากนั้น อันจื่อเฮ่าก็เดินทางออกจากกองถ่าย ขณะเดียวกัน เฉินซิงเยียนก็ถ่ายทำต่อไปจนถึงกลางดึก เพื่อให้การถ่ายทำต่อเนื่องจากวันก่อน ที่จริงเธอต้องถ่ายฉากที่ต้องจมอยู่ในน้ำ
แต่เฉินซิงเยียนไม่เคยกลัวอะไรนอกจากน้ำ ดังนั้นหลังจากผ่านไปนับสิบเทก เธอจึงทำพลาดทุกครั้ง
นี่ทำให้ผู้กำกับที่ตัวเปียกชุ่มตะโกนมาจากฝั่ง “เธอเล่นเป็นไหมเนี่ย”
ร่างกายเฉินซิงเยียนตึงเครียดขึ้นมา เธอไม่อาจแสดงความเจ็บปวดของตัวเองออกมาได้ เธอทำได้เพียงยืนอยู่ในน้ำและสั่นเทา
แต่เพราะความกลัวน้ำของเธอเอง ทำให้เป็นเรื่องยากที่เธอจะจดจ่ออยู่กับอารมณ์
“ผู้กำกับคะ ขอโทษด้วยค่ะ ขอลองอีกครั้งนะคะ”
ผู้กำกับระงับความโกรธและกลับไปที่กล้อง กระนั้นการแสดงของเฉินซิงเยียนในครั้งนี้กลับแย่ยิ่งกว่าเดิม
“หยุดถ่าย! ฉันไม่เคยเจอนักแสดงคนนั้นห่วยแตกขนาดนี้ เธอทำให้คนทั้งกองไม่ได้นอน…”
เฉินซิงเยียนก้มหน้าก้มตาก้าวออกมาจากน้ำและเดินไปหาผู้กำกับทั้งที่น้ำยังหยดจากตัว
“อย่าทำตัวน่าเวทนา ฉันก็ไม่ต่างจากเธอหรอก อันจื่อเฮ่ายอมเสียทุกอย่างไม่จบไม่สิ้นเพื่อเธอ ก็น่าเวทนาเหมือนกัน” ผู้กำกับกล่าวพลางชี้ไปที่เฉินซิงเยียน “ฉันรู้ว่าเธอเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบไร้กังวลและการเป็นสตันต์ แต่ตอนนี้เธอเป็นนางเอก อย่าทำตัวเห็นแก่ตัวได้ไหม เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างสิ
“เพื่อแก้แค้นผู้กำกับแมตต์ให้เธอ อันจื่อเฮ่าแทบหมดตัว แล้ววันนี้เขายังต้องมาจ่ายเงินให้กับนิสัยไม่รู้จักโตของเธออีก เขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่อนาคตไกล แต่เพราะเธอ เขาเกือบล้มละลาย เธอไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง”
ผู้กำกับแทบจะตวาดในประโยคสุดท้าย
เฉินซิงเยียนยืนอึ้ง
“ไปๆๆ … คืนนี้ฉันไม่ถ่ายอะไรแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเซิงกับอันจื่อเฮ่า ฉันคงไล่เธอออกไปแล้ว”
เฉินซิงเยียนอ้าปากเพื่อพูด แต่ขณะที่คำพูดของเธอกำลังจะถูกเปล่งออกมานั้น เธอพลันรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เธออยากพูดล้วนฟังดูเหมือนข้อแก้ตัว
อันจื่อเฮ่า…
เขาเกือบล้มละลายเพราะเธออย่างนั้นหรือ
เฉินซิงเยียนรู้สึกสับสน เธอไม่รู้เลยว่าอันจื่อเฮ่าแอบทำอะไรให้เธอมากมาย
“ผู้กำกับคะ ถ่ายกันอีกรอบเถอะนะคะ”
“ไม่ อันจื่อเฮ่าทำเพื่อเธอมากมายแต่การแสดงของเธอในคืนนี้แสดงให้ฉันเห็นว่าเธอดูถูกความเชื่อมั่น ความเสียสละและหัวใจของเขา” ผู้กำกับเดินจากไปหลังพูดจบ ขณะที่ทีมงานคนอื่นๆ ในกองถ่ายต่างมองไปที่เฉินซิงเยียนด้วยความผิดหวังอย่างมาก
“พี่เซิง คำพูดของผู้กำกับออกจะแรงไปหน่อยนะ” ผู้ช่วยของหลินเซิงกล่าวที่ข้างหูของหลินเซิง “เฉินซิงเยียนน่าจะกลัวน้ำ”
“ในเมื่อเธออยากจะเป็นนักแสดงที่ทุกคนจับตามอง ก็ไม่มีอะไรที่เธอจะก้าวข้ามไม่ได้ เธอมีปากนี่ เธอสามารถขอคำแนะนำจากใครก็ได้ แต่เธอยังเด็ก ประมาทและมั่นใจเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร” หลังพูดจบ หลินเซิงก็ส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยของเขากลับไปที่ห้องและพักผ่อน
“ถ้าเป็นเรื่องการแสดง เฉินซิงเยียนพันคนก็สู้ถังหนิงคนเดียวไม่ได้”
เฉินซิงเยียนคุ้นเคยกับการที่เรื่องต่างๆ ไม่เป็นไปดังหวัง แต่เธอไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดเท่านี้มาก่อน กระนั้นการเจ็บปวดในครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่า
เพราะเธอได้รู้สึกถึงความรู้สึกผิดจริงๆ เสียที
ใช้เวลาไม่นานเฉินซิงเยียนก็เดินทางกลับมาที่ห้องของเธออย่างหมดสภาพ แต่ในครั้งนี้ ผู้กำกับได้โทรหาอันจื่อเฮ่า
“ฉันไม่คิดว่าฉันจะถ่ายทำกับต้นอ่อนของนายต่อไปได้อีก ในเมื่อเรายังไม่ได้ถ่ายไปมากนัก ฉันอยากหาใครสักคนมาแทนที่เด็กคนนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะยุ่งยากเกินไป”
จากน้ำเสียงของผู้กำกับประกอบกับเวลาที่เขาโทรมา อันจื่อเฮ่าบอกได้ว่าผู้กำกับได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่เช่นนั้นทำไมอีกฝ่ายถึงต้องโทรหาเขากลางดึกเพื่อบ่นแบบนี้
อันจื่อเฮ่านิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนที่เขาจะตอบ “ถ้าอย่างนั้น ผู้กำกับ ผมมีแผน ถ้าเธอยังคงทำไม่ได้อีกหลังจากพยายามอีกครั้ง คุณเปลี่ยนตัวเธอออกได้เลย ถึงเวลานั้นผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะดื้อดึงอีก”
ผู้กำกับสูดหายใจลึก เขาดูสงบนิ่งลงกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด “ถ้างั้นก็ได้ บอกแผนนายมาสิ แต่นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเด็กนั่นนะ”
“ตกลงครับ” อันจื่อเฮ่าพยักหน้า
…
คืนนั้น เฉินซิงเยียนนอนหลับไม่สนิท ในหัวเธอยังคงคิดถึงคำพูดที่ผู้กำกับพูดกับเธออย่างต่อเนื่อง
อันจื่อเฮ่าทำอะไรให้เธอมากมายจริงหรือ
หลังจากการอดนอนทั้งคืน ขณะที่เธอลุกจากเตียงในวันรุ่งขึ้น เธอก็ได้รับการแจ้งข่าว “ผู้กำกับโทรหาผู้จัดการของคุณเมื่อคืน เขาตัดสินใจจะเปลี่ยนตัวคุณออก” ผู้ช่วยผู้กำกับกล่าวหลังเคาะประตูห้องของเธอตั้งแต่เช้าตรู่
“ผู้กำกับไม่อาจทำงานกับคนที่ไม่เข้าใจการทำงานเป็นทีมและไม่สำนึกบุญคุณได้ คุณควรกลับบ้านไปหาอันจื่อเฮ่าดีกว่านะ”
เฉินซิงเยียนหนังตาห้อยเนื่องจากการนอนไม่พอ เดิมทีสติของเธอยังไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้กำกับกำลังจะเปลี่ยนตัวเธอออก เธอก็นิ่งอึ้งไปราวกับถูกฟ้าผ่า
ผู้ช่วยผู้กำกับพูดจบ ก็เดินกลับไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เฉินซิงเยียนได้ปกป้องตัวเอง
แต่เธอจะถูกเปลี่ยนตัวออกทั้งๆ แบบนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
หลังยืนอึ้งอยู่สองสามนาที เฉินซิงเยียนก็นึกขึ้นได้ว่าเธอควรโทรหาอันจื่อเฮ่า “ฉันถูกเปลี่ยนตัวออก”
“ฉันรู้” อันจื่อเฮ่าตอบด้วยเสียงนิ่ง “ก็ดีสำหรับเธอแล้วนี่ ตอนนี้เธอจะได้กลับไปเป็นสตันต์ได้แล้ว”
“ฉัน…” คำพูดของอันจื่อเฮ่าทิ่มแทงเฉินซิงเยียนอย่างเจ็บปวด
“กลับบ้านเองก่อนแล้วกัน ฉันยังมีเรื่องต้องทำที่นี่”
ว่าแล้วอันจื่อเฮ่าก็กดวางสาย
เฉินซิงเยียนนั่งลงบนเตียงด้วยความไม่สบายใจขณะที่เธอเริ่มตื่นตระหนก
นี่เธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดแบบนี้อย่างนั้นหรือ เธอจะยังดึงคนอื่นมาติดร่างแหแล้วตกต่ำไปด้วยอย่างนั้นหรือ