ตอนที่ 468 สีหน้าของเธอหักหลังเธอแล้ว
“ยังจะบอกว่าไม่มีอีก เธอดูสิ สีหน้าเธอน่ะหักหลังเธอแล้ว พูดเถอะ เธอชอบใครเหรอ” ฉู่เจียเสวียนเอ่ย มองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
“อัยยา ฉันบอกว่าไม่มีจริงๆ อาจเป็นเพราะว่าฉันไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว คิดถึงพ่อกับแม่มั้ง” ถังถังเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ โบกไม้โบกมือ จากนั้นก็ดื่มชานมอีกคำ รู้สึกว่าขมคอมาก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ทำไมชานมนี้ถึงได้ขมแบบนี้
“ใช่เหรอ” เห็นถังถังยืนกราน ฉู่เจียเสวียนก็ได้แต่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในเมื่อเธอไม่ต้องการพูด งั้นเธอก็จะไม่ถามแล้ว ไว้เมื่อเธออยากบอก เธอไม่ถามเธอก็จะบอกเอง
ถอนหายใจเบาๆ จู่ๆ ในหัวก็นึกถึงคำที่เผยหนานเจวี๋ยพูดกับเธอ รู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อยอย่างแปลกประหลาด
ถังถังกับฉู่เจียเสวียนทั้งสองคนมีความสามัคคีกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ยกสองมือขึ้นมาเท้าคางพร้อมกัน จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ โดยไม่พูดจา ทั้งสองคนหันมองนอกหน้าต่าง
“เฮ้อ…”
“เฮ้อ…”
ถอนหายใจแผ่วเบา ทั้งสองคนละสายตา มองหน้ากัน
“เธอถอนหายใจอะไร”
“เธอถอนหายใจอะไร”
พูดเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง
“เธอพูดก่อน”
“เธอพูดก่อน”
“…”
เมื่อได้ยินทั้งสองคนพูดเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง ก็หัวเราะพร้อมกันแล้ว บางทีความรู้สึกแบบนี้มันดีจริงๆ
ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะ แค่เข้าใจเราก็พอ
อย่างน้อย ถังถังเป็นเพื่อนที่ฉู่เจียเสวียนต้องการจะถนอมและขอบคุณมากที่สุดในชีวิตนี้
“มีเรื่องนึงที่รบกวนใจฉันตลอดเวลา” ฉู่เจียเสวียนกล่าวทำลายความเงียบก่อน
“อะไรเหรอ”
“ก่อนหน้านี้เผยหนานเจวี๋ยสารภาพกับฉัน บอกว่าชอบฉัน”
“เมื่อไร”
“นานแล้ว”
ทั้งสองคน คนนึงถาม คนนึงตอบ ดูล้าสมัยมาก
เมื่อคิดว่าเผยหนานเจวี๋ยบอกว่าจะจีบเธอใหม่อีกครั้ง เธอก็รู้สึกปวดหัว
ช่วงนี้เผยหนานเจวี๋ยมอบดอกไม้ให้เธอทุกเช้า เธอได้โทรไปเตือนเผยหนานเจวี๋ยแล้วว่าอย่าส่งดอกไม้ให้เธอ แต่ว่าเผยหนานเจวี๋ยราวกับว่าไม่เข้าใจภาษาคน ยังคงส่งดอกไม้มาทุกวัน
“เขารู้ไหม” ถังถังกล่าวพร้อมมองฉู่เจียเสวียน หลายวันมานี้เธอทายออกแล้ว ทุกวันที่ฉู่เจียเสวียนมาถึงบริษัท คนที่มาดอกไม้จะปรากฏตัวตรงเวลาพอดี อีกทั้งยังส่งดอกไม้ถึงมือเธอด้วยความนอบน้อมมาก
แม้ว่าฉู่เจียเสวียนจะไม่อยากรับมากเพียงใดแต่กลับไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมของเผยหนานเจวี๋ยได้
‘เขา’ นั้นหมายถึงใคร ฉู่เจียเสวียนรู้อยู่แล้ว เธอส่ายหน้า จากนั้นก็ถอนหายใจ
“แล้วเธอคิดยังไง ตอนนี้เธอยังมีใจให้เขาหรือเปล่า” ถังถังเอ่ยถามอย่างจริงจังพร้อมมองเธอ
ในความเป็นจริงมันไม่สำคัญว่าเผยหนานเจวี๋ยจะทำมากอีกแค่ไหน ที่สำคัญคือหัวใจของฉู่เจียเสวียนจะหวั่นไหวหรือเปล่า เธอยังจะมีความรู้สึกต่อเขาอยู่แล้วจะกลับไปเริ่มต้นใหม่กับเขาหรือเปล่า
ฉู่เจียเสวียนส่ายหน้า “ไม่หรอก ตอนนี้ฉันแค่อยากจากเขาไปให้ไกล มีหลายเรื่องที่ฉันไม่อยากทำแล้ว” ยื่นมือเขย่าแก้วชานม เธอก้มต่ำ ซ่อนเร้นอารมณ์ในดวงตาเอาไว้
“เจียเสวียน เธอต้องไม่ทำให้จวิ้นฉือผิดหวัง เขารักเธอขนาดนั้น เผยหนานเจวี๋ยจะอยู่กับเธอไม่ได้ เธอเคยถูกเขาทำร้ายจนสาหัสขนาดนั้น ฉันไม่อยากให้เธอเป็นแบบนี้ต่อไปแล้ว” ถังถังกล่าว ยื่นมือกุมมือของฉู่เจียเสวียน สีหน้าที่จริงจังทำให้ฉู่เจียเสวียนอึ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้ม
“ฉันรู้” รสขมก่อตัวขึ้นภายในใจ ฉู่เจียเสวียนข่มความรู้สึกแปลกประหลาดในใจแล้วยิ้ม
ใช่แล้ว ตลอดเวลามานี้ กงจวิ้นฉืออยู่ข้างกายเธอมาโดยตลอด เธอไม่สามารถทำให้เขาเสียใจได้
ฉู่เจียเสวียนรู้ดีว่าถังถังเป็นห่วง เธอเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะพูด เธอก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเดินกลับไปทางเก่าอีกเช่นกัน
ตอนที่ 469 ทำไมไม่รีบบอกผม
เมื่อเห็นว่าสายมากแล้ว หลังจากที่ทั้งสองคุยกันอยู่พักหนึ่งพวกเขาก็ไม่ได้พูดกันลึกซึ้งอีก หลังจากคุยกันสองสามคำตามปกติแล้ว ก็ต่างแยกย้ายจากไป
ในออฟฟิศท่านประธาน กลุ่มบริษัทเผย
เผยหนานเจวี๋ยกำลังตรวจสอบเอกสารในมือของเขา
“ประธานเผย คุณดื่มกาแฟเถอะครับ” ผู้ช่วยเดินเข้าไปพร้อมด้วยกาแฟในมือ มองและกล่าวกับเผยหนานเจวี๋ยที่ยังคงตั้งใจอยู่กับกับเอกสาร
เผยหนานเจวี๋ยหยุดชะงัก วางปากกาในมือลง ยื่นมือรับกาแฟที่ผู้ช่วยส่งมา จิบเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้น เขาพิงอยู่ที่พนักเก้าอี้ นวดคลึงขมับเบาๆ หลับตาลง ผ่อนคลายสมองของตัวเอง
“โครงการสวนปินไห่ไปถึงไหนแล้ว” เผยหนานเจวี๋ยเอ่ยแผ่วเบา ยังคงหลับตาอยู่
“ท่านประธาน ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ว่าระหว่างนี้มีปัญหานิดหน่อย” ผู้ช่วยเหลือบมองเผยหนานเจวี๋ยเล็กน้อย เมื่อมั่นใจแล้วว่าสีหน้าของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“มีบางอย่างผิดพลาดตอนที่ผู้จัดการไปที่ไซต์ก่อสร้างช่วงบ่าย คานที่มีน้ำหนักเกินสามสิบกิโลกรัมไม่ได้ถูกวางให้ดี ระหว่างนั้นก็เลยเกิดอุบัติเหตุ ล้มทับผู้จัดการจนเขาบาดเจ็บ” ผู้ช่วยพูดพลางสำรวจสีหน้าของเผยหนานเจวี๋ย เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเผยหนานเจวี๋ย หัวใจของเขาก็สั่นไหวตามไปด้วย
“ทำไมไม่รีบบอกผมเรื่องนี้” เผยหนานเจวี๋ยลืมตาที่เยือกเย็น ดวงตาที่แหลมคมเหมือนนกอินทรีมองผู้ช่วยโดยตรง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีเหงื่อซึมออกมาบนหน้าผากของผู้ช่วย
“ประธานเผย ตอนนั้นผมกำลังยุ่งเรื่องส่งคนไปจัดการเรื่องที่เมืองนอก…”
เผยหนานเจวี๋ยมองค้อนผู้ช่วย พูดไม่ออกเล็กน้อย “ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้เขาฟื้นแล้วครับ” ผู้ช่วยกล่าว ยิ่งพูดถึงประโยคสุดท้ายก็พบว่าใบหน้าของเผยหนานเจวี๋ยยิ่งเยือกเย็นลง
หลังจากได้ยินว่าเขาฟื้นแล้ว เผยหนานเจวี๋ยก็รู้สึกโล่งใจ ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็คือพนักงานของบริษัทเผย ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรล่ะก็ มันไม่ดีต่อชื่อเสียงของบริษัทแน่
เมื่อกลับถึงบ้านเผยก็ดึกแล้ว หลังจากเผยหนานเจวี๋ยอาบน้ำเสร็จก็กลับไปนอนบนเตียง ช่วงนี้เขาต้องจัดการกับเรื่องของฉู่อีอี และยังต้องคิดถึงเรื่องของกงจวิ้นฉือ อีกทั้งยังต้องคิดว่าจะง้อฉู่เจียเสวียนอย่างไร เขายุ่งมากจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นที่บริษัทก็ยังมีเรื่องรอให้เขาไปจัดการ
เช้าตรู่ เผยหนานเจวี๋ยตื่นนอนตรงเวลา วันนี้เขาต้องมาถึงที่บริษัทเร็วขึ้น เพราะว่าเช้านี้มีประชุมคณะกรรมการตอนเก้าโมงครึ่ง
ระหว่างการประชุม เผยหนานเจวี๋ยฟังอยู่เงียบๆ เกือบตลอดเวลา การประชุมคณะกรรมการเดือนละครั้ง ทำให้เผยหนานเจวี๋ยได้ฟังความคิดเห็นของกรรมการที่แตกต่างกันในบริษัท
วันนี้ผู้อำนวยการหยางได้เสนอราคาการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ในเขตเมืองใหม่ต่อคณะกรรมการ ซึ่งดึงดูดความสนใจของเผยหนานเจวี๋ย
“แผนการเสนอราคาของผู้อำนวยการหยางนี่ไม่เลวเลย แต่การประมาณการกำไรสำหรับที่ตรงนั้นสูงเกินไป ลงทุนหกพันล้าน หากกำไรไม่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนแล้ว” เผยหนานเจวี๋ยกล่าวอออกความเห็นเรื่องการเสนอราคานั้น
“ประธานเผย ผมคิดว่าการประเมินกำไรของผมยังต่ำไปด้วยซ้ำ ไม่ทราบว่าที่ประธานบอกว่าสูงเกินไปนี่ดูจากตรงไหนเหรอครับ” เขาสำรวจที่ผืนนั้นนานแล้ว ทำวิจัยตลาดมากมาย เขาไม่มีทางประเมินผิดพลาดแน่ เขายังตั้งใจประเมินราคาแนวอนุรักษณ์นิยมในแผนอีกด้วย
“เรื่องนี้ค่อยคุยกันเถอะ” เผยหนานเจวี๋ยก็เคยสำรวจพื้นที่ผืนนั้น และเคยลงแรงไปมาก แต่ผลลัพธ์ของการสำรวจนั้นไม่น่าพอใจนัก นอกจากนี้ที่ดินนั้นยังมีโอกาสหนึ่งในสามของการขาดทุน
การประชุมคณะกรรมการสิ้นสุดลงท่ามกลางเสียงอภิปรายอย่างเข้มข้น แต่ไม่ได้รับข้อสรุปใดๆ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ความหวังกับที่ดืนผืนนั้นมากนัก