ตั้งแต่ซูหยางเข้ามาในห้อง ฟางเซี่ยวหรูก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองดูเขาราวกับว่าเธอถูกสะกดจิตโดยมนตร์เสน่ห์บางอย่าง
แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับหน้าตาของเขา เธอก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นคนที่หล่อเหลาถึงปานนี้
ตัวฟางเซี่ยวหรูเองนั้นเป็นคนประเภทที่ปกติแล้วมองคนอื่นต่ำกว่า และยากที่เธอจะยอมรับใครแม้กระทั่งคนที่มีอายุมากกว่าเธอก็ตาม อย่าว่าแต่คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ
อย่างไรก็ตามเพียงแค่เธอเหลือบมองไปยังราศีและกริยาท่าทางของซูหยางก็ทำให้เธอรู้ถึงความสามารถและคุณภาพของเขา
และในเวลายี่สิบปีของการอาศัยอยู่ในโลกนี้ เธอก็ไม่เคยเห็นคนใดเหมือนเขามาก่อน ทั้งที่เธอได้เคยพบกับอัจฉริยะมากมายจากตระกูลชั้นสูงหรือสำนักต่างๆในโลกนี้ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถเปรียบเทียบได้กับตัวตนที่เหนือล้ำของซูหยางได้
หากว่าเธอสามารถติดตามคนแบบเขาไปชั่วชีวิต เธอก็จะไม่พูดบ่นอะไรออกมาแม้สักคำไปชั่วชีวิตของเธอ
“ท่านแม่ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว” ฟางเซี่ยวหรูพลันกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าหลงไหล “ข้าต้องการที่จะเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“เจ้าอะไรนะ” ฟางเซียนเจว้ร้องลั่น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสับสนตื่นตระหนก
“ไม่มีทางเด็ดขาด เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ทำไมเจ้าต้องการอยู่ในที่เล็กๆเช่นนี้”
“ท่านย่อมจักมิเข้าใจแม้ว่าข้าได้อธิบายมันให้กับท่าน ท่านแม่” ฟางเซี่ยวหรูส่ายหน้า
“เจ้า…” ทั่วทั้งใบหน้าของฟางเซียนเจว้พลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธจนแดงฉาน
“ฟางเซี่ยวหรูต้องการที่จะเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ…” ฟางซีหลานมองดูอีกฝ่ายด้วยหน้าตาสับสน ราวกับว่าเธอไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
กระทั่งโหลวหลานจีเองก็อดที่จะยืนอยู่ด้วยสีหน้าสับสนไม่ได้ ฟางเซี่ยวหรูเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในทวีปโดยไม่ต้องสงสัย และถ้าเธอมาเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ชื่อเสียงของพวกเขาย่อมแน่นอนว่าต้องขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามทันใดนั้นเสียงของซุนโม่ก็ดังขึ้น “ข้าดีใจที่เจ้าสนใจในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่การทดสอบศิษย์นั้นได้จบสิ้นลงไปแล้ว ถ้าเจ้าต้องการที่จะเข้าร่วมกับพวกเราเจ้าต้องรอไปจนถึงกระทั่งปีหน้าและผ่านการทดสอบเสียก่อน”
“…”
ทุกคนในห้องหันไปมองเขาด้วยดวงตาและปากที่อ้ากว้าง ในขณะที่ฟางเซี่ยวหรูซึ่งต้องการที่จะเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็น่าตกใจพอแล้ว แต่การที่ซูหยางปฏิเสธคนที่มีพรสวรรค์เช่นนั้นเข้าสู่นิกายของตนเองนั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีก
“ท่านมิสามารถที่จะให้ข้าเป็นข้อยกเว้นได้รึ” ฟางเซี่ยวหรูอ้อนวอนเขาด้วยเสียงออดอ้อนในขณะที่ทำใบหน้าระทดท้อ
“มิว่าเจ้าจะอยู่ในฐานะใด กฏก็คือกฏ ถ้าข้ายอมให้ใครสักคนเข้าได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นเหล่าศิษย์ที่ได้เข้ารับการทดสอบก็จะรู้สึกว่ามิมีความยุติธรรม” ซูหยางส่ายหน้า ยังคงยืนยันการตัดสินใจของตนเอง
“เช่นนั้นจะเป็นไรหรือไม่ถ้าข้าก็ขอทดสอบเช่นกัน ข้ายังจักชดเชยให้ท่านสำหรับความยุ่งยากนี้” ฟางเซี่ยวหรูก็ยังคงยืนกรานในการขอเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
จากนั้นเธอก็พูดต่อว่า “ด้วยร่างกายข้าเป็นยังไง ข้าจักมอบร่างกายนี้ให้ท่านเป็นการตอบแทนสำหรับการยอมให้ข้าเข้ารับการทดสอบ ถ้าข้าพลาด ข้าก็ยังจักมอบร่างกายนี้ให้ท่าน และข้าก็จักยกเลิกความคิดในการเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ร่างกายของข้ายังคงบริสุทธิ์หากว่านั่นเป็นสิ่งที่ท่านคิดสงสัย”
“เซี่ยวหรู เจ้าบ้าไปแล้วรึ ถึงกับเสนอพรหมจรรย์เพื่อสิ่งที่โง่เง่าเช่นนี้ ยังมีสำนักอีกนับไม่ถ้วนข้างนอกนั่นที่จักอ้อนวอนขอให้เจ้าเข้าร่วมกับสำนักของพวกเขา และแม้กระทั่งสำนักระดับสูงก็ยังมิกล้าที่จะไล่เจ้าไป ทำไมเจ้าต้องลดตัวมาสู่เส้นทางนี้” ฟางเซียนเจว้ แม่ของเธอ รีบขัด
อย่างไรก็ตาม ฟางเซี่ยวหรูยังคงเงียบเฉย สายตาของเธอจับจ้องมองตรงเข้าไปยังดวงตาของซูหยาง
ซูหยางเผยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหลังจากนั้นชั่วขณะ และเขาก็พูดขึ้นว่า “ข้าต้องยอมรับว่าการตัดสินใจของเจ้านั้นช่างน่าประทับใจ เอาอย่างนี้เป็นอย่างไร ข้าจักให้เธอเป็นคนตัดสินใจ”
จากนั้นเขาก็พลันชี้ไปยังฟางซีหลาน ซึ่งถึงกับสะดุ้งโหยง
“อาา ท่านต้องการข้าให้…” เธอถามพร้อมกับชี้ไปยังตัวเอง
ซูหยางพยักหน้า “มิว่าอย่างไรก็ตาม มิเพียงแต่เจ้าเป็นผู้อาวุโสนิกาย แต่เธอเองก็ยังคงเป็นน้องสาวของเจ้า มีหลายครั้งที่ผู้นำนิกายเองก็ต้องอาศัยผู้อาวุโสนิกาย”
หลังจากที่ซูหยางยื่นสิทธิ์ในการตัดสินใจอนาคตของฟางเซี่ยวหรูไปยังฟางซีหลาน ทุกคนในห้องก็หันไปมองเธอ
“อย่าบอกนะว่าเจ้ากล้าที่จะยอมให้เธอเข้าสู่นิกาย ฟางซีหลาน” แม่ของเธอพลันตะโกนออกมาใส่เธอ “ข้าสาบานว่าข้าจักทำทุกสิ่งด้วยอำนาจของข้าในการย่ำยีที่แห่งนี้ถ้าเจ้ายอมให้เธอเข้าสู่นิกายและทำลายอนาคตของเธอ”
ในเวลานั้นฟางเซี่ยวหรูก็ตรงเข้าไปหาเธอและย่อกายของเธอลงจนกลายเป็นการคำนับฟางซีหลาน
“ได้โปรด พี่สาว ถ้าท่านยอมให้ข้าเข้าสู่นิกาย ข้าจักทำทุกสิ่งที่ท่านต้องการให้ข้าทำ” เธออ้อนวอนจนทำให้ฟางซีหลานตระหนก
ฟางซีหลานถอนหายใจลึกแล้วหลับตาลงครุ่นคิด
“ในขณะที่ทั้งตระกูลฟางได้เยาะเย้ยถากถางข้าที่ไร้ประโยชน์ เธอเป็นเพียงผู้เดียวที่มิได้รังแกข้า บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าข้านั้นไร้ความสำคัญโดยสิ้นเชิงในสายตาของเธอที่จะมายุ่งเกี่ยวด้วย แต่จริงแล้วข้าก็ต้องขอบคุณที่น้องสาวของข้ามิได้เยาะเย้ยข้า ซึ่งนั่นจะทำให้ชีวิตของข้าในตระกูลจักยิ่งยากลำบากไปกว่าเดิม”
“และในฐานะของพี่สาวคนโตของเธอ ถึงแม้ว่าข้าจักมิได้อยู่ในตระกูลอีกต่อไปแล้ว แต่อย่างน้อยข้าก็ควรจักฟังคำของเธอ และถ้าการเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักทำให้เธอพึงพอใจ ข้าก็มิควรจักแย่งชิงไปจากเธอ”
ฟางซีหลานลืมตาขึ้นจากนั้นก็มองไปยังมารดาของตนเอง ซึ่งโกรธเสียจนกระทั่งเธอสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง
“ในเมื่อเธอถึงกับสิ้นหวังและมิยินยอมที่จะยอมให้ฟางเซี่ยวหรูเข้าสู่นิกาย แน่นอนว่าเธอจักต้องโกรธเป็นอย่างมากถ้าข้ายอมให้ฟางเซี่ยวหรูได้รับโอกาสนี้ ทำให้ข้าได้รับการแก้แค้นสำหรับการถูกทำร้ายในอดีต แต่ถ้าเธอมีเจตนาที่จะทำร้ายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงๆหลังจากนั้น…”
ฟางสีหลานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกถึงที่สุด ด้านหนึ่งนั้นเธอต้องการที่จะเป็นพี่สาวใจดีสำหรับฟางเซี่ยวหรู ยอมให้เธอเข้าร่วมกับนิกายและแก้แค้นฟางเซียนเจว้ในเวลาเดียวกัน แต่อีกด้านหนึ่งนั้นเธอก็ไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากการถูกตระกูลฟางเพ่งเล็งนิกายจากการตัดสินใจของเธอ ในเมื่อเธอได้สร้างปัญหามากมายให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปแล้วครั้งหนึ่งจากเซี่ยวไป่ ซึ่งเกือบทำให้นิกายล่มสลาย