“คนผู้นี้คือ…” ไป่ลี่ฮัวก็จดจำชิวเยว่ได้ในทันทีเช่นกัน ในเมื่อตอนที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นที่การแข่งขันระดับภูมิภาคนั้นได้ทิ้งความประทับใจลึกล้ำให้กับเธอ
“หืออออ เธอมาทำอะไรที่นี่” ชิวเยว่ชี้ไปที่ซูหยินด้วยสายตาคมกริบ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการปรากฏตัวของอีกฝ่าย ในเมื่อเธอยังจำได้ถึงตอนที่ซูหยินได้ดูถูกเธอ เรียกเธอว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ล่อลวงซูหยาง
“ข-ข้าขอโทษ” ซูหยินพลันก้าวออกไปข้างหน้าและขอโทษชิวเยว่ด้วยการโค้งคำนับอย่างเต็มที่
“เนื่องเป็นเพราะความไม่พอใจของข้าในวันนั้น ข้าได้เข้าใจผิดท่านว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ขโมยและล่อลวงพี่ชายของข้า กระทั่งล่วงเกินอย่างมากถึงขั้นโจมตีท่าน ข้ามิกล่าวโทษท่านที่จะมิชอบใจข้า หรือคาดหวังที่จะให้ท่านยกโทษให้ แต่ข้าจักขอให้ท่านรู้ไว้ว่าข้าได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวข้า และก็ขออภัยท่านอย่างจริงใจ”
“ซูหยิน…” ไป่ลี่ฮัวมองดูภาพฉากนี้ด้วยดวงตาโต ในเมื่อที่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นซูหยินมีกระทำท่าทางแบบนั้น
“มิยกโทษให้เธอรึ” ซูหยางก็กล่าวขึ้นเช่นกันพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“…”
ชิวเยว่ยังคงนิ่งเงียบไปอีกหลายอึดใจหลังจากนั้น
แม้ว่าเธอจะดูเหมือนไม่ชอบซูหยิน กระทั่งดูเหมือนจะเกลียดอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ แต่ความจริงก็คือชิวเยว่นั้นชื่นชมกระทั่งยังอิจฉาซูหยินที่มีความกล้าที่จะแสดงออกถึงความรักของเธอที่มีต่อซูหยางอย่างเปิดเผยถึงแม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือด
เปรียบเทียบกับตัวเธอเอง ซึ่งไม่สามารถแม้กระทั่งจะแสดงออกถึงความรักของเธอต่อซูหยางโดยไม่อายกับการกระทำนั้น ซูหยินนั้นเหนือกว่ามาก
ที่ทำให้ชิวเยว่รู้สึกแย่กว่าเดิมก็คือความแตกต่างระหว่างวัยของพวกเขา ไม่ว่าใครต่างก็คาดหวังว่าคนที่มีอายุมานับพันปีอย่างน้อยย่อมต้องมีความกล้าที่จะโอบกอดคนที่พวกเธอรักโดยไม่รู้สึกอายมากนัก แต่เธอกลับไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้
และบางที ซูหยิน ซึ่งจะบรรลุนิติภาวะในวันพรุ่งนี้ก็จะสามารถทำสิ่งที่เธอไม่สามารถทำได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ยิ่งทำให้ใจของชิวเยว่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ทว่าความโกรธนั้นไม่ได้มุ่งตรงไปยังซูหยิน แต่ลงมายังตัวเธอเองที่มีจิตใจที่อ่อนแอ จุดอ่อนที่ไม่อาจแก้ไขได้ของผู้ฝึกยุทธ
เวลาหลังจากนั้น ชิวเยว่ก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “สบายใจได้ ข้ามิใช่คนที่ใจแคบที่มิสามารถอภัยให้กับคนรุ่นหลังกับการดูหมิ่นข้าเพราะความเข้าใจผิดได้ และอีกทั้งเจ้าเองก็ยังเป็นน้องสาวของซูหยางด้วยเช่นกัน ข้ามิสามารถที่จะโกรธเจ้าตลอดไปได้ถึงแม้ว่าข้าจะต้องการอย่างนั้น”
“ขอบคุณ พี่สาว” ซูหยินเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าสดใสหลังจากที่ได้ยินคำพูดของชิวเยว่
“ว่าแต่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ จึงมายืนอยู่ที่หน้าทางเข้าเหมือนกำลังรอใครสักคน” ซูหยางถามเธอ
“ฮึ่ม ท่านลืมไปแล้วรึ ซูหยาง ข้าได้ช่วยท่านกระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยม ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่ท่านจะต้องทำให้ข้อตกลงของเราเสร็จสิ้น” ชิวเยว่กล่าวกับเขา
“อะไรกัน นี่หมายความว่าพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลนั้นเป็นของเธอรึ” ไป่ลี่ฮัวร่ำร้องในใจ ในเมื่อสุดท้ายแล้วเธอก็มีเหตุผลมากพอที่จะทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แล้วเขาก็กล่าวว่า “มิจำเป็นต้องอดรนทนไม่ไหว ชิวเยว่ เจ้ากลัวอะไรอยู่รึ กลัวว่าข้าจักวิ่งหนีไปหลังจากที่เจ้ากระตุ้นค่ายกลงั้นรึ”
“น-นั่น…” ใบหน้าของชิวเยว่แดงก่ำด้วยเธอตระหนักว่าเธอได้แสดงท่าทางทนไม่ไหวมากเกินไปเพราะว่าความตื่นเต้นมาก ทำให้เธอเหมือนคนงี่เง่า
“แต่ในเมื่อเจ้าถึงกับออกมารอข้าถึงที่ประตู ข้าก็จักรีบใช้หนี้ให้” ซูหยางกล่าว ก่อนที่จะมองไปยังโหลวหลานจีและกล่าวกับเธอว่า “ข้าขอรบกวนเจ้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้องสาว ผู้อาวุโสไป่ โปรดตามข้ามา ข้าจักพาพวกท่านไปยังห้องของท่าน”
“ขอบคุณ” ซูหยางกล่าวกับเธอก่อนที่จะเข้าไปในศาลาหยินหยางพร้อมกับชิวเยว่
ครั้นเมื่อพวกเขาไปแล้ว ไป่ลี่ฮัวก็ถามโหลวหลานจีว่า “ผู้นำนิกายโหลว ผู้อาวุโสคนนั้นเป็นใครกัน ข้าคิดว่าเธอเป็นอาจารย์ของซูหยาง แต่หลังจากที่เห็นวิธีการพูดคุยระหว่างพวกเขา ข้ามิเห็นความสัมพันธ์เช่นนั้นจากพวกเขา”
จากนั้นโหลวหลานจีก็ตอบว่า “แม้ว่าพวกเราจะอาศัยอยู่ในอาคารหลังเดียวกัน แต่ข้าก็มิรู้เกี่ยวกับเธอหรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับซูหยางมากมายนัก แต่อย่างไรก็ตามท่านพูดถูกเมื่อท่านพูดว่าพวกเขามิได้มีความสัมพันธ์ฉันอาจารย์กับศิษย์”
“อย่าบอกข้าว่าเธอก็เป็น…ของซูหยาง ตัวจริง” ไป่ลี่ฮัวพลันกล่าวขึ้นพร้อมกับยกนิ้วก้อยชูขึ้น เพื่อแสดงว่าชิวเยว่เป็นคนรักหลักของเขา
“…”
ทั้งซูหยินและโหลวหลานจีมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ราวกับว่าความคิดเช่นนั้นเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่เมื่อพวกเธอนึกถึงตัวตนของซูหยางและความเจ้าชู้ตามธรรมชาติของเขา นั่นก็ดูเหมือนจะไม่เป็นข้อสงสัยอีกต่อไป
“ยังไงก็ตามให้ข้าพาพวกท่านไปที่ห้อง…” โหลวหลานจีพาพวกเธอสองคนเข้าไปในศาลาหยินหยางสองสามนาทีให้หลัง
เวลาหลังจากนั้น พวกเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าห้องซูหยาง
“นี่คือห้องของพี่ชายของเจ้า มีเตียงเพียงเตียงเดียว แต่ก็กว้างพอที่จะจุคนเข้าไปสี่คน อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าต้องการที่จะนอนเตียงอื่น ข้าก็จักเอามาให้อีกหนึ่งภายในห้องเป็นการชั่วคราว” โหลวหลานจีกล่าวกับซูหยิน ซึ่งรีบส่ายหน้า
“นี่สมบูรณ์แบบแล้ว ท่านผู้นำนิกายโหลว ข้ามิยอมที่จะนอนที่อื่นนอกจากข้างกายของพี่ชายข้าในขณะที่ข้าอยู่ที่นี่ กระทั่งเมื่อตอนที่เขาเคยพำนักอยู่ที่บ้านตระกูลซู พวกเราก็จะร่วมเตียงกันบ่อยๆ” ซูหยินพูดด้วยรอยยิ้มสดสวยบนใบหน้าขณะที่เธอนึกถึงอดีต
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จักมิรบกวนเข้าอีกต่อไป…”
ครั้นเมื่อซูหยินเข้าไปในห้องซูหยางแล้ว โหลวหลานจีก็กล่าวกับไป่ลี่ฮัวว่า “นอกจากห้องตรงกันข้ามและห้องด้านข้างห้องซูหยางแล้ว ที่เหลือล้วนใช้ได้ ดังนั้นท่านสามารถเลือกห้องไหนก็ได้ที่ท่านชอบ”
“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ ผู้นำนิกายโหลว” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับเธอ “ถ้าเจ้าได้ตัดสินใจไปเยี่ยมสำนักหงส์สวรรค์เมื่อไหร่ พวกเราจักพยายามอย่างดีที่สุดในการดูแลเจ้า”
“ขอบคุณเป็นการล่วงหน้า ข้าจักจดจำเอาไว้เมื่อข้าไปเยี่ยม” โหลวหลานจีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ในเวลานั้นภายในห้องของชิวเยว่ ที่อยู่ถัดออกไปจากบริเวณพวกเธอยืนอยู่กันนั้น ชิวเยว่ได้นอนคว่ำลงบนเตียงพร้อมกับร่างกายเปลือยเปล่า ในขณะที่ซูหยางนั่งอยู่ข้างเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง