“ท่านต้องการที่จะตามชิงเอ๋อร์ไปยังนิกายกุสุมาลย์รึ ท่านพ่อ” เจ้าซีมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อซีหวาง พ่อเขา ไม่เคยจากเมืองหิมะโปรยมาหลายสิบปีแล้ว
“เจ้ามีปัญหากับข้ารึ” ซีหวางมองดูเขาพร้อมกับหรี่ตา จนทำให้เขาร่างสั่นสะท้านด้วยความกลัว
แม้ว่าเขาจะมีหน้าตาเป็นชายชราใจดีในตอนนี้ ซีหวางเคยปกครองทวีปตะวันออกด้วยหมัดเหล็กในฐานะหนึ่งในวิชาที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกนี้วิชาหนึ่ง ทั้งยังมีการเลี้ยงดูที่เข้มงวด
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ซีซิงฟางเกิดขึ้นมา ซีหวางกลายเป็นชายชราใจดีและเลี้ยงดูเธอราวกับว่าเธอเป็นสมบัติสูงค่า เอาใจเธอไม่สิ้นสุด ซึ่งย่อมทำให้เจ้าซีอิจฉาอยู่บ่อยๆ
“ข้ามิกล้าที่จะคัดค้านท่าน ท่านพ่อ ถ้าท่านต้องการที่จะไปเป็นเพื่อนชิงเอ๋อร์ยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เช่นนั้นข้าก็จักมิมีเหตุผลที่จะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธออีกต่อไป” เจ้าซีกล่าวกับเขาพร้อมกับฝืนยิ้ม
“ดี เอาล่ะถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการจะไป ชิงเอ๋อร์” ซีหวางหันไปถามเธอ
“พวกเราสามารถไปในตอนนี้เลย” เธอรีบตอบฉับพลัน
“เมื่อไหร่ที่เจ้าวางแผนจะกลับมา” เจ้าซีถามเธอในเวลาถัดไป
“ข้ามิรู้เช่นกัน แต่ถ้าดาบเสี้ยวจันทร์เพิ่มความรุนแรงขึ้น เช่นนั้นบางทีข้าก็จักอยู่ที่นั่นจนกว่าทุกสิ่งจะสงบลง” เธอกล่าวหลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ
“…”
เจ้าซีพูดไม่ออก ในเมื่อเขาไม่อยากจะคิดเลยว่าซีซิงฟางจะพบว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีความปลอดภัยมากกว่าบ้านของเธอเอง สถานที่ปกป้องด้วยทหารทั้งกองทัพ
เวลาหลังจากนั้น ซีซิงฟาง และซีหวางก็ออกจากเมืองหิมะโปรยและเริ่มเดินทางไปสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ขอบคุณที่มากับข้า ท่านปู่” ซีซิงฟางกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มสดใสหลังจากนั้น “ถ้ามิใช่ท่าน ข้าคงต้องใช้ความพยายามมากกว่านั้นในการเปลี่ยนใจพ่อของข้า”
ซีหวางหัวเราะและกล่าวว่า “ฮ่าฮ่าฮ่าง.. มิต้องกล่าวถึงมันแล้ว ข้าจักต้องทำทุกอย่างเพื่อหลานสาวสุดที่รักของข้าอยู่แล้ว”
จากนั้นเขาก็พูดว่า “อย่างไรก็ตาม จริงแล้วข้าก็สนใจในชายหนุ่มซูหยางคนนี้เช่นเดียวกัน ข้าเคยพบเขาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็มักจะสร้างความประทับใจให้ข้าจากการที่เป็นคนที่มีประวัติความเป็นมาอันยิ่งใหญ่เหนือโลกนี้ไป ราวกับว่าเขามิได้เป็นตัวตนที่อยู่ในโลกนี้”
“บางทีท่านอาจจะพูดถูก ท่านปู่ พรสวรรค์ของซูหยางย่อมต้องเสียไปในโลกใบเล็กแห่งนี้ ถ้ามีโลกอื่นนอกจากนี้ โลกที่น่าหวาดหวั่นและลึกล้ำยิ่งกว่าโลกนี้ ใครจักรู้ว่าเขาจะเติบโตได้อีกสักเท่าไหร่” ซีซิงฟางกล่าวด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคิดเพ้อฝัน
“โลกอื่นงั้นเรอะ… นั่นทำให้ข้านึกถึงเซียนหานซิ่น ซึ่งกล่าวกันว่ามาจากโลกอื่น” ซีหวางพึมพัม
“นั่นเป็นจริงรึ ท่านปู่” ซีซิงฟางดวงตาเป็นประกายด้วยความสนใจ
“ใช่ นั่นเป็นคำร่ำลือที่มิได้อยู่นานนักเมื่อข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม ชิงเอ๋อร์ จักรวาลเรานี้กว้างใหญ่ลึกล้ำอาจจะมิมีจุดสิ้นสุด ในจักรวาลที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ข้าย่อมมิประหลาดใจเลยถ้ามีโลกอื่นที่เหนือกว่าสวรรค์ของเราอยู่ที่ไหนสักแห่งในท้องฟ้าที่เปี่ยมไปด้วยดวงดาวนี้”
“นับตั้งแต่ข้าเข้าถึงเขตราชันย์วิญญาณ ข้าก็อดใจมิได้ที่จะคิดสงสัยว่ามีอะไรที่เหนือสวรรค์ขึ้นไปหรือไม่ มีความคิดสะกิดในใจของข้าปรารถนาที่จะเดินทางท่องเที่ยวสู่แดนฟ้าดาราพราว แต่อนิจจาด้วยพลังของข้านี่ก็เป็นได้แค่เพียงความฝันของเด็กๆ” ซีหวางกล่าวด้วยเสียงจริงจัง ขณะที่เขาจ้องไปยังฟากฟ้า ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความเสียใจ
อย่างไรก็ตามที่เขาไม่รู้ก็คือ กระทั่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ที่ซึ่งผู้ฝึกวิชาอันทรงอำนาจในจักรวาลรวมตัวกันอยู่นั่น ก็ยังมีเพียงแค่จอมยุทธเพียงแค่หยิบมือที่มีความสามารถในการท่องเที่ยวไปมาระหว่างดวงดาวได้โดยปราศจากความช่วยเหลือของสมบัติวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ในเวลานั้น ย้อนกลับมาที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หลังจากที่อธิบายการทำงานของค่ายกลชั้นเยี่ยมให้กับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ซูหยางก็ปล่อยให้เหล่าศิษย์จากไป กลับคืนไปทำการฝึกฝนตนเอง
“พวกเจ้าสองคนกำลังจะทำอะไรต่อไปในตอนนี้” ซูหยางถามไป่ลี่ฮัวและซูหยินหลังจากนี้
“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะอยู่ในนิกายสักสองสามวัน ข้าก็จักจัดที่พักของเจ้าให้ในทันที”
“วันเกิดของซูหยินจักยังมาไม่ถึงจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ พวกเราคงจักต้องอยู่ที่นี่สักวันหรือสองวันเป็นอย่างน้อย หลังจากนั้นพวกเราก็จึงค่อยจักมาดูว่าพวกเราต้องการที่จะอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกหรือไม่” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับเขา
“พี่ชาย ข้าพอจะพักกับท่านได้หรือไม่ในระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ มันเป็นเวลานานแล้วนับตั้งแต่พวกเราได้นอนเคียงข้างในห้องเดียวกัน” ซูหยินพลันกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าอ้อนวอน
“ถึงแม้ว่าเจ้าเป็นน้องของข้า แต่ศาลาหยินหยางก็มิใช่สถานที่สำหรับแขก” เขาส่ายหน้า
“ได้โปรด…” ซูหยินมองดูเขาด้วยดวงตาที่ดูเหมือนจะมีน้ำตาคลอ
“ข้ามิเห็นว่านี่จะเป็นปัญหาอะไร ซูหยาง เพียงแค่ให้เธออยู่กับเจ้า” โหลวหลานจีพลันตัดบทพวกเขา
“เจ้ามั่นใจรึ” ซูหยางถามเธอ
โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวว่า “ศาลาหยินหยางเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเพียงแค่บ้านของผู้นำนิกายเท่านั้น แต่ประเพณีประเภทนั้นได้เป็นอดีตไปแล้ว มิว่าอย่างไรก็ตามมันก็ได้เป็นที่พักของแขกสองสามคนไปแล้วในตอนนี้”
ในตอนนี้หากไม่นับเซี่ยวหรง ซึ่งตัวตนของเธอยังไม่ถูกโหลวหลานจีค้นพบ ก็ยังมีคนอื่นอีกสองคนนอกจากผู้นำนิกายที่อาศัยอยู่ในศาลาหยินหยาง และพวกเธอก็คือ ชินเหลียงหยู และชิวเยว่
“เอาล่ะ เมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น” ซูหยาพยักหน้าจากนั้นก็พูดกับซูหยิน “ตกลง เจ้าสามารถอยู่กับข้าได้ในช่วงเวลานี้”
“ขอบคุณพี่ชาย ขอบคุณท่านผู้นำนิกายโหลว” ซูหยินคำนับเธอ
“แล้วท่านล่ะ ต้อการที่จะพักอยู่ในศาลาหยินหยางด้วยหรือไม่ ท่านผู้อาวุโสไป่” โหลวหลานจีถามไป่ลี่ฮัวซึ่งก็ได้พยักหน้าร้บ
“ถ้าเจ้ามิรังเกียจที่จะให้ข้าอยู่ด้วยเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ตัดสินใจตามนี้ มีห้องมากมายในสถานที่นั้น ดังนั้นท่านสามารถเลือกห้องใดๆที่ถูกใจท่านได้”
“ขอบคุณ ท่านผู้นำนิกายโหลว”
หลังจากนั้น ซูหยางก็พาแขกเข้าสู่ศาลาหยินหยาง
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาไปถึง พวกเขาก็ถูกขวางด้วยหญิงสาวที่สวยเกินกว่าใครซึ่งเธอได้มายืนอยู่ที่ประตู
เมื่อซูหยินและไป่ลี่ฮัวเห็นหญิงคนนี้ ดวงตาของพวกเธอก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ท-ท่านคือ” ซูหยินพลันจดจำชิวเยว่ได้ในทันที ในเมื่อเธอยังคงค้างคาคำขอโทษจากการดูถูกอีกฝ่ายในระหว่างที่อีกฝ่ายและซูหยางได้ไปเยี่ยมตระกูลซูมาเมื่อหลายเดือนก่อน
ผู้แปล : ช่วงต่อจากนี้ ผมอาจจะต้องงดลงในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน เพราะเริ่มรู้สึกว่าสุขภาพร่างกายเริ่มรับไม่ไหว ถ้ายังไงก็ต้องขออภัยมาในโอกาสนี้ด้วยนะครับ และก็ได้เปลี่ยนบทนี้เป็น ฟรี เป็นการขอโทษทุกท่าน