“ก่อนอื่นให้ข้าอธิบายพวกเจ้าทั้งหมดถึงความต้องการในการทดสอบครั้งนี้” ซูหยางพูดขณะที่กวดสายตาอันสงบไปทั่วหมู่ชนหลายพันเบื้องหน้าเขา
“หนึ่ง พวกเจ้ามิจำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกยุทธในการเข้าร่วมการทดสอบ สองพวกเจ้าต้องมิมีอายุเกิน 24 ปี และสุดท้าย มีการทดสอบแยกกันอยู่สี่ส่วนที่พวกเจ้าต้องผ่านก่อนที่จะได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
เมื่อซูหยางอธิบายกฏให้กับผู้คนฟัง ก็มีร่างคนบางร่างที่มีตัวตนอันยิ่งใหญ่ปรากฏตัวขึ้นทีละคนสองคน
เมื่อผู้คนที่นั่นรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร พวกเขาต่างพากันประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง
“นั่นคือหวังชูเหรินจากนิกายดอกบัวเพลิง ทำไมคนแบบเธอจึงมาทำอะไรในการคัดเลือกศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนี่”
“มองทางนั้นสิ เจ้าสำนักหงส์สวรรค์ ไป่ลี่ฮัวก็อยู่ที่นี่เช่นกัน”
“หือ กระทั่งเจ้าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏตัวด้วยรึ ทำไมเหล่าคนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเหล่านี้มาทำอะไรที่แค่งานทดสอบศิษย์ของสำนักอื่น”
อย่างไรก็ตามคนที่น่าประหลาดใจมากที่สุดที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นคนที่คลุมหน้าที่มีรูปร่างเป็นหญิงสวมเสื้อผ้าหรูหรา
“น-นั้นคงมิใช่…”
“เป็นไปมิได้ เธอมาทำอะไรถึงที่นี่”
แม้ว่าผู้คนอาจจะไม่สามารถจดจำตัวตนของเธอจากรูปร่างหน้าตาของเธอได้ แต่ทหารองครักษ์ที่ยืนรายล้อมเธอช่วยเปิดเผยตัวตนของเธอง่ายขึ้น ในเมื่อพวกเขาต่างสวมเกราะที่เป็นของตระกูลซี
“องค์หญิง”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันโค้งคำนับให้กับซีซิงฟางในทันที
“ได้โปรด อย่ากังวลในเรื่องข้า ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อชมการทดสอบ” ซีซิงฟางโบกมือ
ดังนั้น หวังชูเหริน ไป่ลี่ฮัว เจ้าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จง และซีซิงฟางก็เริ่มชมการทดสอบจากระยะไกล อย่างไรก็ตามตัวตนของพวกเขานั้นโดยปกติแล้วมีอำนาจมากจนเกินไป จนทำให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบยิ่งเป็นกังวล
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องกังวลเกี่ยวกับการผ่านการทดสอบแต่พวกเขาก็ยังต้องใส่ใจกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ที่มาดูพวกเขาอยู่ในตอนนี้
“ซูหยาง…” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยสายตาเป็นกังวล ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่าเหล่าบุคคลสำคัญเหล่านี้จะมาชมการคัดเลือกศิษย์ของพวกเขา
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่พูดด้วยรอยยิ้ม “มิต้องใส่ใจพวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการดู ก็ให้พวกเขาสนุกไปกับการแสดง”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้วเขาก็ทำการพูดกับผู้คนต่อไป “ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ได้ยินเรื่องนี้ก่อนที่จะมาที่นี่แล้ว แต่ข้ายังคงที่จะย้ำสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ในเรื่องความเปลี่ยนแปลงนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับผู้ที่ปรารถนาที่จะฝึกฝนอย่างปกติ และอีกส่วนหนึ่งสำหรับผู้ที่ปรารถนาที่จะฝึกฝนการฝึกวิชาคู่”
“ในแต่ละส่วนจะมีวิชา ผลประโยชน์ และพรสวรรค์แตกต่างกันไป แต่สุดท้ายพวกเจ้าก็ล้วนอยู่ในสำนักเดียวกัน และข้าต้องการให้พวกเจ้าจดจำไว้ในใจตราบเท่าที่พวกเจ้าได้เป็นศิษย์ของที่นี่”
“ตอนนี้สำหรับสิ่งสุดท้ายก่อนที่เราเริ่มการทดสอบ”
ซูหยางกวาดสายตาผ่านฝูงชน จนทำให้พวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แล้วเขาก็กล่าวต่อว่า “มีคนนับหมื่นคนที่นี่ในวันนี้และก็จะมีมากกว่านี้ตามมาทีหลัง แต่สำหรับตอนนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักรับศิษย์สูงสุดเพียงห้าร้อยคนสำหรับศิษย์ภาคปกติ และอีกห้าร้อยคนสำหรับศิษย์ภาคการฝึกวิชาคู่ ดังนั้นมีเพียงคนเพียงหนึ่งพันคนในหมู่พวกเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับเป็นศิษย์ แน่นอนว่ามาตรฐานของเราก็จะแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ดังนั้นอาจจะมีไม่ถึงหนึ่งพันคนที่จะได้กลายมาเป็นศิษย์”
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ผู้คนย่อมคาดหวังว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะรับศิษย์มากเท่าที่สุดที่จะเป็นไปได้ เพราะว่าในสถานการณ์ปัจจุบันของนิกาย ก็คือขาดศิษย์
แน่นอนว่าศิษย์หนึ่งพันคนไม่ใช่ศิษย์จำนวนน้อยที่จะรับในเวลาหนึ่งวันแต่สำหรับทั้งสำนักแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักที่ตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งแล้ว ศิษย์หนึ่งพันคนก็เหมือนกับไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย
ตัวอย่างเช่นสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะรับศิษย์น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนในทุกเดือน พวกเขาก็มีศิษย์มากกว่าห้าหมื่นคนที่ทำกิจกรรมอยู่ในสำนัก
กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงและสำนักหงส์สวรรค์ก็มีศิษย์มากกว่าสองหมื่นคน ดังนั้นสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่มีศิษย์เพียงแค่หนึ่งพันคน ก็ถือได้ว่าค่อนข้างต่ำ
สองสามอึดใจถัดไป ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “ตอนนี้เมื่อทุกได้ดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว พวกเราก็มาเริ่มการคัดเลือกศิษย์ประจำปีของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกัน ซึ่งจักใช้เวลานานทั้งหมดเจ็ดวัน”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังด้านหลังเขาแล้วกล่าวว่า “ด้านหลังข้าเป็นพื้นที่ทดสอบ”
ผู้คนต่างพากันมองไปที่ด้านหลังของเขา ซึ่งมีลานประลองขนาดใหญ่อยู่สี่แห่ง เวทีแรกเป็นเทวรูปอายุกระดูก และเทวรูปวิญญาณจัดตั้งอยู่ เวทีที่สองมีขาตั้งอยู่ตรงกลางโดยมีเม็ดยาสีแดงเม็ดหนึ่งวางอยู่บนขาตั้งนั้น เวทีที่สามมีอ่างบรรจุน้ำขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง แต่เวทีที่สี่นั้นกลับว่างเปล่า
“อย่างที่เห็น การทดสอบแรกจักเป็นการทดสอบอายุและพลังการฝึกปรือ การทดสอบที่สองจักทดสอบวิถีจิตของเจ้า สำหรับการทดสอบที่สามนั้นเราจักทดสอบพรสวรรค์ของเจ้าผ่านเลือดของพวกเจ้า และส่วนสำหรับการทดสอบสุดท้ายนั้น เจ้าจักต้องประลองกับศิษย์ของเราหนึ่งคน แต่นอนว่าพวกเรามิได้คาดหวังว่าพวกเจ้าคนใดจักเอาชนะศิษย์เราได้ ดังนั้นการพ่ายแพ้มิได้หมายความว่าเจ้าล้มเหลวโดยอัตโนมัติ”
เมื่อผู้คนได้ยินการทดสอบที่พวกเขาจะต้องทำ พวกเขาก็ค่อนข้างงงงันอยู่บ้าง ในเมื่อมันง่ายดายเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้
ปกติแล้วสำหนักจะทำการให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบได้รับการทดสอบที่รุนแรงเพื่อหาขีดจำกัดของพวกเขาซึ่งบางครั้งต้องการให้พวกเขาต่อสู้กับสัตว์ร้ายในภูเขาเป็นเวลาสองสามวัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการทดสอบเหล่านี้ การทดสอบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั้นเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังง่ายดายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาจะรับศิษย์อย่างมากที่สุดเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น การทดสอบเหล่านี้อาจจะดูเหมือนง่ายเพื่อล่อหลอกให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันประมาทก็เป็นได้
“ตอนนี้เมื่อข้าได้อธิบายทุกสิ่งให้แก่พวกเจ้าแล้ว สุดท้ายพวกเราก็มาเริ่มการทดสอบนี้กันเถอะ”
จากนั้นซูหยางก็หันไปมองดูซุนจิงจิง ฟางซีหลาน และหลานลี่ชิง
เมื่อพวกเธอเห็นเขามองไปยังพวกเธอ พวกเธอก็พยักหน้าและเริ่มเดินไปบนเวที
ครั้นเมื่อพวกเธอแต่ละคนขึ้นไปยืนบนเวทีเรียบร้อยแล้ว การทดสอบก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ