ตอนที่ 181 วิธีพิสูจน์ใจตัวเอง
อวี๋กานกานรู้สึกเอือมระอาเป็นอย่างยิ่ง มันมีอะไรน่าขำ ซ่งฉาไป๋ถึงได้หัวเราะร่าแบบนี้ เจ้าตัวก็ไม่กลัวขำจนลำไส้พันกันบ้างหรือไง ซ่งฉาไป๋สัมผัสได้ว่าอวี๋กานกานเริ่มเคืองแล้ว เธอรีบกลั้นขำ พูดอย่างจริงจัง “โอเคๆ เธออย่าโกรธไปเลย ความจริงฉันพูดอะไรไปเธอก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว เอาแบบนี้แล้วกัน…ฉันมีวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยเธอพิสูจน์ได้ว่าตกลงเธอชอบฟังจือหันจริงหรือเปล่า”
“วิธีอะไร”
“ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ในตอนที่ความสัมพันธ์คลุมเครือ ไม่มั่นใจในความรู้สึกของตนเอง วิธีที่จะยืนยันได้ดีที่สุดก็คือใช้ใจสัมผัสเสื้อผ้าที่แนบติดกับร่างกายของอีกฝ่าย ให้เนื้อหนังมังสาแนบชิดกัน หากในใจรู้สึกอ่อนยวบยาบ นั้นหมายถึงชอบ กลับกันหากไม่รู้สึกอะไร นั้นย่อมหมายถึงไม่ได้ชอบ”
อวี๋กานกานนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “เธอจะบ้าเหรอ ให้ฉันใช้ใจไปสัมผัสกางเกงชั้นในของฟังจือหัน? ให้เนื้อแนบเนื้ออะไรนั้นอีก!”
ซ่งฉาไป๋ขำดังพรืด “ใครใช้ให้เธอสัมผัสกางเกงชั้นในกันเล่า ฉันให้เธอใช้เสื้อเชิ้ตของเขาต่างหาก” ซ่งฉาไป๋หัวเราะจนหอบหายใจไม่ทันแทบจะนอนลงไปกองอยู่บนพื้น
อวี๋กานกานรู้สึกราวกับว่าใบหน้าของตนเองกำลังถูกไฟแผดเผา “เลิกคบ!” พูดทิ้งท้ายสองพยางค์ด้วยความโกรธและเขินอาย จากนั้นก็วางสายทันที ยัยเพื่อนคนนี้เห็นได้ชัดว่าจงใจพูดให้เธอเข้าใจผิด ตอนท้ายยังหัวเราะเยาะเธออีก เกินไปแล้ว!
ภายในห้องตกเข้าสู่ความเงียบงันอย่างฉับพลัน อวี๋กานกานชำเลืองตาไปทางห้องนอนของฟังจือหันแวบหนึ่ง ฟังจือหันออกไปด้านนอกแล้ว นี่เป็นเวลาดีที่จะทำการพิสูจน์ และแน่นอนว่าเธออยากพิสูจน์อยู่แล้ว เธออยากจะบอกกับซ่งฉาไป๋ว่าตนเองไม่ได้หวั่นไหว ทั้งหมดเป็นซ่งฉาไป๋ที่คิดเลอะเทอะไปเอง
อวี๋กานกานเดินเข้าไปในห้องนอนของฟังจือหัน เปิดตู้เสื้อผ้า ต้องการจะหยิบเสื้อเชิ้ตออกมาตัวหนึ่ง ภายในตู้มีเสื้อเชิ้ตแขวนอยู่หลายตัว ทุกตัวล้วนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย อวี๋กานกานหยิบสุ่มออกมาตัวหนึ่ง ในตอนที่เสื้อเชิ้ตอยู่ในมือของเธอ จู่ๆ เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา อวี๋กานกานหลุบตาลงต่ำสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นรูปถ่ายที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นรูปถ่ายของเธอ เพราะเป็นรูปถ่ายของตนเอง อวี๋กานกานจึงเอื้อมมือไปหยิบตามสันชาตญาณ บังเกิดความสงสัย ทำไมเธอถึงยังมีรูปถ่ายเหลือไว้ในตู้เสื้อผ้าอยู่อีก
ในตอนที่เธอหยิบรูปถ่ายขึ้นมา เธอสังเกตเห็นใต้รูปถ่ายยังมีเอกสารหนึ่งฉบับวางอยู่ อวี๋กานกานขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัดสินใจหยิบทั้งรูปถ่ายและเอกสารขึ้นมาดู เป็นรูปถ่ายของเธอและอาจารย์ เป็นเอกสารสืบประวัติของเธอกับอาจารย์ เอกสารพวกนี้ไม่ใช่ของที่เธอลืมไว้ในตู้เสื้อผ้า แต่เป็นของฟังจือหัน มีแม้แต่ข้อมูลก่อนที่อาจารย์จะหายตัวไป เพราะฉะนั้นฟังจือหันกำลังสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์? เริ่มสืบตั้งแต่ตอนที่อาจารย์ของเธอยังไม่หายสาบสูญ?
ทันใดนั้นอวี๋กานกานรู้สึกว่าร่างกายของเธอรู้สึกเย็นวูบวาบอย่างแปลกประหลาด ราวกับออกมาจากห้องซาวน่าแล้วจู่ๆ ก็ถูกผลักลงทะเลลึกที่เป็นน้ำแข็ง จากร้อนสุดขีดแปรผันเป็นหนาวสุดขั้วอย่างกะทันหัน ประหนึ่งว่าเลือดในร่างกายแข็งตัว
สภาพอากาศเลวร้าย ท้องฟ้าคำราม ฝนตกห่าใหญ่ ราวกับว่ามันกำลังสะท้อนบ่งบอกถึงความรู้สึกของเธอที่เลวร้ายไม่ต่างกับสภาพอากาศ
อวี๋กานกานรู้มาโดยตลอดว่าการที่ฟังจือหันปรากฏตัวมาอยู่ข้างเธอ เขาต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่นอน แต่เธอสัมผัสได้ว่าฟังจือหันจะไม่ทำร้ายเธอ แต่ต่อให้เธอเชื่อเขา เธอก็ไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่ถามถึงได้อีกต่อไป
เธออยากรู้ว่าทำไมฟังจือหันต้องสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์ และอยากรู้ว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับการที่อาจารย์หายสาบสูญไปหรือเปล่า
ตอนที่ 182 อวี๋เอ๋อร์[1] อบอุ่นอ่อนโยน
ตกเย็นเมื่อฟังจือหันกลับมา เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสีหน้าของอวี๋กานกานไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก หน้านิ้วคิ้วขมวด ท่าทางกลัดกลุ้มใจ เขาเดินไปข้างๆ เธอ ยื่นมือออกไปแตะหน้าผาก “คุณป่วยเหรอ”
อวี๋กานกานส่ายหน้า “เปล่า…”
หลังจากที่เห็นเอกสารประวัติของเธอและอาจารย์ อวี๋กานกานไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้หรือจะถามออกไปตรงๆ ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย
เธอไม่ชอบอ้อมค้อม เรื่องบางเรื่องควรรับมือด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ “นายบอกฉันได้หรือเปล่าว่านี่คืออะไร” อวี๋กานกานหยิบรูปถ่ายและเอกสารวางไว้บนโต๊ะน้ำชา
ฟังจือหันไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย ร่างสูงใหญ่กำยำยืนอยู่ใต้แสงไฟ ปกคลุมไว้ด้วยแสงสีขาวเรืองรองหนึ่งชั้น ดูลึกลับยากที่จะคาดเดา
ฟังจือหันนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ อวี๋กานกานจึงเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง “นายไม่มีอะไรจะพูดกับฉันหน่อยเหรอ” เช่นทำไมถึงต้องสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์ เธอขอให้เขาช่วยตามหาเบาะแสของอาจารย์ แต่ทำไมแม้แต่ประวัติของเธอถึงถูกสืบร่วมด้วย อีกทั้งจากช่วงเวลาที่เริ่มสืบเป็นช่วงก่อนที่อาจารย์เธอจะหายสาบสูญไปเสียด้วยซ้ำ
ฟังจือหันย่างเท้าหย่อนกายลงนั่งข้างๆ อวี๋กานกาน “ผมไม่ทำร้ายคุณกับอาจารย์ของคุณ” น้ำเสียงเย็นยะเยือก หนักแน่นและจริงจัง
อวี๋กานกานกะพริบตา เธอมั่นใจว่าฟังจือหันจะไม่ทำร้ายเธอ เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขาดีกับเธอมาก ดีจนบางครั้งมีความรู้สึกว่าพวกเขามีสายสัมพันธ์ของความเป็นสามีภรรยา อีกทั้งยังเป็นสายสัมพันธ์แบบคู่สามีภรรยาที่รักกันเหนี่ยวแน่นมานาน แต่ว่า…
อวี๋กานกานเม้มปาก เธอถามข้อสงสัยที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจออกมา “การหายตัวไปของอาจารย์ฉันเกี่ยวข้องกับนายหรือเปล่า”
ฟังจือหันตอบ “ไม่เกี่ยว ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาจารย์ของคุณหายไปไหน ผมเองก็อยากตามหาอาจารย์ของคุณให้พบ”
อวี๋กานกานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เป็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างฝืน “เข้าใจแล้ว นี่ก็ดึกมาแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”
มีบางอย่างที่ฟังจือหันไม่ต้องการจะบอกเธอ ต่อให้เธอถามไปก็ไร้ประโยชน์
ในตอนที่อวี๋กานกานกำลังเดินผ่านฟังจือหันไป มือของฟังจือหันขยับเล็กน้อย ราวกับว่ามันไม่ฟังสมอง ปรารถนาที่จะคว้าแขนของอวี๋กานกานไว้ ทว่าอวี๋กานกานเดินเร็วเกินไป เขาสัมผัสได้เพียงชายแขนเสื้อเท่านั้น ชายเสื้อเนื้อผ้าบางเบารูดผ่านนิ้วมือเรียวยาวของเขา หลงเหลือไว้เพียงแต่รอยสัมผัสที่ราวกับว่ามีแต่ก็เหมือนไม่มี
ฟังจือหันยกมือขึ้น สติหลุดลอย ก่อนจะเอื้อมมือมาเตะที่ริมฝีปากของตนเองแล้วประทับจูบอย่างซื่อสัตย์จริงใจ “อวี๋เอ๋อร์…”
คำสองพยางค์ที่ถูกเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นอ่อนโยน ทว่ากลับแผ่วเบาจนแทบจะจางหายไป
…
อวี๋กานกานนอนอยู่บนเตียง จ้องเพดานห้องอย่างเหม่อลอย ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้กลับไปเริ่มต้นยังจุดเดิม ทว่าระหว่างทางกลับเหมือนได้ดื่มเหล้าแรงไปหนึ่งแก้ว สั่นคลอนหัวใจ แผดเผาลำคอ
ทุกคนล้วนมีเป็นความลับของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟังจือหันไม่ได้แน่นแฟ้น ฟังจือหันเคยยืนยันกับเธอแล้วว่าการหายตัวไปของอาจารย์ไม่เกี่ยวข้องกับเขา และเขาจะไม่ทำร้ายเธอและอาจารย์ ถ้างั้นเรื่องที่ว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ได้หรือเปล่า
คำถามนี่เหมือนกับไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ไม่มีคำตอบที่แน่นอน
อีกสองวันอวี๋กานกานก็ต้องเดินทางไปเมืองจิงแล้ว วันหยุดพักผ่อนซ่งฉาไป๋จึงมาหาเธอ ทั้งยังตุ๋นซุปกระดูกหมูมาให้ด้วย “เมื่อคืนเธอแนบเนื้อกับเสื้อเชิ้ตของฟังจือหันแล้วได้ผลเป็นยังไงบ้าง”
ซ่งฉาไป๋กระแทกแขนใส่อวี๋กานกาน สีหน้ากรุ้มกริ่ม อวี๋กานกานที่กำลังรับประทานซุปอยู่เกือบจะสำลัก เมื่อคืนหลังจากที่เธอเห็นเอกสารฉบับนั้นแล้ว เธอก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิท
ซ่งฉาไป๋นึกว่าอวี๋กานกานมั่นใจในความรู้สึกของตนเองแล้ว พูดแซว “ไม่ต้องอายไปหรอก พวกเราเป็นเด็กสาววัยรุ่น การมีความรักเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องบังคับความรู้สึกของตนเอง ก่อนไปเมืองจิง ฉันสนับสนุนให้เธอรวบหัวรวบหางเขาก่อน”
—–
[1] การเพิ่มเอ๋อร์ (儿) หลังชื่อ เป็นการแสดงถึงความน่าเอ็นดู ความน่ารัก ระดับความสนิทสนม มักใช้เรียกกันในหมู่ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท