“อืมมม…”
“อาาา…”
หลานลี่ชิงครวญครางเบาๆขณะที่ซูหยางขยับสะโพกของเขาอย่างช้าๆ
แม้ว่าจะผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มร่วมฝึกวิชาคู่ หลานลี่ชิงก็ยังดูไม่มีทีท่าว่าใกล้จะหมดแรง ราวกับว่าซูหยางไม่ได้สร้างความลำบากให้กับเธอ
“เจ้าอ่อนโยนเป็นอย่างมากในวันนี้ซูหยาง” หลานลี่ชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แม้ว่าจะมิใช่ว่าข้าไม่สนุกไปด้วย เพียงแต่ว่ามันรู้สึกเหมือนแตกต่างไปจากปกติอย่างมาก”
ซูหยางก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกันและกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะว่า ข้าต้องการให้สองเรามีความสุขไปด้วยกันให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ไม่มีอะไรเป็นพิเศษกับกิจกรรมการร่วมฝึกคู่ในตอนนี้ ในเมื่อซูหยางไม่ได้ใช้กลเม็ดใดๆและเพียงแต่ร่วมรักแบบธรรมดาสบายๆกับหลานลี่ชิง
จุดประสงค์ของกิจกรรมนี้ไม่ใช่เพื่อที่เขาจะได้เพิ่มพูนพลังการฝึกปรือหรือเพียงแค่สร้างความพึงพอใจให้กับหญิงสาวในอ้อมแขนแต่เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างพวกเขา
สำหรับหลานลี่ชิงแล้วก็เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นเพียงคู่รักธรรมดาสองคนซึ่งเพิ่งแต่งงานและได้ประสานสัมพันธ์ร่างกายเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรกในคืนแรกที่ได้อยู่ร่วมกัน และมันก็มีเสน่ห์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ในตัวเอง
การดำเนินไปไม่ได้ช้าหรือเร็วแต่ความพึงพอใจที่เธอได้รับนั้นเกินกว่าทุกสิ่งที่เธอรู้สึกมาก่อนหน้านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าจะรู้สึกถูกเร่งเร้าขึ้นมากกว่าเดิมแต่เธอก็สามารถที่จะควบคุมเสียงครางและการหายใจได้อย่างง่ายดาย
“ข้ารู้สึกเป็นสุขที่ได้พบกับเจ้า ซูหยาง กระทั่งตัวข้าเองยังเริ่มคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นพรที่แฝงมาในความโชคร้าย ในเมื่อมันชักนำพาให้ข้าได้พบกับเจ้า”
“ข้าเองก็ดีใจเช่นกันที่เจ้ายอมรับคำขอร้องที่ไร้เหตุผลของข้าก่อนที่ข้าจะกลืนกินดอกหยางพิสุทธิ์”
ทั้งสองคนทำการร่วมฝึกคู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง ร่างกายของพวกเขาขยับเขยื้อนไม่หยุดยั้งราวกับว่าถูกสะกดเอาไว้
และยิ่งนานเท่าไหร่ที่พวกเขาร่วมฝึกฝน ผนึกตระกูลของซูหยางก็เริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นบนร่างของหลานลี่ชิงมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อจบสิ้นกิจกรรมการร่วมฝึกของพวกเขาแล้ว ผนึกตระกูลบนท้องน้อยของเธอก็สมจริงจนกระทั่งเหมือนกับว่ามันจะมีชีวิตขึ้นมา
“นี่เป็นผนึกตระกูลรึ” เธอถามเขาขณะที่เธอใช้นิ้วลูบไล้มันไปเบาๆ
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตระกูล”
“นี่คงทำให้ข้าตอนนี้กลายเป็นซูลี่ชิงไปแล้วใช่ไหม” เธอพูดเล่นพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะใช้ชื่อสกุลของข้า เจ้ามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น”
เมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิดของเขา หลานลี่ชิงก็จ้องมองเขาด้วยใบหน้าตะลึงงัน
“เช่นนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้ามีชื่อว่าซูลี่ชิง”
ซูหยางมองดูเธอด้วยสายตาเบิกกว้าง ในเมื่อเขาไม่คาดคิดว่าเธอจะใช้ชื่อสกุลของเขาไปใช้อย่างจริงจัง แม้กระทั่งในตระกูลเอง ก็มีน้อยคนที่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชื่อของตนเอง
“ชื่อสกุลเดิมของข้าได้รับมาจากพ่อแม่ที่ทอดทิ้งข้าไป อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้นำนิกายคนก่อนได้บอกข้าตอนที่พวกเขาได้พบข้า และข้าก็รังเกียจมันมาโดยตลอด”
“ว่าแต่เจ้าคงไม่ถือถ้าข้าจะถามว่าคนที่คล้ายกับข้านั้นเป็นใครกัน”
“เธอเป็น… ภรรยาข้า ภรรยาคนแรกของข้า” เขาตอบหลังจากที่หยุดไปเล็กน้อย
“หือ” ซูลี่ชิงมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เจ้ามีภรรยาแล้วอย่างนั้นรึ” เสียงของเธอฟังดูประหลาดใจมากกว่าไม่พึงพอใจ
“ข้ามีภรรยาหนึ่งคน แต่ว่าเธอตายไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว”
“หลายพัน… ปี…งันรึ” ซูลี่ชิงเปลี่ยนไปเป็นสับสนกว่าเดิม
“ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้าแล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องบอกเจ้าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของข้า ซูหยางตัวจริง”
จากนั้นซูหยางก็โยนเม็ดยาแปลงโฉมเข้าไปในปากของตนเองและเปลี่ยนหน้าตาที่ยังไม่โตเต็มวัยไปเป็นตัวตนที่เป็นผู้ใหญ่ สร้างความตกใจให้กับซูลี่ชิง
“นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของข้า… ซูหยางที่แท้จริง อย่างน้อยก็ก่อนที่ข้าจะกลับชาติมาเกิดใหม่”
จากนั้นเขาก็ดำเนินการอธิบายให้เธอฟังถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ข้าเกิดในสถานที่ที่เรียกว่าสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ที่ซึ่งข้าได้อาศัยอยู่นั้นห่างไกลจากที่นี่มาก และมันก็เป็นสถานที่ที่พวกเราจะไปในสองปีนี้เช่นกัน”
“เนื่องจากสถานการณ์บางอย่างทำให้ข้าได้ตายจากชีวิตนั้น แต่ทว่าจากนั้นข้าก็ได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้เป็นคนเดิม และหากมิใช่จนกระทั่งข้าได้เข้าสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าจึงได้ฟื้นความทรงจำในอดีตของตัวข้า”
ซูลี่ชิงจ้องมองไปยังชายรูปงามมากเกินใครต่อหน้าเธอด้วยหน้าตาตะลึงงัน ดูเหมือนจะยังไม่อยากเชื่อ
แม้ว่าเธอจะพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าซูหยางได้มีชีวิตก่อนและกลับมาเกิดใหม่ แต่นั่นก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาจึงมีความรู้มากมายและพรสวรรค์ที่เหนือโลก
เธอมักจะคิดเสมอว่าซูหยางมีพฤติกรรมที่เป็นผู้ใหญ่เกินไปกว่าอายุที่แท้จริงของเขา แต่เมื่อมาคิดว่าข้อสงสัยของเธอนั้นเป็นจริงมาโดยตลอดตามปกติแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างแท้จริง
“มีอะไรอยู่ในใจรึ” ซูหยางถามเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อือ…” หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเอียงอายว่า “เจ้ายิ่งดูหล่อเหลากว่าเดิม…”
“อย่างงั้นรึ” ซูหยางหัวเราะหึๆ
“เช่นนั้นเจ้ามิถือในประวัติของข้ารึ”
ซูลี่ชิงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “มิใช่เป็นเพราะประวัติที่ทำให้ข้าตกหลุมรัก ดังนั้นจึงมิมีผลว่าเจ้าจะมาจากไหนหรือเจ้าจะกลายเป็นอย่างไร เพียงแต่สัญญากับข้าว่าเจ้าจักยังคงเป็นคนเดิมที่ข้ารู้จัก”
ซูหยางพยักหน้า “ข้าสัญญา” เขากระซิบด้วยเสียงนุ่มนวล
หลังจากที่ใช้เวลาไปอีกสองสามนาที ซูลี่ชิงก็กล่าวว่า “อีกสักรอบกันดีไหม ข้ารู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิมด้วยเหตุผลบางอย่าง”
ซูหยางยิ้ม และทั้งสองก็กลับไปร่วมฝึกวิชาคู่กันอีกหลายชั่วโมง
–
–
–
หลังจากนั้นซูหยางก็ออกจากตำหนักโอสถ ปล่อยให้ซูลี่ชิงอยู่ภายในห้องพักผ่อน
ครั้นเมื่อเธอผลอยหลับลงไปแล้ว ผนึกตระกูลบนร่างของซูลี่ชิงก็เริ่มเปล่งแสงเรืองลึกลับทำให้เธอเกิดความฝันที่สมจริง
ภายในความฝัน เธอนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงเหมือนกับสถานการณ์ที่เธอเป็นอยู่ในขณะนี้ และเธอก็รู้สึกถึงคนอีกคนบนเตียงข้างๆเธอ
“สุดท้ายเจ้าก็ตื่นขึ้นมาแล้วสินะ เม่ยชี” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างกายเธอ ทำให้เธอหันหน้าไป
“ซูหยาง..” ซูลี่ชิงพึมพัมหลังจากที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาหลับอยู่ข้างๆเธอ ถึงแม้ว่าคนผู้นี้ดูเหมือนกับซูหยางปัจจุบันนี้มาก เขาก็ยังทำให้รู้สึกแตกต่างและไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก
“ข้าขอโทษถ้าเมื่อคืนนี้แย่ไปหน่อย มันเป็นครั้งแรกของข้า” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มอาย
“ข้าก็มิรู้ในเมื่อนั่นก็เป็นครั้งแรกของข้าเช่นกัน” เธอตอบเขากลับไปตามสัญชาตญาณพร้อมรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้เคยกล่าวคำพูดเช่นนี้มาก่อน