ผมเป็นสามีของคุณจริงๆ
ใบหน้าจิ้มลิ้มของอวี๋กานกานแฝงความบึ้งตึง น้ำเสียงหนักแน่น กล่าวอย่างไม่พอใจ “นายอย่าเอาคำพูดพวกนี้มาล้อฉันเล่นอีก” แต่ภายในใจกลับเกิดความลังเลสายหนึ่ง เป็นเพราะฟังจือหันมั่นใจเกินไป มั่นใจจนทำให้เธอลังเลในข้อวินิจฉัยของตนเอง
“คุณขอบคุณผมเพราะคุณรู้ว่างานเลี้ยงในวันนี้ที่มันยอดเยี่ยมได้แบบนี้นั้นเป็นเพราะผม ผมไม่กลัวว่าคุณจะรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่กลัวว่าคุณจะรู้ว่าเรื่องความจำเสื่อมเป็นเรื่องโกหก เรื่องคู่หมั้นเป็นเรื่องหลอกลวง แล้วมีเหรอที่ผมจะคิดไม่ถึงว่าคุณจะคิดเชื่อมโยงไปว่าสามีเองก็เป็นเรื่องหลอกลวงเช่นกัน แต่ผมก็ยังคงทำแบบนั้น เพราะอะไร เพราะผมเป็นสามีของคุณจริงๆ”
ฟังจือหันพูดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ราวกับเสียงลำธารเล็กๆ ที่กำลังไหลริน แต่คำพูดนี้กลับเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง ปานประหนึ่งกำลังควบม้าพันธุ์ดีพลางตะโกนอย่างบ้าคลั่งบนทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขต
อวี๋กานกานจับต้นชนปลายไม่ถูก ฟังจือหันสามารถเรียกเถียนรุ่ยซานและหยางเทียนโย่วให้มางานเลี้ยงได้อย่างพร้อมเพรียงกัน เขาต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ของทั้งสามคนนั้นจนชัดเจนมาก่อนแล้วอย่างแน่นอน ในเมื่อเขาสามารถสืบหาประวัติของสามคนนั้นได้ ฉะนั้นเธอเองย่อมต้องถูกเขาสืบประวัติทุกซอกทุกมุมไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
หากเป็นอย่างที่ฟังจือหันพูดจริง เพียงเพราะเขาเป็นสามีของเธอ? พูดตามตรงเธอเชื่อไม่ลง ต่อให้ใครพูดเธอก็เชื่อไม่ลง
ฟังจือหันเป็นพวกเจ้าแผนการ แผนสูงสุดๆ โหดเ**้ยมอำมหิต ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ยังโชคดีที่เขาไม่ได้ใช้มันกับเธอ แต่ก็ไม่แน่ ตอนนี้เขาคือตำแหน่งคิงในกระดานหมาก ต่อให้ใช้แผนการไปแล้วจริงๆ ก็ยังแนบเนียนไร้ร่องรอยอยู่ดี
อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเรียบ “แต่วันนี้นายก็ได้ยินแล้ว คลินิกจะถูกยึดไปอีกครั้งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าฉันจดทะเบียนสมรสแล้วหรือยัง ดังนั้นนายบอกกับฉันตอนนี้ได้เลยว่าจริงหรือเปล่าที่ฉันจดทะเบียนสมรสแล้ว”
ฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าหลงใหล ตอบอย่างเนิบนาบ “ผมเป็นสามีของคุณ มีผมอยู่ หากคุณไม่ยอมคลินิกไม่มีทางตกไปเป็นของคนอื่นอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของเขายืดยาวเนิบนาบ แต่กลับเต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม
คำตอบกำกวมสองแง่สองง่ามนี้ อวี๋กานกานคาดเดาความหมายไม่ออก ต้องการหลบเลี่ยงคำถามของเธอหรือต้องการจะบอกเธอว่า ต่อให้เธอจดทะเบียนสมรสแล้วคลินิกก็ยังคงเป็นของเธออยู่วันยังค่ำ
เมื่อครู่เธอไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องคลินิกก่อน แต่ควรถามเขาไปตรงๆ ว่าตกลงพวกเขาทั้งสองคนได้แต่งงานกันจริงและได้จดทะเบียนสมรสกันจริงหรือเปล่า หรือเธอควรจะพาเขาไปสำนักงานทะเบียนด้วยกันสักครั้ง
หากเธอไม่ได้ความจำเสื่อม ถ้างั้นระหว่างพวกเขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้า เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้กระจ่างอีกที
รถจอดอยู่บริเวณสวนหย่อม อวี๋กานกานเพิ่งจะเปิดประตูรถก็ต้องปิดกลับเป็นดังเดิม ด้านนอกฝนยังตกหนัก บริเวณที่รถจอดอยู่มีระยะห่างจากคอนโดประมาณหนึ่ง
อวี๋กานกานยกกระเป๋าขึ้นบังศีรษะของตัวเอง เตรียมตัวจะพุ่งออกไปโต้งๆ ทันใดนั้นก็เห็นฟังจือหันกางร่ม ลงจากรถยนต์ ผู้ชายที่หน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์มาโดยตลอดยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน หรี่ตาอย่างไม่สบอารมณ์ “จะรีบขนาดนั้นทำไม ไม่เห็นว่าฝนตกหรือไง”
เขาออกแรงเปิดประตูรถ ก้าวเท้ามาตรงด้านข้างเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นดึงเธอให้มาอยู่ใต้ร่มของตัวเอง
“นายพกร่มมาด้วยเหรอ” ทั้งสองแนบชิดติดกัน อวี๋กานกานอยากจะก้าวถอยหลังสักสองก้าว แต่เมื่อก้าวถอยหลังก็จะถูกน้ำฝน
“ยืนดีๆ” ฟังจือหันดันดึงเธอกลับมาอีกครั้ง มือหนึ่งจับร่ม อีกมือหนึ่งโอบไหล่ของเธอ ปกป้องเธอไว้ในอ้อมกอดของตัวเองไม่ให้โดนฝน
ร่างกายของอวี๋กานกานค่อนข้างเกร็ง หลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองฟังจือหัน ชายหนุ่มโอบกอดเธอไว้อย่างแน่นหนา ร่างกายร้อนผ่าวจนน่าตกใจ
เธอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วอีกแล้ว ทั้งสับสนและสะเปะสะปะ ตื่นเต้นและกระวนกระวาย การเต้นและจังหวะแบบนี้ ในชีวิตของเธอเหมือนกับว่าจะเป็นแค่เพียงตอนที่อยู่กับฟังจือหันเท่านั้น
ตอนอื่นๆ ไม่ว่าจะตอนไหนต่อให้เธอประหม่าหรือกระวนกระวายมากกว่านี้ ล้วนไม่มีความรู้สึกเหมือนอย่างในตอนนี้