การแข่งขันระหว่างนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ดำเนินต่อไปและหลังจากทุกการแข่งขันศิษย์คนถัดไปของฝั่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่สามารถใช้สำนึกกระบี่ก็จะปรากฏตัวขึ้นสร้างความตระหนกให้กับผู้ชมยิ่งกว่าที่เป็นอยู่แล้ว
“พระเจ้าช่วย หรือว่าศิษย์ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นจอมกระบี่”
“พวกเขาฝึกอสูรแบบนั้นกันได้อย่างไร”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพียงลำพังก็ทำให้จำนวนจอมกระบี่ในโลกนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“ทำไมพวกเขายังไม่หยุดการต่อสู้นี้เสียที ชัดแจ้งยิ่งกว่ากลางวันสำหรับทุกคนแล้วว่าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จักต้องพ่ายแพ้ครั้งนี้ นอกจากว่านักสู้คนสุดท้ายของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับหงอวี้เอ๋อร์ มิเช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะฟื้นตัวได้”
“นี่มิใช่ผลลัพธ์แต่เป็นจิตวิญญาณ อย่างน้อยสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็มิได้ยอมแพ้ในทันใด”
“เย่ไฉอื้อเจ้าเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่” ผู้อาวุโสจงมองดูสาวสวยร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
เย่ไฉอื้อเป็นหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดจากทั้งสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ เข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณระดับที่สามเมื่ออายุเพียงแค่ยี่สิบห้าปี เธอยังคงเป็นที่รู้จักกันในนามของ ดรุณีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งจากคนทั่วไปและผู้ฝึกยุทธ
“แม้ว่าข้ามิอาจจะเอาชนะการแข่งขันให้กับพวกเราได้ แน่นอนว่าข้าจักมิปล่อยให้การแข่งขันนี้จบลงโดยมิได้รับชัยชนะแม้สักครั้ง” เย่ไฉอื้อกล่าวกับเพื่อนศิษย์ด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านก่อนจะตรงไปยังเวที
ครั้นเมื่อเธอขึ้นไปบนเวทีแล้ว เย่ไฉอื้อก็ตะโกนดังลั่นว่า “ออกมา ฟางซีหลาน ข้าท้าทายเจ้าให้ออกมาต่อสู้”
“เจ้าได้ยินไหม ดรุณีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เย่ถึงกลับต้องเรียกใครสักคนออกมา เธอต้องหงุดหงิดมากแน่ในตอนนี้เพราะสถานการณ์ของพวกเขาที่เป็นแบบนี้”
ผู้ชมต่างพากันรอคอยฟางซีหลานให้ขึ้นไปบนเวทีอย่างกระวนกระวาย
“ข้าจักขึ้นไปในตอนนี้” ฟางซีหลานกล่าวกับพวกเขา
แต่ทว่าก่อนที่เธอจะเริ่มเดิน บางคนก็พลันจับไหล่หยุดเธอเธอไว้
“ซูหยาง” ฟางซีหลานดูเขาด้วยหน้าตาสงสัย ทำไมเขาจึงหยุดเธอไว้
“ข้าจักรับมือเอง” เขากล่าวพรัอมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“เอ๋ เจ้าต้องการสู้กับเธอรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“ตาเฒ่านั่นต้องบ่นข้าทีหลังแน่ถ้าข้ามิขึ้นไปบนเวทีด้วยตนเองหลังจากทุกสิ่งที่ข้าได้พูดกับเขาไว้ แค่นั้นแหละ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรงไปยังเวทีอย่างช้าๆ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาเป็นคนที่ขึ้นไปบนเวที” ผู้ชมต่างพากันงงงันกับการปรากฏตัวของซูหยาง ในเมื่อพวกเขาล้วนคาดหวังว่าจะเป็นฟางซีหลาน
“เจ้ามาที่นี่ทำบ้าอะไร ข้าเรียกฟางซีหลานมิใช่เจ้า แม้ว่าเจ้าเอาชนะคนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณได้ แต่เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ข้า ไสหัวไปให้พ้นจากสายตาข้าและนำฟางซีหลานมาหาข้า” เย่ไฉอื้อกล่าวกับเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว
ซูหยางยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “ถ้าเจ้ามิสามารถเอาชนะข้าได้ เช่นนั้นอะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าจักเอาชนะฟางซีหลานได้”
“ฮึ่ม เจ้าพยายามที่จะทำให้ข้าเปลืองแรงก่อนที่จะสู้กับเธอรึ ถ้าเจ้าคิดว่ากลเม็ดเช่นนั้นจักได้ผล เช่นนั้นเจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
“พวกเจ้าทั้งสองพร้อมต่อสู้หรือยัง” ซื่อตงพลันถามพวกเขา
จากนั้นเขาก็หันไปดูเย่ไฉอื้อและพูดต่อว่า “เจ้ามิสามารถเลือกคู่ต่อสู้ของเจ้าได้ ถ้าเจ้าต้องการที่จะสู้กับฟางซีหลาน เช่นนั้นเจ้าต้องจัดการกับเขาก่อนเป็นอันดับแรก”
“ข้าเข้าใจแล้ว… ข้าจักจัดการกับเขาอย่างรวดเร็ว”
ในเวลานั้น ผู้อาวุโสจงก็ส่ายหน้า
“ข้าเพียงได้แต่หวังว่าเธอจักฟันฝ่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้” ผู้อาวุโสจงคิดในใจขณะที่เขาจ้องมองเย่ไฉอื้อกับซูหยาง
“เริ่มการต่อสู้” ซื่อตงตะโกนในเวลาถัดไป
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่มีใครที่เคลื่อนที่และเพียงแต่จ้องมองแต่ละฝ่ายอย่างเงียบงัน
“เจ้ารออะไรอยู่รึ เข้ามาจัดการข้าโดยไว” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจักถามเจ้าด้วยคำถามเดียวกัน เจ้ามิทำให้ข้าเปลืองแรงแน่ถ้าเจ้ายังคงยืนอยู่ตรงนั้น” เธอตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“รีบมาแสดงสำนึกกระบี่ของเจ้า เจ้าควรจะสามารถที่จะปลดปล่อยมันออกมาได้ใช่ไหม” เธอพลันกล่าวกับเขา
“ข้ามิจำเป็นต้องใช้สำนึกกระบี่ในการเอาชนะคนในระดับเจ้า”
“ช่างโอหัง” เย่ไฉอื้อแค่นเสียงเย็นชาและดึงกระบี่ออกมาในทันใด
วินาทีถัดไปรังสีที่แหลมคมอย่างที่สุดพลันรายล้อมเย่ไฉอื้อ ราวกับว่าเธอเปลี่ยนไปเป็นกระบี่
“อืมม… สมกับเป็นคนที่ผู้คนเรียกว่าเป็นดรุณีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะยังมิเป็นสำนึกกระบี่ที่แท้จริง แต่ก็ใกล้เคียงมากแล้ว เจ้าควรจะเข้าใจสำนึกกระบี่หลังจากนี้อีกสิบปีในการฝึกฝนตามแบบของเจ้า” ซูหยางกล่าว
“ข้ามิต้องการให้เจ้ามาสอนข้า รับมือ” เย่ไฉอื้อตวัดกระบี่ในมือจนทำให้เกิดแสงเป็นเส้นโค้งจากการสร้างด้วยรังสีกระบี่พุ่งไปยังซูหยางราวกับนกที่ดุร้าย
“…”
เมื่อเห็นแสงกระบี่พุ่งเข้าหาเขา ซูหยางเพียงแค่ยกมือขึ้นและฟันลงไปเหมือนกับว่าเขาตัดอากาศ
วินาทีที่แขนของเขาสัมผัสกับส่วนโค้งของแสง มือของเขาก็ตัดมันขาดครึ่งราวกับว่ากระบี่ตัดกิ่งไม้ขาดครึ่ง
“อ-อะไรกัน” เย่ไฉอื้อดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกหลังจากที่เห็นซูหยางจัดการกับการโจมตีของเธออย่างไม่ใส่ใจไร้ความพยายามใดๆ
“การโจมตีนั่นมิเลว ค่อนข้างจะดีกว่าเด็กสาวของข้าเล็กน้อย” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาปัดฝุ่นในมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ง-เงียบ” เย่ไฉอื้อพลันพุ่งเข้าไปหาเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เจ้ากระวนกระวายง่ายดายเกินไป นั่นจะส่งผลต่ออนาคตการฝึกปรือของเจ้า” ซูหยางขยับร่างเล็กน้อยหลบการโจมตีทั้งหมดของเธอ
หลังจากที่หลบการโจมตีของเธอแล้ว ซูหยางก็จับปลายกระบี่ในมือเธอด้วยมือเปล่าสร้างความตระหนกให้กับผู้คนที่กำลังดู
“เขาจับคมกระบี่ด้วยมือเปล่า เขาบ้าหรือเปล่านั่น” ผู้ชมพากันอุทาน
ผู้คนคาดหวังว่าเย่ไฉอื้อจะตัดนิ้วของเขาออกสองสามนิ้ว แต่จริงแล้วซูหยางกลับปลดกระบี่ขโมยมันไปจากเธอ
“เจ้าจะทำอะไรหากปราศจากกระบี่ในตอนนี้” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จ-เจ้าเลวนี่… เขากำลังหยอกข้า เขาหยอกข้าเย่ไฉอื้อมาโดยตลอด เขาเป็นใครกัน” เธอร่ำร้องในใจ