“ช่างเป็นวิธีการทดสอบที่…” ซุนจิงจิงถอนหายใจหลังจากที่สุดท้ายพวกเขาดำเนินการกลับไปถึงโรงเตี้ยมได้ “ข้ามิต้องการมีประสบการณ์อะไรแบบนั้นอีกแล้ว”
“ศิษย์พี่หญิงซุนมิต้องการเป็นที่นิยมรึ” ศิษย์รุ่นเยาว์ถามเธอ
ซุนจิงจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตราบเท่าที่คนที่ข้ารักมองดูข้า ข้ามิสนใจอะไรอีกแม้ว่าโลกจะเมินข้า…”
“ว๊าว… ช่างโรแมนติก…” ศิษย์รุ่นเยาว์มองดูเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย โดยเฉพาะบรรดาเด็กสาว
“นี่หมายความว่าศิษย์พี่หญิงซุนต้องปิ๊งใครอยู่ คนนั้นใครรึ” หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ถาม
“นั่นนับเป็นคำถามได้ด้วยรึ แน่นอนนั่นย่อมต้องเป็นศิษย์พี่ชายซู” ศิษย์รุ่นเยาว์อีกคนกล่าว
“เจ้าพวกนี้ เงียบเสียงลงหน่อย” ซุนจิงจิงหน้าแดงจากการฟังคำพูดของพวกนั้น
อย่างไรก็ตามเธอก็ได้แอบมองไปที่หน้าตาหล่อเหลาของซูหยางหลังจากนั้นชั่วขณะและก็ยิ่งหน้าแดงกว่าเดิม
“ดูสิ ศิษย์พี่ชายซูเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในนิกายที่สามารถร่วมฝึกกับศิษย์หญิง ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเป็นเขา”
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกระซิบกระซาบกัน
หลังจากนั้นชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ทำการเรียกประชุมเหล่าศิษย์และกล่าวว่า “พวกเราตอนนี้ลดลงเหลือเพียงสิบสองสำนักในการแข่งขัน คู่แข่งทุกคนที่พวกเราต่อสู้นับต่อนี้ไปล้วนเป็นสำนักระดับสูงภายในหมู่สำนักระดับสูง แม้ว่าพวกเราได้ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยม พวกเราก็มิสามารถที่จะประมาทพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักเมฆม่วง”
“อย่ากังวลเรื่องสำนักเมฆม่วงและจงต่อสู้อย่างสมใจ ปราศจากหงอวี้เอ๋อร์พวกนั้นก็มิดีไปกว่าสำนักเหล่านั้นที่พวกเราได้เอาชนะมาแล้ว” ซูหยางพลันพูดด้วยรอยยิ้ม
โหลวหลานจีหันไปมองดูเขาด้วสีหน้างงงัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเขา
หลังจากที่พูดกับเหล่าศิษย์อีกสองสามนาที โหลวหลานจีก็ปล่อยให้พวกเธอกลับไปยังห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนในวันนั้น
“น้องหญิงซุน” ฟางซีหลานพลันเรียกเธอ
“มีอะไรผิดไปรึ พี่หญิงฟาง” ซุนจิงจิงสังเกตเห็นแววความลังเลในดวงตาของฟางซีหลาน
“ใช่แล้ว… ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า..”
“ความช่วยเหลือจากข้ารึ นี่แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา” ซุนจิงจิงคิดในใจ เธอไม่เคยเห็นฟางซีหลานทำตัวไม่มั่นใจมาก่อน
“ถ้านั่นอยู่ภายใต้ขีดความสามารถของข้า ข้าย่อมมิปฏิเสธ” ซุนจิงจิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้น…ข้าจักขอให้เจ้านอนกับศิษย์คนอื่นเพียงเฉพาะคืนนี้ มีบางอย่างที่ข้าต้องปรึกษากับซูหยางตามลำพัง”
ซุนจิงจิงดูสับสนเล็กน้อยชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “เป็นอย่างนั้นรึ ข้ากังวลไปหน่อยเมื่อท่านดูลังเล นี่แค่หนึ่งคืน ข้ามิถือหรอก”
“ขอบคุณ” ฟางซีหลานเผยให้เห็นรอยยิ้ม
เวลาผ่านไปเมื่อยามกลางคืนมาถึง ฟางซีหลานก็เข้าไปในห้องของเธอ
แน่นอนว่าซูหยางก็อยู่ในห้อง ในเมื่อเขาได้ฝึกฝนด้วยตนเองอยู่เงียบๆมาทั้งวัน
“ซูหยาง…” ฟางซีหลานพลันเรียกเขา
หลังจากนั้นชั่วขณะ ซูหยางก็ลืมตาซึ่งเปล่งประกายแสงลึกล้ำเพียงชั่ววินาที
เขาหันไปดูฟางซีหลานซึ่งดูเหมือนจะแตกต่างไปบ้างเล็กน้อยในวันนี้
“มีอะไรรึ” เขาถามเธอ
“เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้…”
“เธอกล่าวอะไรกับข้าก่อนหน้านี้รึ” ซูหยางครุ่นคิดแต่ไม่สามารถที่จะนึกเหตุการณ์แบบนั้นที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้
“ข้าได้พูดว่าข้ามิเข้าร่วมกับตระกูลใด… และข้าก็หมายความเช่นนั้นจริงๆ” ฟางซีหลานพูดต่อ
“กระทั่งก่อนหน้าที่ข้าอายุมากพอที่จะเข้าใจว่าการฝึกวิชาคู่คืออะไร ข้าก็ได้ล้มเลิกความคิดที่จะมีครอบครัวแล้วในเมื่อข้าชอบที่จะอยู่ด้วยตัวของข้าเองโดยไม่มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนใด”
“ปณิธานของข้ายังคงเหมือนเดิมแม้ว่าหลังจากที่ข้าได้เข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้ามิได้สนใจอะไรมากในเรื่องพรหมจรรย์หรือร่างกายของข้า และข้าก็ได้ฝึกฝนอย่างสมใจโดยมิได้ซุกงำอารมณ์ใดไว้ในใจแม้ว่าหลังจากได้พบกับคนนับไม่ถ้วน”
“อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ข้าได้พบกับท่าน…”
ฟางซีหลานพลันเริ่มปล่อยเสื้อคลุมเลื่อนไถลเผยให้เห็นผิวราบเรียบร่างแบบบาง
“แม้ว่าร่างของข้านี้จักมิได้บริสุทธ์อีกแล้ว แม้ว่าข้าได้สัญญากับตัวเองว่าข้าจักมิขึ้นอยู่กับใคร ต่อให้ท่านมิได้ต้องการ ข้าก็เพียงขอให้ท่านได้ทราบว่าร่างกายที่แปดเปื้อนของข้านั้นเป็นของท่านแล้วในตอนนี้และเพียงท่านเท่านั้นนับแต่นี้ชั่วนิรันดร์ และท่านสามารถทำทุกสิ่งกับมันได้โดยที่ข้าจักมิพูดอะไรเลยแม้แต่เพียงคำเดียว”
“…”
ซูหยางไร้คำพูดไปแสนนานก่อนที่จะพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “นี่เป็นวิธีของเจ้าในการตอบแทนข้าสำหรับวิชาระดับเซียนรึ หากเป็นเช่นนั้น—”
“ไม่ใช่” ฟางซีหลานพลันตัดบท
“นี่มิมีอะไรเกี่ยวข้องกับวิชาระดับเซียน ต่อให้ข้าให้ท่านทุกสิ่งที่ข้ามีรวมไปถึงร่างกายและจิตใจ นั่นก็ยังมิมีค่าพอครึ่งหนึ่งของวิชาระดับเซียน”
“ข้าได้ยอมทิ้งตัวตนความเป็นหญิงไปแล้วเมื่อข้าได้เข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าคิดว่าข้ามิต้องการครอบครัว แต่ทว่าท่านได้เปลี่ยนใจของข้า หลังจากที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของท่านนับร้อยครั้ง ข้าก็อดมิได้ที่จะต้องการอยู่ในอ้อมกอดของท่านไปจวบชั่วนิรันดร์ แต่ข้ารู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝันที่มิอาจเป็นจริง เราอาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ท่านและข้า เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้ามิคู่ควร”
“ข้ามิคู่ควร” เป็นประโยคที่ซูหยางได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนในชีวิตจากคู่ของเขา
“มิว่าเธอจะเป็นลูกสาวของจักรพรรดิ์สวรรค์หรือว่าจะเป็นศิษย์ที่ไร้ความสำคัญของสำนักเล็กๆ มีเพียงข้าเท่านั้นที่ตัดสินว่าเธอคู่ควรหรือไม่ ดังนั้นอย่าลดค่าของตัวเจ้าเช่นนี้ สำหรับร่างที่ “แปดเปื้อน” ของเจ้านั้น ข้ามิได้เห็นมีอะไรที่สกปรก” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาดึงตัวฟางซีหลานเข้ามาหาตัวเองและให้เธอนั่งลงบนตักเหมือนกับเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ถูกตามใจ
“แต่ข้า—”
ซูหยางแตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากของเธออย่างเบามือ ปิดความสามารถในการพูดของเธอในชั่วเวลานั้นไว้
“ในเมื่อเจ้าคิดว่ามีร่างกายที่แปดเปื้อนแต่ข้ากลับคิดต่างออกไป ดังนั้นขอให้ข้าได้ตรวจสอบทุกส่วนสัดของเจ้าเพื่อให้มั่นใจ…”
ซูหยางเลื่อนไล้นิ้วของเขาอย่างแผ่วเบาไปทั่วร่างกายของเธอ จากคอถึงขาจนทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้าน
“เมื่อมิมีสิ่งสกปรกบนผิวของข้า ดังนั้นต้องเป็นอย่างอื่นหรือไม่”
ซูหยางอ้าปากและจูบลงบนคอของเธออย่างนุ่มนวลก่อนที่จะเคลื่อนลงไปยังอกของเธอ
“อาาา…” ฟางซีหลานครวญครางเบาๆเมื่อซาลาเปาของเธอถูกหยอกล้อ
“มิมีอะไรผิดปกติกับส่วนบน ดังนั้นต้องเป็นส่วนล่าง ใช่ไหม”
ซูหยางวางร่างของเธอลงบนเตียงก่อนที่จะแยกขาของเธอออกและจูบไปบนน้องสาวของเธออย่างอ่อนโยน
“โอออ…”
รู้สึกถึงลิ้นอันอบอุ่นของซูหยางแหวกกลีบดอกไม้ของเธอ น้องสาวของฟางซีหลานเสียวซ่านไปด้วยความสุขสม
หลังจากที่หยอกล้อดอกไม้ที่ชุ่มฉ่ำของฟางซีหลานไปหลายนาที ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ามิสามารถที่จะลิ้มรสอะไรที่สกปรกได้เลย เช่นนั้นเจ้าก็ควรจักแนะนำว่าข้าควรจะทำอะไรเป็นอันดับต่อไป”
ฟางซีหลานตอบด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอ “ข้ารู้แล้ว… ข้าผิดไปแล้ว… ข้ามิได้แปดเปื้อน… ท่าน… สามารถทำอะไรก็ได้ที่ท่านต้องการ… ร่างกายนี้เป็นของท่านอยู่แล้ว…”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าข้าเป็นไปตามหลักเหตุผลของเจ้า ข้าย่อมเป็นคนที่สกปรกที่สุดในจักรวาลนี้…”
“สำหรับร่างของเจ้าจักเป็นของข้าในระหว่างที่เราร่วมฝึกวิชา นอกจากเวลานั้นมันจะยังเป็นร่างของเจ้า และข้ามิกล้าที่จะอ้างสิทธิ์ในตัวมันถึงแม้ว่าเจ้าจะบีบบังคับข้าด้วยการจ่อกระบี่ที่คอข้า ยิ่งไปกว่านั้นถ้าร่างของเจ้าเป็นของข้าระหว่างการฝึกวิชาเช่นนั้นร่างของข้าก็จะเป็นของเจ้าด้วยเช่นกัน” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาถอดชุดของตนเองออก เผยให้เห็นมังกรที่ตื่นขึ้นที่ดูเหมือนกับว่ามันต้องการที่จะทิ่มแทงสวรรค์ให้เป็นรูในเวลานั้น
“ร่างกายของข้าเป็นของท่าน และร่างกายของท่านก็เป็นของข้า…” ฟางซีหลานดันตัวเองขึ้นนั่งอย่างช้าๆบนเตียงขณะที่ใบหน้าของเธออยู่ตรงกับมังกรพิโรธของซูหยาง
จากนั้นเธอก็รวบนิ้วของเธอรอบตัวมันและอ้าปาก
หลังจากนั้นซูหยางก็สามารถรู้สึกได้ถึงปากอันอ่อนนุ่มของฟางซีหลานรอบหัวมังกรของเขาโดยมีลิ้นของเธอสร้างความพึงพอใจให้กับมันอยู่ภายใน
เป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย ความรู้สึกดั่งสรวงสวรรค์ที่จะสามารถหลอมละลายดวงใจผู้คนได้ในทันที
หลังจากที่นวดหัวมังกรด้วยลิ้นของเธอแล้ว ฟางซีหลานก็ทำการกลืนมังกรทั้งตัวในทีเดียวปล่อยให้มันเลื่อนลึกเข้าไปในคอของเธอ
หลังจากนั้นหลังจากที่ใช้เวลาหลายนาทีกับการดูดกลืนด้วยความเสน่หาจากฟางซีหลาน ซูหยางก็ปล่อยน้ำศักดิ์สิทธิ์ชุดแรก
ปริมาณของปราณหยางจำนวนมากไหลเข้าไปในปากของฟางซีหลานและเธอก็กลืนมันเข้าไปทั้งหมดโดยไม่ลังเล
ฟางซีหลานถอนปากของเธอออกจากมังกรของซูหยางหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามดังที่เธอคาดไว้ มันยังคงโกรธเกรี้ยวและแกร่งกร้าวราวกับเป็นมังกรจริง
“นำเข้าไปในร่างข้าเถอะ ข้าต้องการสร้างความพึงพอใจให้ท่านทั้งคืนด้วยร่างกายนี้” ฟางซีหลานนอนลงไปบนเตียงและกางแขนกว้าง
ซูหยางยิ้มให้กับเธอและเวลาถัดไป เขาก็ดันมังกรเข้าไปในร่างของเธอ
“อาาาาา…” ฟางซีหลานครวญครางดังลั่น รู้สึกว่าทุกสัดส่วนของหลืบร่องที่คับแน่นของเธอถูกกระแทกกระทั้นด้วยมังกรผู้ทรงพลัง
แม้ว่าพวกเขาได้ฝึกฝนร่วมกันหลายครั้งแล้วก่อนวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางซีหลานรู้สึกหลงไหลไปกับการฝึกฝนร่วมกัน รู้สึกเหมือนกับว่านี่เป็นการร่วมฝึกคู่ครั้งแรกและกับชายที่เธอรักอย่างแท้จริง
จากนั้นฟางซีหลานและซูหยางก็ร่วมฝึกด้วยกันทั้งคืน และถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าค่ายกลซ่อนเสียงที่ซูหยางได้วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ คงไม่มีใครในโรงเตี๊ยมที่จะสามารถหลับลงได้จากการร้องครวญครางอย่างเต็มที่ของฟางซีหลาน
หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนร่วมกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง ฟางซีหลานก็พึมพัมไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด “มีคำกล่าวว่าเจ้าย่อมจักมิได้ประสบการณ์ที่แท้จริงนอกจากว่าเจ้าจะรักคนผู้นั้น ข้าเดาว่านี่คงเป็นสิ่งที่การฝึกวิชาคู่ที่แท้จริงนั้นควรจะเป็น…”