DC บทที่ 324: ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตะลึง
ทันทีที่เข้าไปในสนามกีฬา เทวรูปสูงใหญ่ก็จ้องเขม็งลงมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยราวกับผู้พิทักษ์ที่แข็งกร้าวสององค์
“เทวรูปวิญญาณและเทวรูปอายุกระดูก หนึ่งใช้วัดอายุของพวกเจ้าผ่านกระดูกและอีกหนึ่งสำหรับวัดพลังการฝึกปรือของพวกเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะโกหกต่อหน้าสมบัติวิญญาณทั้งสองนี้”
โหลวหลานจีอธิบายให้กับพวกเขา
“…”
ซูหยางมองดูเทวรูปวิญญาณด้วยสายตาครุ่นคิด
“ข้ามิต้องกังวลในการเปิดเผยอายุของข้า หรือว่าต้องพยายามพลังการฝึกปรืออย่างจริงจัง แต่การเปิดเผยพลังการฝึกปรือที่แท้จริงที่นี่ย่อมทำให้เกิดความปั่นป่วนมากเกินไป นี่ยังมิได้พูดถึงแผนการของข้า ข้าจักซ่อนมันไว้ก่อนตอนนี้”
แม้ว่าสมบัติวิญญาณเหล่านี้เป็นที่รู้กันว่าแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์และไม่สามารถหลอกได้ แต่สมบัติวิญญาณด้อยค่าเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนของเล่นต่อหน้าของเซียนดังเช่นซูหยาง ซึ่งมีวิชาการปกปิดมากมายที่จะหลอกของเล่นเหล่านี้
“ทีละคน พวกเจ้าจะต้องวางมือบนเทวรูปทั้งสองนี้เพื่อตรวจสอบ เราจักทดสอบอายุของเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นจงวางมือเจ้าบนเทวรูปอายุกระดูกที่อยู่ด้านซ้าย” ผู้ตรวจสอบพลันกล่าวกับพวกเขา
“ไปเลย” โหลวหลานจีเร่งเหล่าศิษย์
หนึ่งในเหล่าศิษย์พยักหน้าและเข้าไปหาเทวรูปอายุกระดูกและวางมือบนนั้น
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ลูกกลมสีเขียวสว่างสิบแปดลูกก็ปรากฏรอบเทวรูปอายุกระดูก แน่นอนว่าลูกกลมสีเขียวแต่ละลูกหมายถึงหนึ่งปีสำหรับศิษย์
“สิบแปดปี เจ้าผ่านการทดสอบอายุ ต่อไปวางมือของเจ้าบนเทวรูปวิญญาณและถ่ายเทปราณไร้ลักษณ์ลงไปในนั้นเพื่อกระตุ้นการทำงานของมัน” ผู้ตรวจสอบกล่าว
ศิษย์ทำตามคำแนะนำและปลดปล่อยปราณไร้ลักษณ์เข้าไปในเทวรูปวิญญาณเพื่อที่จะกระตุ้นสมบัติวิญญาณ
ไม่นานหลังจากนั้นทั้งตัวเทวรูปก็เปล่งแสงสีเขียวเข้ม
“เขตสัมมาวิญญาณระดับห้า เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันนี้ ยื่นหลังมือมาให้ข้า” ผู้ตรวจสอบกล่าว
เมื่อศิษย์ยกมือของเธอขึ้น ผู้ตรวจสอบก็นำเอาตราประทับออกมาประทับไปบนหลังมือของศิษย์ รอยประทับสีเหลืองก็พลันปรากฏขึ้นบริเวณที่ถูกประทับในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก่อนที่จะหายเข้าไปในผิวของเธอเมื่อเวลาผ่านไป
“นี่คือ…” ศิษย์มองดูผู้ตรวจสอบด้วยสีหน้างุนงง
“รอยประทับนั้นเป็นสิ่งที่ใช้พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการ หากไม่มีมันเจ้าจักไม่สามารถที่จะขึ้นไปบนเวทีได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
หลังจากที่ศิษย์คนแรกผ่านการทดสอบซึ่งใช้เวลาไม่ถึงนาที ศิษย์คนต่อไปก็ก้าวไปข้างหน้า
“สิบแปดปี เขตสัมมาวิญญาณระดับหก ผ่าน”
“สิบเจ็ดปี เขตสัมมาวิญญาณระดับห้า ผ่าน”
“ยี่สิบปี เขตสัมมาวิญญาณระดับแปด ผ่าน”
“สิบเก้าปี เขตสัมมาวิญญาณระดับเก้า ผ่าน”
เมื่อการทดสอบดำเนินต่อไป ผู้ตรวจสอบก็ยิ่งประหลาดใจกับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและผลลัพธ์ของการทดสอบของพวกเธอ
“แม้ว่าพวกเธอจะมีอายุน้อย พวกเธอทั้งหมดล้วนมีพลังการฝึกปรือที่สูง ซึ่งไม่มีทางด้อยไปกว่านิกายระดับสูง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ พวกเขาพบเหมืองแร่วิญญาณหรืออะไรบางอย่างและร่ำรวยขึ้นมาหรือเปล่า นั่นต้องใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองจำนวนมากในการที่จะฝึกศิษย์เหล่านี้ การแข่งขันระดับภูมิภาคปีนี้ต้องสนุกอย่างแน่นอน”
เพราะว่ามากกว่าครึ่งของเหล่าศิษย์ที่มาที่นี่ในวันนี้ล้วนเป็นศิษย์นอกเมื่อครึ่งปีก่อน ดังนั้นอายุของพวกเธอล้วนอยู่ในระดับต่ำ
“คนต่อไป”
“ในที่สุดก็ถึงตาข้า” ซุนจิงจิงก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ยี่สิบเอ็ดปี… ระดับสอง…. ข-ข-เขตปฐพีวิญญาณ”
ผู้ตรวจสอบเกือบกรีดร้องเมื่อเขาเห็นเทวรูปวิญญาณเปล่งแสงสีแดง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเพียงผู้ที่เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณสามารถทำให้เกิดขึ้นได้
“สามารถเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณตั้งแต่เยาว์วัย ช่างเป็นอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้ อนาคตของเธอจักต้องไร้ขีดจำกัด”
ผู้ตรวจสอบปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของตนเองและคารวะไปยังโหลวหลานจี “ขอแสดงความยินดีกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่มีศิษย์ที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้”
โหลวหลานจีอดที่จะยิ้มหลังจากที่ได้ยินคำชมจากผู้ตรวจสอบไม่ได้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่มีศิษย์ดังเช่นซุนจิงจิง
แต่แน่นอนว่าทุกสิ่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้หากปราศจากซูหยาง
หลังจากที่ซุนจิงจิงไปแล้ว คนที่เหลือที่ยังไม่ได้ทดสอบก็คือฟางซีหลานและซูหยาง
“ศิษย์ฟาง เข้าไป” โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง
ฟางซีหลานพยักหน้าและเข้าไปที่เทวรูปอายุกระดูก
“ยี่สิบสี่ปี”
หลังจากผ่านการทดสอบอายุ ฟางซีหลานก็วางมือของเธอไปยังเทวรูปวิญญาณ
ไม่นานหลังจากนั้น เทวรูปก็เปล่งแสงสีแดงเข้ม ซึ่งเหนือกว่าซุนจิงจิงในด้านความแจ่มชัด
“ป-ป-เป็นไปไม่ได้” ผู้ตรวจสอบล้มลงก้นจ้ำเบ้าหลังจากที่เห็นพลังการฝึกปรือของฟางซีหลาน
“ร-ร-ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ” ผู้ตรวจสอบตะโกนลั่นด้วยเสียงที่ตื่นตระหนก
“ม…มิมีทาง..” กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังไม่อาจเชื่อผลลัพธ์และจ้องมองฟางซีหลานด้วยท่าทางมึนงง ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมเธอจึงไม่สามารถเห็นพลังการฝึกปรือของฟางซีหลานได้ ไม่เหมือนศิษย์คนอื่นนอกจากซูหยาง
จริงแล้วโหลวหลานจีเองก็อยู่เพียงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ
โหลวหลานจีจึงหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้
ถ้าเขาสามารถช่วยฟางซีหลานได้รับพลังการฝึกปรือสูงเช่นนั้นในเวลาอันสั้น เขาต้องแข็งแกร่งกว่าฟางซีหลานใช่หรือไม่
“ดัง…ดังคาดสำหรับศิษย์พี่หญิง… พรสวรรค์ของเธอเพียงลำพังก็ดีกว่าพวกเราทุกคนรวมกัน…”
ศิษย์คนอื่นแอบถอนใจ
“ข้าต้องการได้รับการประทับตอนนี้” ฟางซีหลานกล่าวกับผู้ตรวจสอบที่นั่งอยู่บนพื้น
“อือ…”
อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจสอบไม่ได้ตอบสนองในทันทีและแสดงความลังเล แม้ว่าอายุของฟางซีหลานจะอยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ แต่พลังการฝึกปรือของเธอผิดปกติจนเกินไป ถ้าเธอขึ้นไปบนเวที เธอจะไม่ข่มเหงทุกคนที่นั่นอย่างง่ายดายหรือ
บ้าแล้ว ถ้าให้ดีพวกเขาให้รางวัลที่หนึ่งเธอไปเลยก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น
“มีปัญหาอะไรหรือผู้ตรวจสอบ ทำไมท่านจึงยังไม่ประทับตรามือเธอ” โหลวหลานจีถามพร้อมขมวดคิ้ว
“เอ้อ.. มิมีอะไรผิดปกติกับอายุของเธอ แต่พลังการฝึกปรือของเธอค่อนข้างจะ..”
“อะไรกัน นั่นมิมีข้อกำหนดถึงขีดจำกัดของพลังการฝึกปรือของคนที่จะมีคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ถ้าข้าจำไม่ผิด ต่อให้เธออยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณ ศิษย์ข้าย่อมมีคุณสมบัติเข้าเป็นผู้ร่วมการแข่งขัน” โหลวหลานจีตอบโต้ทันที
ผู้ตรวจสอบพลันเงียบไปหลังจากที่ได้ยินคำตำหนิของโหลวหลานจี และหลังจากผ่านการครุ่นคิดไปหลายนาที ผู้ตรวจสอบสุดท้ายก็ยอมประทับตรามือของฟางซีหลาน
“ท่านพูดถูก มิมีกฏที่ห้ามคนที่อยู่ในระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณว่ามิผ่านคุณสมบัติ ตราบเท่าที่พวกเขาเหนือกว่าเขตปฐมวิญญาณ พวกเขาล้วนมีคุณสมบัติ ต้องขอโทษสำหรับความของข้าเมื่อกี้นี้”
โหลวหลานจีถอนใจโล่งอกหลังจากที่เห็นประทับสีเหลืองบนมือของฟางซีหลาน ตราบเท่าที่มีฟางซีหลานอยู่บนเวที เกือบเป็นไปไม่ได้สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะได้ตำแหน่งอะไรที่ต่ำกว่าระดับสามในการแข่งขัน
“ศิษย์ฟาง.. เห็นได้ว่าเจ้าได้ก้าวข้ามผ่านข้าไปเรียบร้อยแล้ว ข้าเห็นควรเรียกเจ้าว่าผู้นำนิกายนับแต่ตอนนี้ไหม” โหลวหลานจียิ้มขื่นขม
อย่างไรก็ตามฟางซีหลานส่ายหน้าของเธออย่างสงบและกล่าวว่า “ในแง่ของประสบการณ์ ศิษย์คนนี้ยังทิ้งห่างจากท่านผู้นำนิกาย ข้ามิกล้าที่จะเป็นผู้นำนิกายแม้จะผ่านไปอีกนับสิบปีจากตอนนี้”
“เจ้าช่างถ่อมตัวเกินไป…” โหลวหลานจีถอนใจ “อย่างไรก็ตาม เราก็ยังสามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อเรากลับไปยังโรงเตี๊ยม ในเมื่อยังคงมีอีกคนที่นี่ที่ต้องการทดสอบ”
ในเวลานั้นทุกคนต่างหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งได้ตรงไปยังเทวรูปทั้งสององค์แล้ว