ภาค 7: การแข่งขันระดับภูมิภาค
บทที่ 303: เมืองหิมะร่วง
“ผ-ผู้นำนิกาย… พวกเรากำลังตกเป็นเป้าความสนใจอยู่ไม่น้อย… จะเป็นอะไรบ้างถ้านิกายล้านอสรพิษสังเกตเห็นพวกเรา”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายมีสีหน้าเป็นกังวล
ภายใต้สถานการณ์ปกติพวกเขาคงจะภาคภูมิใจกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่อนิจจาพวกเขาไม่ต้องการเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็นในวันนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าพวกเขาเข้าไปในเมืองหิมะร่วง
อย่างไรก็ตามความปรารถนาเช่นนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสวยงามของพวกเธอเผยออกมาอย่างชัดแจ้งเหมือนกับนิ้วโป้งที่บวมเป่ง เหมือนกับสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้แสนสวยท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง
“ข้าเคยคิดว่าจะสวมหน้ากาก แต่นั่นยิ่งทำให้พวกเราดูน่าสงสัย” โหลวหลานจีส่ายหน้า “แต่ถึงแม้ว่าเรากลายเป็นจุดสนใจตอนนี้ นั่นก็ไม่มีความหมายอะไรเพราะว่านิกายล้านอสรพิษคงจะเข้าไปในเมืองหิมะร่วงแล้ว”
“สำนักที่มีชื่อเสียงอย่างพวกเขาแน่นอนว่าคงได้รับการยกเว้นจากการรอเข้าแถวมิเหมือนกับพวกเราเหล่านี้”
“นั่นฟังดูมีเหตุผล…”
เหล่าผู้อาวุโสนิกายจึงไม่กังวลเกี่ยวกับนิกายล้านอสรพิษอีกต่อไปและติดตามโหลวหลานจีตรงเข้าสู่เมืองหิมะร่วงอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นฝูงชนจำนวนมหาศาลก็เข้ามาสู่สายตา จนทำให้เหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยถึงกับงงงัน
“พระเจ้า ทำไมถึงมีคนมากมายที่นี่”
จำนวนมากมายของผู้คนที่นั่นสร้างความหวาดหวั่นต่อศิษย์รุ่นเยาว์ ตามจริงแล้วนั่นมีคนมากมายจนดูเหมือนกับทะเลสีดำจากที่พวกเขากำลังยืนอยู่
“เราต้องรอในแถวนี้รึ เป็นไปไม่ได้ นั่นมีคนนับหมื่นคนอยู่ที่นี่ และนั่นจักต้องใช้เวลาหลายวันหรือไม่ก็หลายสัปดาห์ก่อนที่เราจะสามารถเข้าไปในเมือง เราอาจจะลงทะเบียนไม่ทันเวลาด้วยซ้ำ”
หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์เกิดความกังวล
“อย่ากังวล แถวนี้สำหรับเพียงผู้ชมและนักเดินทาง สำหรับคนที่วางแผนเข้าร่วมการแข่งขันแถวของพวกเราอยู่ตรงนั้น…”
โหลวหลานจีชี้ไปยังแถวหนึ่งใกล้กับฝูงชนซึ่งมีขนาดสั้นกว่ามาก อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นแถวที่สั้นกว่า นั่นก็ยังมีคนไม่ต่ำกว่าหลายร้อยคนในแถว
“พวกเราเร่งรีบไปเข้าแถวกันเถอะก่อนที่มันจะยาวกว่านี้” โหลวหลานจีพูดขณะที่เธอเริ่มเดินไปยังฝูงชน
ในเวลานั้นซูหยางได้ใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองมองไปยังเมืองจากมุมมองที่เหมาะสม
“นี่ค่อยดูเป็นเมืองอยู่บ้าง..” เขาคิดในใจเมื่อเขาตระหนักว่าเมืองหิมะร่วงนี้กว้างขวางพอที่จะบรรจุคนหลายแสนคนได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากพื้นที่ด้านนอกที่เต็มไปด้วยร้านรวงสำหรับธุรกิจ ใจกลางของเมืองหิมะร่วงนั้นเป็นลานประลองขนาดใหญ่ยักษ์ ราวกับว่าเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาคเป็นหลัก
หลังจากที่มองไปยังภาพรวมของเมืองแล้ว ซูหยางก็เริ่มสำรวจผู้คนภายนอกและภายในเมือง
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็สามารถคำนวณได้ว่ามีอย่างน้อยสิบกว่าคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณและมีประมาณสองร้อยคนอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ส่วนที่เหลือนั้นมีมากเกินไปที่จะนับ แต่ว่าตัวเลขเหล่านี้ต้องแตกต่างไปอย่างแน่นอนยามเมื่อถึงเวลาที่การแข่งขันระดับภูมิภาคมาถึง ในเมื่อยังมีคนอีกมากมายที่ยังมาไม่ถึง
“หืม นี่คือ…”
ซูหยางพลันสังเกตเห็นตัวตนอันลึกล้ำภายในเมืองที่เหนือล้ำไปยิ่งกว่าผู้ฝึกวิชาเขตอัมพรวิญญาณ
“ยังมีกระทั่งคนในเขตราชันวิญญาณในที่แห่งนี้ด้วยรึ ช่างน่าประหลาดใจจริง…”
ซูหยางยิ้มกับการค้นพบนี้
“…”
ในที่แห่งหนึ่งในเมืองหิมะร่วง ชายชราซึ่งได้ฝึกฝนอยู่อย่างเงียบๆพลันลืมตาขึ้น สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยแววอันลึกล้ำ
“หืม… รู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังมองดูข้าอยู่เมื่อกี้… หรือเป็นเพียงเพราะว่าข้าชราแล้ว”
ชายชรานี้เป็นจอมยุทธเขตราชันวิญญาณ และถึงแม้จะเพียงบางเบา แต่เขาก็รู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองมายังตัวเขา
แต่เพราะว่าสายตาที่มองมายังเขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกเป็นอันตรายอะไร ชายชราจึงไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นักและกลับไปฝึกฝนอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
–
–
–
กลับไปยังแถวข้างนอกเมืองหิมะร่วง
“มองดูทางนั้นสิ นั่นเป็นสำนักหงส์สวรรค์”
มีคนในแถวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะที่เกวียนกลุ่มหนึ่งตรงมาทางพวกเขาจากที่ไกล
“เฮ้… ทำไมพวกเขาจึงสามารถนั่งเกวียนเข้ามาในเมื่อคนอื่นต้องเดิน”
มีคนถาม
“เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นเป็นใคร สำนักหงส์สวรรค์เป็นหนึ่งในสำนักที่ทรงอำนาจที่สุดในทวีปตะวันออก พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษให้ใช้เกวียน”
“ป-เป็นอย่างนั้นเองรึ…”
เมื่อซูหยางเห็นเกวียนสีขาวแซมทอง เขาหรี่ตาลง
“เป็นว่าเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ หึ”
แน่นอน เขากำลังพูดถึงซูหยิน ซึ่งนั่งอยู่ในเกวียนหนึ่งในนั้น
“สำนักหงส์สวรรค์ง.. ถ้าข้านึกให้ดี เหมือนจะมีญาติคนหนึ่งของซูหยางเป็นศิษย์ของที่นั่นในตอนนี้” โหลวหลานจีมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ไม่นานหลังจากนั้น ครั้นเมื่อสำนักหงส์สวรรค์เข้ามาใกล้แถว พวกเขาก็เคลื่อนที่ต่อกระโดดข้ามแถวทั้งหมดตรงไปยังทางเข้า
“คงจะดีถ้ามิต้องรอเข้าแถว…” ซุนจิงจิงถอนใจ รู้สึกค่อนข้างอิจฉาจนแทบหายใจไม่ออกกับการมีของพวกเขา
อย่างไรก็ตามขณะที่สำนักหงส์สวรรค์ผ่านนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ก็มีคนในเกวียนลำหนึ่งสังเกตเห็นซูหยาง
“จ-เจ้าเด็กเลวนั่น ทำไมเขาจึงอยู่มาอยู่ที่นี่เช่นกัน”
ซูซุนผู้นำตระกูลซุนร่ำร้องในใจเมื่อเขาสังเกตเห็นร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง และเขาก็ได้ภาวนาไม่ให้ซูหยินสังเกตเห็นอีกฝ่าย
แน่นอนว่าซูหยางสังเกตเห็นซูซุนมองดูเขาจากหน้าต่างในเกวียนนั้น เขาจึงยกมือข้างหนึ่งและเริ่มโบกมือให้พร้อมกับรอยยิ้มสดใส ราวกับว่าเขาเพิ่งพบปะกับเพื่อนสนิทในสถานที่ที่ไม่คาดคิด
“ซวย เจ้านั่นสังเกตเห็นข้า”
ซูซุนรีบปิดม่านและซ่อนอยู่ภายในเกวียนเมื่อเขาเห็นซูหยางโบกมือให้ด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายนั้น หลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ
“มีอะไรรึ ผู้อาวุโสซู” คนหนึ่งในเกวียนถามเขาเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นพฤติกรรมผิดปกติของอีกฝ่าย
“ม-มิมีอะไร… ตะวันต้องตาข้า…” เขารีบหาข้ออ้าง
“อ-อย่างนั้นรึ…”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สำนักหงส์สวรรค์ก็ทำการเข้าสู่เมืองโดยที่ซูหยินไม่ได้สังเกตเห็นซูหยาง