DC บทที่ 278: พวกโง่นี่เป็นใครกัน
“อย่างไรก็ตามมีที่ว่างสำหรับเพียงสองคน ดังนั้นข้าจึงสามารถนำพวกเจ้าไปได้เพียงคนเดียว ข้าเองมิถือที่จะต้องไปด้วยตนเอง” ซูหยางกล่าวขณะที่เขายืนอยู่บนเรือไม้
“ข้าจักไป”
ก่อนที่ฟางซีหลานหรือผู้อาวุโสซุนจะทันได้มีปฏิกิริยา ซุนจิงจิงก็กระโดดขึ้นไปบนเรือและยืนข้างซูหยางด้วยท่าทางกระตือรือร้นบนใบหน้า และดูเหมือนว่าเธอจะสนใจในยานบินนี้มากกว่าภารกิจช่วยเหลือเสียอีก
“เพียงแค่พวกเจ้าสองคนรึ ข้ามิยอมให้เป็นเช่นนั้น นั่นมันอันตรายเกินไป” โหลวหลานจีพลันปฏิเสธ
เหตุผลที่เธอปฏิเสธนั้นง่ายๆ เธอกังวลว่าพวกเขาอาจจะสิ้นชีวิตไปในระหว่างภารกิจช่วยเหลือ และเธอก็ไม่อาจยอมให้สูญเสียใครสักคนในหมู่พวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยางซึ่งเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียว
ตามจริง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฟางซีหลานซึ่งดื้อดึงเรียกร้องให้ซูหยางมาด้วย โหลวหลานจีคงไม่เรียกเขามาที่นี่
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าทั้งสองจะทำอะไรเมื่อพวกเจ้าไปถึง นี่มิใช่อะไรที่พวกเจ้าสองคนจะสามารถรับมือได้เพียงลำพัง”
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “ข้าจักฟังคำบ่นของเจ้าทีหลัง ตอนนี้มีศิษย์รุ่นเยาว์ที่นั่นรอความช่วยเหลืออยู่”
หลังจากที่พูดคำเหล่านั้นแล้วซูหยางก็สั่งเรือไม้ทำงาน และภายในชั่วพริบตาพวกเขาก็หายไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
โหลวหลานจีและคนอื่นต่างพากันยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางตะลึงงันหลังจากที่พวกเขาจากไป ตระหนกกับความเร็วที่น่าเหลือเชื่อของยานบิน
ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อเห็นร่างสั่นสะท้านของโหลวหลานจี ฟางซีหลานก็พูดขึ้น “ผู้นำนิกาย ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา ต่อให้ซูหยางไปคนเดียวเขาก็จักมิตาย”
“ทำไมเจ้าจึงมั่นใจในเรื่องนั้น” ผู้อาวุโสซุนถามพร้อมขมวดคิ้ว
เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่าสิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้นได้กับซุนจิงจิง
สุดท้ายแล้วถ้าซุนจิงจิงตายไปภายใต้การดูแลของเขา เขาก็ไม่อาจที่จะเงยหน้าเผชิญกับตระกูลซุนได้
“ข้า…ข้าเพิ่งทำ…”
ผู้อาวุโสซุนจ้องมองฟางซีหลานด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขามิเคยเห็นเธอเป็นเช่นนี้มาก่อน
โหลวหลานจีเองก็มองไปยังฟางซีหลานด้วยสายตาแสดงความสงสัย คิดในใจว่า “เธอต้องรู้อะไรบางอย่างที่พวกเรามิรู้เกี่ยวกับซูหยาง…”
“อย่างไรก็ตาม มิมีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้ในตอนนี้ในเมื่อพวกเขาได้จากไปแล้ว”
โหลวหลานจีส่ายหน้า
ผู้อาวุโสซุนกัดฟันและพึมพัมว่า “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กของข้า ข้าจักแล่ร่างเจ้าและป้อนมันให้กับสุนัข ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นศพแล้วตอนนั้น ซูหยาง”
ผู้อาวุโสซุนจากไปไม่นานหลังจากนั้น แต่ในใจเขายังคงเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับซุนจิงจิง
ส่วนสำหรับฟางซีหลาน โหลวหลานจีได้บอกเธอให้อยู่ ดังนั้นเธอจึงยังคงอยู่ที่นั่น
“มีอะไรรึ ท่านผู้นำนิกาย”
โหลวหลานจีหรี่ตาและถามเธอว่า “ศิษย์ฟาง…เจ้าซุกซ่อนอะไรไว้จากข้า”
“…”
ฟางซีหลานไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจจากคำถามของโหลวหลานจีในเมื่อเธอคาดคิดไว้แล้วหลังจากถูกบอกให้อยู่ต่อ
“ข้าคิดว่านั่นคงจะเป็นการดีที่สุดถ้าท่านมิรู้ ท่านผู้นำนิกาย…” สุดท้ายฟางซีหลานก็ส่ายหน้า
“ทำไมเจ้าจึงมั่นใจในเรื่องนั้น” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว
“ข้าขออภัย ท่านผู้นำนิกาย แต่ข้ามิอาจพูดออกมา ว่าไปแล้วต่อให้ข้ามิพูดอะไร ท่านก็จักพบเห็นความจริงในเวลาไม่นานนัก..”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็แค่นเสียง “ฮึ่ม จากที่รู้จักตัวตนของเจ้านั่น บางทีซูหยางคงจะบอกเจ้าให้เงียบไว้ใช่ไหม ก็ได้ เจ้ามิต้องบอกข้าอะไรก็ได้”
แม้ว่าฟางซีหลานตัดสินใจที่จะเก็บความลับของซูหยางไว้กับตัว เธอก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจของโหลวหลานจีและเพียงแค่รับมันไว้ ดังนั้นเธอจึงเพียงพยักหน้ากับคำของโหลวหลานจี
–
–
–
ในเวลานั้นบนเรือไม้กลางท้องฟ้า ซุนจิงจิงได้เกาะติดซูหยางอย่างแน่นทั้งตัว ราวกับกระรอกเกาะต้นไม้
การออกเดินทางอย่างกระทันหันและความเร็วได้ทำให้เธอไม่ทันตั้งตัว หัวใจเธอแทบจะกระดอนออกมาจากปากในเวลานั้น
“วางใจได้ เจ้ามิตกไปหรอก…”
ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“จ-จ-เจ้ามั่นใจรึ”
ซุนจิงจิงถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน
เมื่อเห็นซูหยางพยักหน้า ซุนจิงจิงก็ค่อยปล่อยมือจากเขา
“จ-เจ้าพูดถูก แม้ว่าจะเคลื่อนไปกลางอากาศด้วยความเร็วเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าข้ายืนอยู่บนพื้นราบ ยานบินเป็นเช่นนี้เอง เหอ”
ความตื่นเต้นของซุนจิงจิงกลับมาอย่างรวดเร็วและเธอก็เริ่มมองไปรอบๆ
“เจ้าสนใจในยานบินรึ” ซูหยางถามเธอ
“ตอนนี้ใช่” ซุนจิงจิงพยักหน้า
“ข้ามักจะฝันเสมอที่จะทะยานข้ามขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง และประสบการณ์นี้เพิ่งได้รับการเติมเต็ม”
หลังจากชื่นชมภาพที่พร่ามัวไปอีกชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็พูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ตามเราจะไปถึงที่รอยต่อได้เร็วแค่ไหนในตอนนี้ในเมื่อเราใช้ยานบินนี้”
“สองสามนาที”
ซูหยางตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“สามวันเปลี่ยนเป็นสามนาที…สิ่งนี้ไปได้เร็วแค่ไหนกัน” ซุนจิงจิงไม่แม้จะจินตนาการได้ว่าจะมีสมบัติแบบนี้ปรากฏขึ้นในโลกนี้ มันเหมือนกับว่ายานบินนี้มาจากโลกอื่น
–
–
–
ในขณะนี้ที่ไหนสักแห่งระหว่างรอยต่อชายแดนตะวันออกและชายแดนใต้ในเขตภูเขา คนร่างสูงใหญ่และเต็มไปด้วยมัดกล้ามสิบคนยืนล้อมคนตัวเล็กๆกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนกับคนเลี้ยงแกะกับฝูงแกะของพวกเขา
บางคนในสิบคนนี้สวมเสื้อผ้าที่ดูแพงในขณะที่คนอื่นสวมชุดสกปรกและขาดหลุดลุ่ย
พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาล้วนมีกลิ่นอายร่วมที่เหมือนกันที่มีเพียงคนที่ละทิ้งศีลธรรมจะปล่อยออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกโง่นี่เป็นใครกัน ถึงก้าวเท้าเข้ามาในพื้นที่โจรภูเขาแดงของพวกเรา พวกเจ้าเพียงเรียกร้องหาที่ตายหรือไม่ก็ถูกพวกเราขาย”
หนึ่งในหมู่โจรหัวเราะเสียงดัง
“พี่ชาย ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขา นี่น่าจะมาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” หนึ่งในกลุ่มโจรจำเสื้อผ้าของพวกเขาได้
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ พวกนั้นยังมีอยู่รึ และพวกนี้ดูค่อนข้างจะเด็กเกินไปอยู่บ้างสำหรับอยู่ในสถานที่แบบนั้น”
“ไม่ว่าสถานการณ์ของพวกนั้นจะเป็นอย่างไร พวกเรารวยแล้ว มองดูเด็กผู้หญิงพวกนี้สิ แม้ว่าพวกเธอยังเด็ก พวกเธอทุกคนมีหน้าตาเหนือธรรมดาทุกคน ต่อให้พวกเรามิขายพวกเธอไปจนหมด พวกเธอยังคงมีประโยชน์กับพวกเราในอนาคต ในเมื่อพวกเธอจักต้องโตขึ้นเป็นสาวงามอย่างแน่นอน”
“ถ้าข้าจำได้มิผิด เรามีพี่น้องสองสามคนที่มีรสนิยมผิดปกติ พวกเขาจักต้องมีความสุขแน่เมื่อเห็นเด็กหญิงมากมายให้เลือก”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เราพบกับทองคำแล้วในวันนี้ หรือข้าควรจะพูดว่าสวรรค์ได้ให้พรกับพวกเราด้วยการส่งทองมาถึงหน้าประตูบ้านในวันนี้”
โจรทั้งสิบคนหัวเราะอย่างป่าเถื่อน ดูเหมือนกับเป็นกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง
ในเวลานั้นเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเด็กหญิงหลังจากที่ได้ยินว่าพวกเธอจะถูกขายไป หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือตกเป็นทาสและถูกใช้โดยโจรจิตวิปริตไปตราบชั่วชีวิตของพวกเธอ