DC บทที่ 271: เรือนร่างอันเร่าร้อน
“แม้ว่าข้ามิอาจบอกพวกท่านได้ว่าท่านผู้อาวุโสตอนนี้อยู่ที่ไหน ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าเขาอาจะมาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”
เพื่อที่ต้องการจะสร้างความตระหนกให้กับนิกายดอกบัวเพลิงและเพิ่มความสนใจให้กับซูหยางมากยิ่งขึ้น โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะอ้างถึงทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง
“ทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานหัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินข่าวเช่นนั้น ในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธที่ใช้เวลาหลายปีค้นคว้าเรื่องทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางโดยหวังว่าจะพบวิธีไปที่นั่น
“ถ-ถ้ามิถือว่าถามมากเกินไป ท่านพอจะบอกผู้อาวุโสท่านนี้ได้หรือไม่ว่าข้าต้องการที่จะขอเข้าคารวะเขา”
ไม่มีทางที่ผู้อาวุโสสูงสุดหานจะไม่ถามคำถามนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสท่านนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการไปถึงทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง
“อือ…ข้าเดาว่าข้าสามารถขอร้องเขาครั้งหน้าที่เราพบกันได้…”
โหลวหลานจีตอบตกลงอย่างผ่านๆ
“ขอบคุณท่านมาก”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานกล่าวด้วยความตื่นเต้น
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เมื่อพบว่าซูหยางก็ยังไม่แสดงตัว หวังชูเหรินก็ถอนหายใจ “ซูหยางคนนี้ อะไรที่ทำให้เขาต้องใช้เวลาตั้งนาน”
โหลวหลานจีพลันพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษว่า “ห-เหล่าศิษย์ค่อนข้างจะหลงไหลในตัวเขา ดังนั้นเขาจึงปกติจะยุ่งมาก…”
“เอ๋ ท่านพูดอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร”
หวังชูเหรินถามด้วยท่าทางงุนงง
“อือออ…”
โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยสายตาประหลาดและคิดในใจว่า “เธอคงมิหลงลืมไปว่าอะไรที่พวกเราทำกันในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ใช่ไหม”
ตามจริงเพราะว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หวังชูเหรินได้ลืมไปหมดสิ้นเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีชื่อเสียงเป็นอันดับแรก
“ผู้อาวุโสหวัง หรือว่าท่านลืมไปแล้วว่าที่เราอยู่ตอนนี้เป็นสถานที่ประเภทไหน”
ผู้อาวุโสหานเตือนเธอ
หวังชูเหรินเลิกคิ้วและครุ่นคิดไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ถึงเหตุผลหลักเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ทำให้พวกเขาโด่งดัง
โหลวหลานจีสังเกตเห็นว่าหวังชูเหรินระลึกขึ้นได้จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นย่อมมีเหตุผลเดียวที่ทำไมผู้ชายจึงยุ่งมากในที่แบบนี้ถ้าเหล่าศิษย์หญิงต่างพากันหลงไหลในตัวเขา”
ใบหน้าของหวังชูเหรินเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเล็กน้อยด้วยความอาย
“ข-ข้า..”
หวังชูเหรินไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรหลังจากนั้น ในเมื่อเธอไม่คุ้นเคยกับการสนทนาแบบนั้น
ทันใดนั้นเสียงประตูเปิดก็ดังขึ้นเป็นเหตุให้ทุกคนที่นั่นต่างพากันหันไปมองทางประตู
“ซูหยาง”
หวังชูเหรินตาเป็นประกายด้วยความดีใจหลังจากที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง รู้สึกโล่งอกที่เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ
ซูหยางมองไปยังผู้คนจากนิกายดอกบัวเพลิงขณะที่เขาเดินเข้าไปด้านในและพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “อะไรกันนี่ พวกเจ้ามายังที่นี่เพื่อจะแก้แค้นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นรึ”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานขบกรามแน่นหลังจากที่เห็นใบหน้าซูหยางและได้ยินเสียงของเขา ด้วยความกลัวต่อซูหยางยังคงอยู่
ส่วนสำหรับจอมยุทธคนอื่นจากนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาต่างพากันร่างสั่นสะท้านจากการที่ได้เห็นซูหยาง
โหลวหลานจีมองดูสถานการณ์ด้วยคิ้วขมวดงุนงง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับสถานการณ์นี้
ซูหยางเลิกสนใจสายตาที่จ้องมาทั้งหมดและนั่งลงตรงหน้าหวังชูเหริน
“เจ้าต้องการพูดกับข้า ใช่หรือไม่”
เขาจ้องหน้าเธอ
“เอ้อ… เนื่องจากว่า…”
ตามจริง หวังชูเหรินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เธอมาที่นี่เพียงเพราะว่าเธอกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับนิกายล้านอสรพิษ และจากที่รู้จักซูหยาง เขาต้องยืนอยู่ด้านหน้าพยายามปกป้องสถานที่ของตนเอง
แต่ตอนนี้เมื่อสุดท้ายเธอได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษ กระทั้งเห็นซูหยางด้วยตนเอง เธอได้เติมเต็มเหตุผลที่ต้องการมาที่นี่แล้ว
อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกว่าจะเป็นการหยาบคายต่อโหลวหลานจีและซูหยางถ้าเธอจากไปหลังจากที่เขาปรากฏตัว
เมื่อเห็นว่าหวังชูเหรินยังคงนิ่ง ซูหยางก็ถามเธอว่า “เจ้าต้องการพูดเป็นการส่วนตัวรึ”
หวังชูเหรินดวงตาเป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ…ตามข้ามา”
ซูหยางยืนขึ้น
“ข้าจักกลับมา” หวังชูเหรินกล่าวกับเพื่อนศิษย์ร่วมสำนักก่อนที่จะตามซูหยางออกไปจากที่นั้น
แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานและคนอื่นถูกสั่งมาว่าห้ามปล่อยให้หวังชูเหรินคลาดสายตาและรู้สึกไม่ค่อยชอบสถานการณ์นี้นัก พวกเขาก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องหากจะยับยั้งเธอไว้ ในเมื่อการมาเยี่ยมครั้งนี้ทั้งหมดคงไร้ความหมายหากพวกเขาไม่ยอมให้หวังชูเหรินได้พูดกับซูหยาง
“พวกท่านต้องการน้ำชาเพิ่มอีกไหม” โหลวหลานจีถามพวกเขา
“เป็นความกรุณา…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานพยักหน้า บางทีเขาอาจจะรู้เรื่องมากขึ้นเกี่ยวกับจอมยุทธลึกลับในช่วงเวลานี้
หลังจากปล่อยให้โหลวหลานจีและคนจากนิกายดอกบัวเพลิงอยู่กันตามลำพังแล้ว ซูหยางก็พาหวังชูเหรินตรงไปยังที่พักของตนเอง
ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ที่พัก หวังชูเหรินก็สังเกตเห็นกลุ่มศิษย์หญิงสาวสวยอยู่ด้านนอกที่พักของเขาพูดจาหยอกล้อกันหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
“ศิษย์พี่ชาย ท่านกลับมาแล้วรึ”
เหล่าศิษย์หญิงพากันถามเขาหลังจากที่สังเกตเห็นร่างของเขาตรงเข้ามา
พวกเธอพลันสังเกตเห็นหวังชูเหรินเดินตามหลังเขาด้วยเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบ
“ว้าว…ช่างเป็นเรือนร่างอันเร่าร้อน…”
เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันค่อนข้างอิจฉาร่างอันเต็มสาวและเปี่ยมเสน่ห์ของหวังชูเหริน ถ้าพวกเธอมีเรือนร่างแบบนี้ชีวิตของเธอในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคงเป็นไปได้ง่ายกว่านี้อย่างแน่นอน
“ข้าจักบอกให้พวกเจ้าสาวๆรู้เมื่อข้าว่างอีกครั้ง” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรงเข้าไปในบ้าน
“อย่าปล่อยให้พวกเรารอนานเกินไปนะศิษย์พี่ชาย ร่างกายของข้าร้อนเร่าไปหมดแล้วจากการที่ต้องยืนอยู่ที่นี่”
“ใช่แล้ว ข้าได้รอมาจนถึงวันนี้ตั้งสองวันแล้ว”
เหล่าศิษย์หญิงไม่ได้ซ่อนเจตนาของพวกเธอต่อซูหยางแม้ว่าจะอยู่ในที่สาธารณะ กระทั่งยังสัมผัสร่างกายของตนเองด้วยท่าทางกระสันรัญจวน และหวังชูเหรินรู้สึกตะลึงงันอย่างมากกับพฤติกรรมไร้ยางอายของพวกเธอ
“พวกเธอมิมียางอายบ้างเลยรึ หรือว่านี่เป็นพฤติกรรมที่เหล่าศิษย์หญิงในที่นี้ควรกระทำ”
หวังชูเหรินคิดในใจ
เหล่าศิษย์หญิงพลันหันไปมองหวังชูเหริน
“เจ้ามาจากนิกายดอกบัวเพลิงใช่หรือไม่ ถึงกับเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อที่จะเล่นสนุกกับศิษย์พี่ชาย ข้ายอมแพ้เจ้าจริงๆ”
“ว่ากระไร”
หวังชูเหรินไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะตะโกนออกไปด้วยความโกรธ “พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร”
เหล่าศิษย์หญิงต่างสบสายตากันไปมา ไม่มีใครสักคนที่นั่นรู้จักหวังชูเหริน
“อย่าสนใจพวกเธอ…” เสียงเรียบเฉยของซูหยางดังมาขณะที่เขาเข้าไปในบ้าน
หวังชูเหรินแค่นเสียงเย็นชาก่อนที่จะตามซูหยางเข้าไปในบ้าน
“เธอเป็นใครกัน รู้ไหม”
เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันถามอีกฝ่าย
“ใครจะรู้…แต่เธอมีกลิ่นหอมรุนแรงมาก…บางทีอาจจะเป็นคนสำคัญ”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันกลับคืนสู่การพูดจาของพวกเธออย่างรวดเร็วขณะที่รอให้ถึงตาของพวกเธออยู่กับซูหยาง