ณ จุดสูงสุดในเขตพื้นที่ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์แห่งเขาป่าสวรรค์ สูงเหนือพื้นดินขึ้นมานับพันจั้ง ปรากฎเป็นสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายถ้ำแห่งหนึ่ง หากว่ายืนอยู่ตรงจุดนี้ จะสามารถมองเห็นภาพทิวทัศน์ทั่วทั้งหมู่ตึกได้
ถ้ำแห่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่สูงที่สุดของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ ดังนั้นย่อมต้องเป็นที่พักของบุคคลระดับเจ้าสำนักอย่าง “หลิงหวินจื่อ” ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ในเวลานี้
หลงเฉินมองสำรวจพื้นที่ภายในถ้ำด้วยความแปลกใจ ที่นี่อยู่เหนือความคาดหมายของเขายิ่งนัก ที่พำนักของบุคคลผู้เป็นถึงเจ้าสำนัก แต่กลับดูสามัญเป็นอย่างยิ่ง หลงเฉินมองดูแล้วก็รู้สึกว่าช่างแตกต่างไปจากตัวเขามากเหลือเกิน
บนผนังหาได้มีสิ่งประดับตกแต่งใดๆ ตัวถ้ำถูกขุดออกไว้ในลักษณะเช่นใด ก็ยังคงอยู่ในสภาพเช่นนั้น เมื่อเทียบกับถ้ำที่พักของเหล่าสัตว์ป่าที่หลงเฉินเคยพบเห็นเมื่อออกไปล่าสัตว์แล้ว ก็แทบจะไม่มีความแตกต่างอะไรมากนัก
หลงเฉินเพียงนึกคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยปากถึงความคิดของตน นั่นเพราะเบื้องหน้าของเขา มีหลิงหวินจื่อและถู่ฟางนั่งรออยู่ สายตาของคนทั้งคู่กำลังจ้องมองมาที่เขา
ภายในถ้ำ มีเพียงเบาะไม้สานขนาดใหญ่อยู่ชิ้นเดียวเท่านั้น ด้านบนของเบาะไม้สานมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งเอาไว้ ด้านบนของโต๊ะถูกวางไว้ด้วยชุดน้ำชาชุดหนึ่ง ที่มีกาน้ำชาพร้อมกับแก้วชาหลายใบ
“นั่งลงสิ”
หลิงหวินจื่อกล่าวขึ้น เมื่อเห็นหลงเฉินเดินเข้ามา บนใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย ยังมีที่ใดที่ให้ศิษย์นั่งได้อีกกัน” ทว่าหลงเฉินแม้ปากจะกล่าวเช่นนั้น แต่ก็สะบัดบั้นท้ายนั่งลงไปแล้ว
“เหอเหอเหอ หลงเฉินนะหลงเฉิน เจ้าจอมอวดดี วาจาช่างสมกับเป็นเด็กที่มีไหวพริบจริงๆ แต่เจ้าไม่คิดจะรู้จักคำว่าเขินอายบ้างหรืออย่างไรกัน ?” หลิงหวินจื่อเมื่อฟังหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วกล่าว
คล้ายกับว่าหลงเฉินขวัญกล้ามาตั้งแต่เกิด หาได้มีความหวาดกลัวต่อฟ้าดินเลยไม่ ไม่ว่าจะเป็นความหวาดกลัว หวั่นเกรง ความวุ่นวายใจ หรืออารมณ์สะเทือนใจชนิดใด ก็มักไม่ค่อยได้พบเห็นบนใบหน้าเขา
แม้แต่เมื่อครั้งที่หลงเฉินต้องเผชิญหน้ากับสุดยอดฝีมือจากฝ่ายอธรรม ที่ถือได้ว่าน่าหวาดกลัวที่สุดผู้หนึ่งนั้น เขาก็ยังไม่สูญสิ้นความหวัง หาได้มีท่าทียอมจำนนพ่ายแพ้ หลิงหวินจื่อรู้สึกเกิดความยอมรับนับถือในส่วนนี้ของหลงเฉินมากทีเดียว
ขอเพียงแต่ยังไม่ตาย ก็ยังคงสามารถเติมเต็มความเชื่อมั่นของตนเองได้อย่างเต็มเปี่ยม เรื่องเช่นนี้โดยส่วนมากแล้วมีเพียงคนสองประเภทเท่านั้นที่จะทำได้ ประเภทแรกก็คือคนบ้า ประเภทที่สองก็คือคนโง่งม
แต่ว่าหลงเฉินนั้น อย่างน้อย เมื่อดูจากภายนอกก็ยังอยู่ในสภาพของคนปกติคนหนึ่ง ทว่าหากจะกล่าวว่าเขานั้นเป็นคนปกติ ก็ยังไม่รู้สึกว่าถูกต้องซักเท่าไหร่
เพราะคนตามปกติที่ได้พบเห็นหลงหวินจื่อ ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับผู้อาวุโส ก็ยังต้องเกิดอาการตัวสั่นกันบ้าง ทั้งกลัวและเกร็ง เกรงว่าหากเอ่ยวาจาไม่เหมาะสมออกมาแล้วละก็ จะทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้นมา แต่ว่าหลงเฉินแทบจะหาได้มีความรู้สึกเช่นนั้นไม่
“เหอะเหอะ ข้อดีของคนประเภทเดียวกับศิษย์ ก็คือคุณสมบัติของจิตใจที่เป็นเช่นนี้ ดังนั้นไม่มีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้หรอก”
หลงเฉินหัวเราะหึหึ ทั้งยังไม่เกรงใจแต่อย่างใด ยื่นมือเข้าไปหยิบจับกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วรินน้ำชาให้มีผู้อาวุโสกว่าทั้งสองคน จากนั้นก็ได้ยื่นส่งให้ด้วยความนอบน้อมแล้วกล่าว
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านโปรดรับน้ำชานี้ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในความกรุณาของทั้งสองท่านที่ดูแลหลงเฉิน”
หลิงหวินจื่อกับถู่ฟางหัวเราะชอบใจ แล้วยื่นมือเข้าไปรับจอกชาจากหลงเฉิน ในใจนั้นอดที่จะเกิดความชื่นชมขึ้นมาไม่ได้
หลงเฉินนั้นถึงแม้จะบังอาจ ขวัญกล้า แต่ก็ยังเป็นคนใจกว้างอย่างยิ่ง ไม่ถือสาหาความกับเรื่องเล็กน้อย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นล้วนเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากจิตใจแทบทั้งสิ้น เรื่องนี้นั้นเห็นได้อย่างชัดเจน
หาไม่แล้ว ในศึกครั้งใหญ่ที่ผ่านมา ก็คงจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ของการศึกได้ดีเช่นนั้นได้ เห็นได้ชัดเจนว่าศิษย์ของฝ่ายอธรรมนั้นแข็งแกร่งกว่าศิษย์ฝ่ายธรรมะหลายเท่า แต่ว่ากลับต้องถูกหลงเฉินจูงจมูกทุบตีไปมา ในท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
และวิธีรินน้ำชาของหลงเฉินเมื่อครู่นี้ ก็นับว่าพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง มือขวาที่จับจอกชา โค้งงอนิ้วทำองศาลง เพื่อมิให้แตะต้องโดนขอบแก้ว นี่ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้อง ในการรินน้ำชาให้แก่ผู้ที่อาวุโสกว่า
มือซ้ายของหลงเฉินที่ดูคล้ายยื่นออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าความจริงนั้นกลับมีเพียงนิ้วกลางและนิ้วนางเท่านั้น ที่คอยช้อนใต้แก้วชา นี่เป็นสิ่งที่มีเพียงชาวยุทธ์เท่านั้นที่จะกระทำ เป็นวิธีการรินน้ำชาที่ใช้สำหรับแสดงความคารวะต่อผู้ที่ให้ความเคารพในแบบหนึ่ง
วิธีการคารวะด้วยชาเช่นนี้ แม้ส่วนมากจะกระทำกันอย่างแพร่หลาย แต่ในผู้ฝึกยุทธ์นั้นกลับน้อยนักที่จะทราบได้ ทว่าหลิงหวินจื่อกับถู่ฟางต่างก็ทราบกันเป็นอย่างดี
“เด็กเอ๋ย เจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็มีแต่จะทำให้พวกเราต้องเกิดความอับอายขึ้นมาเท่านั้น พวกเราต่างก็จำต้องปฏิบัติไปตามกฎของหมู่ตึก อย่างไรเสียก็ไม่อาจที่จะเปิดช่องน้อยให้เจ้าได้หรอกนะ” ถู่ฟางส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา
เมื่อทั้งสองดื่มชาหมดจอก หลงเฉินก็รินน้ำชาเติมเข้าไปจนเต็มอีกรอบ ขณะเดียวกันก็รินน้ำชาในแก้วของตนเองด้วย เขาหัวเราะแล้วกล่าว
“ถึงแม้จะมิได้มีโอกาสคลุกคลีรับใช้ใกล้ชิดกับท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านมากนัก แต่ศิษย์เองก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรักความเมตตาจากท่านทั้งสอง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” หลงเฉินกล่าว
ทั้งสองคนต่างก็เป็นบุคคลที่สูงส่ง ยิ่งหลิงหวินจื่อนั้นเป็นถึงเจ้าสำนักผู้ทรงคุณค่าผู้หนึ่ง แต่ทว่าหลงเฉินกลับรู้สึกได้ว่าตัวตนแท้จริงของพวกเขา หาได้ทะนงตนว่าสูงส่งแต่อย่างใด นี่เองจึงทำให้ผู้คนเคารพนับถือได้มากมาย
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเอาแต่กล่าววาจาว่ากระทำการตามกฎระเบียบ แต่ว่าทั้งสองก็แอบคอยให้การช่วยเหลือ ชี้แนะเขา หลงเฉินจึงสัมผัสได้ถึงความดูแลที่ทั้งสองคนมีต่อตนเอง
หลิงหวินจื่อหัวเราะเสียงดังออกมายกใหญ่ เขากล่าวตอบกลับว่า “เจ้าหนู เจ้าน่าสนใจนัก มีความเป็นตัวของตัวเองดี ข้าไม่แปลกใจเลยที่ศิษย์มากมายเหล่านั้น ยอมรับนับถือเจ้าจนหมดใจ ถึงเพียงนี้ แต่ทว่าวาจาของเจ้านั้น ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดอยู่บ้างนะ”
“อย่างไรหรือ ? ” หลงเฉิน เมื่อได้ยินหลิงหวินจื่อกล่าวประโยคสุดท้ายออกมา ก็รู้สึกงุนงง จึงเอ่ยถาม
“ถู่ฟาง เจ้าพูดก็แล้วกัน”
หลิงหวินจื่อ ยกจอกชาขึ้นมาจิบเบาๆอีกคำหนึ่ง แล้วนิ่งเงียบ ถึงแม้ใบหน้าของหลิงหวินจื่อจะเปี่ยมไปด้วยความสงบเยือกเย็น ทว่าหลงเฉินก็ทันได้เห็นว่า เส้นเลือดบนหลังมือของหลิงหวินจื่อกระตุกขึ้นมาคราหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆสงบลงมา
ถ้าหากเป็นอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นมาของคนอื่นๆโดยทั่วไป หลงเฉินย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว แต่ว่าหลิงหวินจื่อนั้นเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า ร่างกายที่สอดผสานเข้ากับพลังแห่งฟ้าดินไปแล้ว แม้แต่เส้นขนทุกเส้นตามร่างกาย รวมไปจนถึงกล้ามเนื้อก็ยังสามารถควบคุมได้จนถึงระดับที่สูงสุด แน่นอนว่าย่อมต้องไม่สมควรที่จะมีเรื่องเช่นนี้ปรากฏให้ได้เห็น
กระนั้นด้วยสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นมานี้ ก็เป็นการบ่งบอกถึงจิตใจในเวลานี้ของหลิงหวินจื่อ นี่อาจถือได้ว่าเป็นสภาวะที่พิเศษแบบหนึ่ง ด้วยสภาวะรูปแบบนี้ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า ท่านเจ้าสำนักหลิงหวินจื่อ กำลังเดือดดาลอยู่
ใช้เพียงกระบี่เดียวในการสังหารสุดยอดฝีมือของฝ่ายอธรรม อีกหนึ่งกระบี่ทำลายประตูมิติ จิตใจที่อยู่ในภาวะสงบถึงที่สุด และไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้
ทว่ายอดฝีมือแห่งยุคเช่นนี้ถึงกับเดือดดานขึ้นมาได้ หลงเฉินจึงเกิดอาการงุนงงถึงที่สุด และไม่อาจจะเข้าใจได้
ถู่ฟางพยักหน้ารับแล้วหันไปกล่าวกับหลงเฉินว่า “ศึกครั้งนี้ที่เจ้าได้สังหารผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นไป ด้วยพลังสติปัญญาและพลังการต่อสู้ของเจ้า พวกเราจึงได้ยื่นคำขอสวัสดิการของศิษย์ระดับชั้นเลิศให้แก่เจ้า”
“ศิษย์ระดับชั้นเลิศ ? ” หลงเฉินอุทานอย่างตกตะลึง
“มิผิด ก็คือศิษย์ระดับชั้นเลิศ โดยส่วนมากแล้วบุคคลที่จะถูกตัดสินให้เป็นศิษย์ระดับชั้นเลิศได้นั้นจำเป็นจะต้องผ่านเงื่อนไขของการเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตให้ได้ก่อน ” ถู่ฟางกล่าวอธิบาย
“แต่ว่าศิษย์ไม่แม้แต่จะ ‘สามารถ’ เป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตได้เลยด้วยซ้ำ” หลงเฉินเหยียดยิ้มบาง แล้วกล่าวด้วยความขมขื่น
เขาที่แม้แต่เส้นรากปราณก็ยังไม่มี แล้วจะเอาอะไรไปเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตกัน เรื่องนี้นั้นถือว่าเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งของหลงเฉิน ยิ่งกับเจ้าคนชั่วที่ขโมยเส้นรากปราณของตนเองไป แทบอยากจะจับมานั่งฟังเขาด่าทอซักครึ่งค่อนวัน
ถู่ฟางกล่าว “เจ้าจะใช่ผู้อยู่เหนือขอบเขตหรือไม่หาได้สำคัญ ด้วยพลังการต่อสู้ของเจ้าที่ได้เห็นกันแล้วนั้น ย่อมไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากผู้อยู่เหนือขอบเขตแม้แต่น้อย”
ถึงแม้จะเอ่ยวาจาออกมาเพียงเท่านั้น แต่จิตใจนึกคิดด้วยว่า : ผู้อยู่เหนือขอบเขตถือเป็นอะไรได้ ถ้าหากเจ้าไม่ตาย ผู้อยู่เหนือขอบเขตเหล่านั้น แม้แต่เป็นคนขัดรองเท้าให้เจ้าก็ยังไม่คู่ควร
“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าที่ได้ฆ่าสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตมาแล้ว และยังถึงขั้นสังหารผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูกแปดบวงสรวงของฝ่ายอธรรมลงไปได้อีก ท้ายที่สุดยังถึงกับตัดขาของศิษย์ระดับชั้นเลิศของฝ่ายนั้นไปได้อีกด้วย เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงพลังของเจ้าได้แล้ว”
“หยินหลอจื่อ(เจ้าลา)นั้นหรือ เอ่อ..ไม่สิ หยินหลอผู้นั้นก็เป็นศิษย์ระดับชั้นเลิศอย่างงั้นหรือ ? ” หลงเฉินอดที่จะตกใจไม่ได้
“มิผิด ในยามที่หยินหลอพึ่งจะถือกำเนิดเป็นทารก ก็ได้ถูกปลุกพลังจากต้นตระกูลขึ้นมาแล้ว เมื่อยามที่อายุได้เพียงห้าขวบพลังจากต้นตระกูลก็เต็มเปี่ยมไปทั่วร่างแล้ว จนถึงขั้นที่จะชักนำพลังอันประหลาดแห่งฟ้าดิน มาคอยเลี้ยงดูเขาได้ เขาจึงได้อยู่ในสถานนะศิษย์ระดับชั้นเลิศแต่ตอนนั้น” ถู่ฟางถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว
ชื่อเสียงของหยินหลอนั้นถือได้ว่าโด่งดังเป็นที่โจษจันยิ่งนัก ในการศึกครั้งนี้ เพื่อให้สามารถต่อกรกับหยินหลอได้ พวกเขาจึงทำการร้องขอไปยังสาขาหลัก เพื่อให้ส่งศิษย์ระดับชั้นเลิศมาเพื่อสนับสนุนได้ในการต่อสู้กับหยินหลอ
ถึงอย่างไรหมู่ตึกพลิกสวรรค์ของหลิงหวินจื่อก็ถือได้ว่าเป็นหมู่ตึกที่รั้งท้ายอยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยแปด หรือก็คือเป็นอันดับที่โหล่นั้นเอง ในด้านพลังย่อมไม่อาจที่จะเทียบกับหมู่ตึกอื่นๆได้
และหมู่ตึกอันดับต้นๆ ต่างก็เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ กระนั้นก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้อื่นยินยอมออกหน้าได้ง่ายๆ
ด้านสาขาหลักนั้น ถึงอย่างไรก็ยังไตร่ตรองได้ว่าถ้าหากไม่มีศิษย์ระดับชั้นเลิศมาช่วยในการศึกนี้ ก็คงจะทำให้หมู่ตึกที่หนึ่งร้อยแปดได้รับความเสียหายหนักได้ จึงได้ส่งศิษย์ระดับชั้นเลิศของหมู่ตึกที่หนึ่งมาคนหนึ่งเพื่อให้การสนับสนุน
ทั้งที่หมู่ตึกที่หนึ่งนั้น ถือได้ว่าเป็นหมู่ตึกที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ทั้งยังมีผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศถึงสามคน แต่กลับส่งมาแค่คนเดียวเพื่อช่วยเหลือเท่านั้น
แต่ว่าที่ทำให้ถู่ฟางรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างจริงจังก็คือ ลูกศิษย์ผู้นั้นมาถึงช้ากว่ากำหนดนานถึงครึ่งค่อนเดือน และยกเหตุผลเพียงเพราะว่าหลงทาง มาเป็นข้ออ้างในการมาสายนั้น
รอคอยจนเขามาถึง การต่อสู้ก็ได้จบสิ้นลงไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้หลิงหวินจื่อมีโทสะยกใหญ่ จนถึงกับนำเรื่องของศิษย์ผู้นั้นไปแจ้งต่อเบื้องสูงของหมู่ตึกสาขาหลักในทันที
ทว่าเนื่องด้วยศิษย์ผู้นั้นเป็นศิษย์ระดับชั้นเลิศของหมู่ตึกที่หนึ่ง ก็นับว่ามีความสำคัญกับหมู่ตึก ดังนั้นก็ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อเบื้องสูงของหมู่ตึกอย่างแน่แท้ จึงทำให้เรื่องนี้ถูกปล่อยปละละเลยไปเสีย
เรื่องนี้นั้นยังคงทำให้ทั้งหลิงหวินจื่อและถู่ฟางรู้สึกขุ่นเคืองอยู่จนถึงตอนนี้ นี่ถือว่าเป็นการรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว การมาถึงสนามรบช้า ย่อมส่งผลกระทบกับชีวิตของศิษย์มากมายนับไม่ถ้วน เป็นเรื่องของความเป็นความตายของคนมากมาย แต่การกระทำเช่นนี้กลับถูกปล่อยให้เลยตามเลยเสียเช่นนี้ไปเสียได้
การต่อสู้ในครั้งนี้ ดีที่สวรรค์ยังเมตตาอยู่ การปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันของม่อเนี่ยน ทั้งยังผลงานในการต่อสู้ที่น่าตกใจของฉู่เหยา ทั้งความแข็งแกร่งของอาหมาน อีกทั้งยังมีคนที่พร้อมจะยอมรับความตายได้ อย่างถังหว่านเอ๋อและพวก ที่สำคัญที่สุดก็คือการมีหลงเฉินเป็นผู้นำทัพ จนทำให้สามารถต่อสู้จนได้รับชัยชนะกลับมาได้ราวปาฏิหาริย์
จะอย่างไรก็คงทำได้เพียงปล่อยเรื่องนี้ให้แล้วกันไป อีกฝ่ายมีพื้นเพที่เหนือกว่า พวกเขาเป็นถึงหมู่ตึกอันดับหนึ่ง อย่างไรเสียก็คงไม่อาจจะหาเรื่องชาวบ้านได้อยู่แล้ว อดทนปล่อยให้เลยตามเลยไปจะดีกว่า
ครั้งเมื่อถู่ฟางได้นำเอาศีรษะของศิษย์ของฝ่ายอธรรมมากมายกลับไป เพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนเป็นแต้มคะแนน แล้วก็ทำการยื่นเรื่องที่หลงเฉินเอาชนะผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูกแปดบวงสรวงได้ เพื่อหวังว่าจะยื่นคำขอให้หลงเฉินได้รับสถานะของศิษย์ระดับชั้นเลิศนั้น
ควรทราบว่าศิษย์ระดับชั้นเลิศ ไม่ว่าอยู่ในสาขาใด ก็ถือว่าเป็นการคงอยู่ในระดับไร้ผู้ต้านทานในระดับพลังเดียวกัน ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงสาขาย่อย ก็ยังต้องให้ความสำคัญ รวมไปถึงทรัพยากรในการสนับสนุนมากมายที่ต้องใช้เลี้ยงดู
ครั้งนั้นถู่ฟางพึ่งจะยื่นคำขอไป ก็ถูกผู้อาวุโสผู้หนึ่งของสาขาหลักตีกลับในทันที โดยให้เหตุผลว่า : เป็นการปั้นน้ำเป็นตัว สร้างความเท็จขึ้นมา
ถู่ฟางในเวลานั้นจึงมีโทสะจนแทบทนไม่ไหว เขาย้อนกลับมาที่หมู่ตึกในทันที แล้วนำเอาหยกระลึกภาพจากหลิงหวินจื่อกลับไป เป็นหลักฐานแสดงการต่อสู้ เพื่อยืนยันความจริงในการสู้ศึกครั้งนี้
ครั้งนั้นเมื่อถู่ฟางกลับไปที่สาขาหลักอีกครั้ง และมอบหยกระลึกภาพไป ผู้อาวุโสผู้นั้นเมื่อตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงก็กล่าวอะไรไม่ออก
เพียงแต่บอกต่อถู่ฟางให้เขาอยู่รอก่อน เรื่องเช่นนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ จึงจำเป็นที่จะต้องรายงานขึ้นไป เพื่อให้เบื้องบนเป็นผู้ตัดสิน
ถู่ฟางในยามนั้นรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก หากเป็นไปตามปกติ จะต้องสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วจึงจะถูกต้อง
ทว่าก็เข้าใจว่าเรื่องนี้มีความพิเศษอยู่ ถึงอย่างไรหลงเฉินก็ยังเป็นศิษย์ที่มีพลังเพียงแค่ขั้นก่อโลหิตสูงสุดคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังมิได้เป็นผู้อยู่เหนือขอบเขต ผู้อื่นอาจจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ จึงต้องมีการหารือกันก่อน หาได้เป็นเรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด
ทว่าถู่ฟางรอคอยจนถึงวันที่สอง ผู้อาวุโสผู้นั้นกลับมาพบ และกล่าวเพียงคำว่าขออภัยด้วย แผ่นป้ายตำแหน่งของศิษย์ระดับชั้นเลิศ ในรอบนี้ได้ถูกแจกจ่ายไปจนหมดแล้ว ในเวลานี้ไม่มีทรัพยากรมากเพียงพอมาเพื่อแจกจ่าย ดังนั้น จึงได้แต่เพียงกล่าวแค่ว่าขออภัยเท่านั้น
ในตอนนั้นถู่ฟางก็รู้สึกมีโทสะสุมแน่นอยู่ในอก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการจงใจที่จะเล่นแง่แล้ว หมู่ตึกสืบทอดกันมาหลายสิบหมื่นปีแล้ว มีหรือที่จะขาดแคลนทรัพยากรให้แก่ผู้มีพรสวรรค์เพียงแค่คนเดียว ?
ทว่าถู่ฟางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งตนเองก็ไม่อาจที่จะเข้าพบเบื้องสูงได้อีก จึงได้แต่เพียงระงับโทสะที่สุมอยู่ในอก แล้วก็นำเอาทรัพยากรที่แลกมาได้กลับไปยังหมู่ตึก
ทว่าในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะจากมา เขาก็ได้ยินข่าวลือว่า หมู่ตึกที่หนึ่งเองก็มีการกำเนิดของศิษย์ระดับชั้นเลิศเพิ่มขึ้นมาอีกคน
นี่ได้ทำให้ถู่ฟางต้องได้แต่ทอแววตาโง่งม มิใช่ว่ามีจำนวนมากเกินไปแล้วหรอกหรือ ? ที่แท้ศิษย์ระดับชั้นเลิศนั้นจะมีเพียงแต่ฝ่ายพวกเจ้าที่มีได้อย่างงั้นหรือ ?
ทว่ารอบนี้ถู่ฟางเกิดความคิดขึ้นมาได้ จึงมิได้ไปสอบถามเอาความจากผู้อาวุโสผู้นั้น เพียงแต่ลอบสืบข้อมูลอยู่พักหนึ่ง เราจึงได้ทราบว่า ผู้อาวุโสผู้นั้นที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศเพื่อมอบตำแหน่งศิษย์ระดับชั้นเลิศให้ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเจ้าสำนักหมู่ตึกที่หนึ่ง
ถู่ฟางจึงค่อยเข้าใจเหตุผล ไม่แปลกใจเลยที่การยื่นคำขอของหลงเฉินนั้นไม่ผ่าน เพราะเรื่องของศิษย์ระดับชั้นเลิศของหมู่ตึกที่หนึ่ง ได้ทำการรายงานให้แก่พวกเขาไปก่อนหน้าแล้ว จึงเป็นการกระตุ้นโทสะของหมู่ตึกที่หนึ่งเข้า
หลังจากที่คิดเรื่องนี้ได้แล้ว ถู่ฟางก็ทราบว่าหนนี้ไม่มีความหวังอีกแล้ว จึงได้แต่เพียงสะบัดหน้ากลับมาเท่านั้น
หลังจากที่ได้ฟังถู่ฟางบรรยายจบ บนใบหน้าหลงเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืน โค้งกายทำการคารวะต่อหลิงหวินจื่อกับถู่ฟาง