ทันใดนั้นดวงตาคู่งามของฉู่เหยา ก็ฉายแววซุกซนออกมา “เจ้าไม่ใช่ว่า อยากรู้หรอกหรือว่า เพราะเหตุใดข้ากับหว่านเอ๋อเจี่ยเจีย ถึงต่างก็เรียกอีกฝ่ายว่าเจี่ยเจีย ? ”
“นั่นน่ะสิ เพราะเหตุใด” หลงเฉินกล่าว
“หึหึ ความจริงแล้วพวกเรานั้นมีวาสนาต้องกันอย่างมาก พวกเราเกิดวันเดือนปีเดียวกัน และที่ไม่อยากจะเชื่อที่สุดก็คือ พวกเราต่างก็เกิดในค่ำคืนยามสามเช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงไม่รู้ว่า ที่แท้ผู้ใดโตกว่ากัน ต่างฝ่ายจึงต่างเรียกขานอีกฝ่ายว่าเจี่ยเจีย เป็นยังไง คิดไม่ถึงละสิ” ฉู่เหยาจับไปที่มือของถังหว่านเอ๋อ พร้อมกับหันไปปรายตาให้หลงเฉินแล้วกล่าว
หลงเฉินอึ้งจนอ้าปากค้าง บนโลกใบนี้มีเรื่องที่บังเอิญได้มากถึงเพียงนี้เชียวอย่างนั้นหรือ เกิดวันเดือนปีเดียวกันก็ยังถือว่าไม่แปลกนัก แต่ถึงกับเกิดในช่วงเวลาเดียวกันได้เช่นนี้ ก็บังเอิญมากเกินไปแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้าตกใจของหลงเฉิน ฉู่เหยากับถังหว่านเอ๋อพร้อมใจกันยิ้มออกมา ถึงแม้ทั้งสองคนจะรู้จักหลงเฉินมาเป็นเวลานาน แต่ว่าสีหน้าอึ้งอย่างหนักเช่นนี้ของหลงเฉิน น้อยนักที่จะได้เห็น
ทำให้หลงเฉินตกใจเช่นนี้ได้ สองสาวก็รู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก ก้มหน้าหัวเราะพลางเหลือบมองหลงเฉินพลาง ดวงตาคู่งามเต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ
“เอาเถอะ ข้ายอมแล้ว ข้าตกใจขึ้นมาจริงๆแล้ว” หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจแล้วกล่าว โลกใบนี้บ้าบอมากไปแล้ว
“หึหึ ดังนั้นระหว่างที่ข้าไม่อยู่ หว่านเอ๋อเจี่ยเจียจะเป็นคนดูแลเจ้าแทนข้าเอง เจ้าห้ามรังหว่านเอ๋อเจี่ยเจียรู้ไหม” ฉู่เหยาสูดลมหายใจยาวๆแล้วกล่าว
“ให้นางดูแลข้าอย่างงั้นหรือ ? เช่นนั้นข้าก็ไม่แน่ใจแล้วว่าจะยังสามารถมีชีวิตรอดเพื่อเข้าไปในขอบเขตแดนลับนพเก้าได้หรือเปล่า” หลงเฉินกล่าวออกมา เขาแสดงสีหน้ากังวล มองไปที่ถังหว่านเอ๋อ
“หลงเฉิน เจ้าไม่คิดที่จะเชื่อใจผู้อื่นเลยอย่างงั้นหรือ ทั้งที่ข้าก็เป็นคนที่รอบคอบมากขนาดนี้แท้ๆ” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นด้วยท่าทางคล้ายกับจะร่ำไห้ออกมา
“หลงเฉินอย่าได้รังแกหว่านเอ๋อเจี่ยเจีย รีบขอโทษนางเร็วเข้า” ฉู่เหยาเอ่ยดุ
“ก็ได้ก็ได้ ข้าผิดไปแล้ว แม่นางหว่านเอ๋อเป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์มากศีลธรรม มีจิตใจโอบอ้อมอารี เป็นข้าเองที่ไม่สมควรเกิดความสงสัยในนิสัยของคุณหนูหว่านเอ๋อ ! ” ด้วยความหน้าด้านหน้าทนระดับหลงเฉิน จึงสามารถกล่าวประโยคเช่นนี้ออกมาได้
ถังหว่านเอ๋อหันกลับมาด้วยความยินดี สบเข้ากับสายตาที่อยู่ตรงข้าม ดวงคู่งามกระจ่างใส เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ จนทำให้หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะใจเต้นตูมตาม
คนหนึ่งนั้นเป็นคนอบอุ่น อีกหนึ่งนั้นแสร้งเป็นคนอบอุ่น แต่ว่าต่างก็ทำให้เกิดความลุ่มหลงได้ หากว่าสามารถแต่งกับหญิงงามทั้งสองนี้ได้ ชีวิตที่เกิดมานี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ทว่าวาจาของฉู่เหยานั้น หาได้สื่อความหมายชัดเจน ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วพวกนางทั้งสองหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ว่า หากคิดจะทำความเข้าใจจิตใจของสตรีทั้งสองนางนี้ให้ถ่องแท้ ก็คงจะยากเย็นยิ่งกว่าการสำเร็จเป็นเซียนเสียอีก
ดังนั้นหลงเฉินจึงเลือกจะแสดงสีหน้านิ่งเฉยเสีย นั่นเพราะเป็นความรู้สึกที่ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ หากกลายเป็นว่าแสดงสีหน้าผิดขึ้นมา ก็คงจะต้องเกิดอาการกระอักกระอ่วนเป็นแน่
ถ้าหากเพียงแต่รู้สึกกระอักกระอ่วนก็ยังแล้วกันไป ที่แล้วร้ายที่สุดคือปล่อยให้หลุดมือขึ้นมา จนกลายเป็นทำร้ายจิตใจของทั้งสองไปในเวลาเดียวกัน ก็คงจะต้องจบสิ้นกันแล้ว ดังนั้นเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
คนก็เหมือนกับดอกไม้ที่มีเสน่ห์ เมื่อมองไปที่ฉู่เหยาและถังหว่านเอ๋อ หลงเฉินก็นึกถึงใบหน้าของหญิงสาวอีกคนหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มีเส้นผมยาวพริ้วสลวย ผิวพรรณขาวผ่องดุจหยกเนื้อดี งดงามคล้ายกับนางเซียนลงมาจุติ ไม่ทราบว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วนะ
“หลงเฉิน เจ้ากำลังคิดถึงม่งฉีเจี่ยเจียอย่างงั้นหรือ ? ” ฉู่เหยากล่าวขึ้นมาแผ่วเบา อยู่ใกล้ๆ
หลงเฉินสะดุ้งขึ้นมา ยังทันจะคิดใคร่ควรถี่ถ้วน จึงเผลอพยักหน้ารับ คิดที่จะโกหกก็ไม่ทันกาลแล้ว ถึงแม้ว่าจะช่วยไม่ได้อยู่บ้าง ทว่าเขาก็ยังคงต้องยอมรับ ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ม่งฉียังอยู่ในใจของเขา และคล้ายว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดเลยทีเดียว
ว่ากันตามเหตุผล ม่งฉีกับเขารู้จักกันในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด แต่กลับสลักความคิดคำนึงถึงเอาไว้ได้อย่างลึกล้ำที่สุด ก่อนหน้านี้หลงเฉินยังคิดว่า ตนเองนั้นเพียงเลื่อมใสในความงามของม่งฉีเท่านั้น
ทว่าเมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่านไป เขากลับรู้สึกว่า ความรู้สึกของเขาที่มีต่อม่งฉีไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น เขารู้สึกคล้ายกับว่าเมื่อหลายชาติภพก่อนหน้านี้ เคยรู้จักกับม่งฉีมาก่อน
ถึงแม้ความคิดเช่นนี้จะดูไร้สาระไปบ้าง แต่ว่ามีสิ่งที่หลงเฉินแน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง นั้นคือมีจิตวิญญาณที่ใกล้ชิดชนิดหนึ่งเกิดขึ้นมาอย่างลึกล้ำ
“ม่งฉีเป็นผู้ใดกัน ? ” ถังหว่านเอ๋อถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ฉู่เหยาอมยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “ทุกคนต่างก็กินกันอิ่มแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ เดินไปพรางสนทนาไปพราง”
กล่าวจบฉู่เหยาก็ดึงถังหว่านเอ๋อเดินออกไปนำหน้า ในเวลานี้อาหมานกินจนอิ่มหน่ำแล้ว สัตว์มายาระดับหนึ่งตัวหนึ่ง ถึงแม้จะไม่อาจทำให้เขาอิ่มได้อย่างแท้จริง ทว่าก็พอที่จะทำให้เขามีแรงที่จะเดินทางได้ ไม่จำเป็นต้องกินพรางเดินไปพรางแล้ว
ใช้เวลาเดินไปหนึ่งวันเต็ม ก็มาถึงปลายทางของเขาป่าสวรรค์ เขาป่าสวรรค์นี้รูปร่างคล้ายกับดาบยาวเล่มหนึ่งปักอยู่บนพื้น หมู่ตึกพลิกสวรรค์กับตำหนักป่าสวรรค์นั้นตั้งอยู่ด้านตรงกันข้ามกันของเขาป่าสวรรค์ โดยมียอดเขาคั่นกลาง
ถ้าหากนับระยะทางกันตามความจริง ทั้งสองคนต่างก็เรียกได้ว่าห่างไกลกันมากนับหมื่นลี้ นั่นเพราะว่าเขาป่าสวรรค์ที่มีความสูงเสียดฟ้า ยอดเขาอยู่เหนือเมฆา จึงแทบไม่อาจที่จะไปมาหาสู่กันได้โดยง่าย
ระยะห่างระหว่างทั้งสองสำนัก กินระยะทางหลายสิบหมื่นลี้ สิ่งนี้เองทำให้หลงเฉินและฉู่เหยาอับจนปัญญาเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่เหยาได้ยื่นมือเข้ามาจัดแจงแขนเสื้อของหลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามแดงก่ำ ขอบตาฉ่ำน้ำ ถึงแม้จะทราบดีว่าเป็นการจากกันเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่ว่าก็ยังคงไม่อาจหักห้ามใจ ไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมาได้เลย
หลงเฉินใช้สองมือดึงฉู่เหยาเข้ามาหา สวมกอดนาง และปล่อยให้สะอึกสะอื้นอยู่กับอ้อมอกเขา นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ ในเวลานี้
เวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนไม่อาจทราบ ฉู่เหยาค่อยๆขืนตัวออกจากอ้อมกอดของหลงเฉิน จากนั้นก็สวมกอดถังหว่านเอ๋อ ถังหว่านเอ๋อเองในเวลานี้ก็มีน้ำตาคลอ สวมกอดฉู่เหยาแน่นไม่ยอมปล่อย
สำหรับถังหว่านเอ๋อ ฉู่เหยาถือเป็นคนแรกที่นางคบหาเป็นเพื่อนรู้ใจ ระหว่างทั้งสองคนถึงแม้ว่าจะไปมาหาสู่กันแค่ช่วงสั้นๆ แต่ว่าทั้งสองก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้เป็นพี่สาวน้องสาวกันมาตั้งแต่แรกแล้ว
“ถนอมตัวด้วย”
ท้ายที่สุดฉู่เหยาก็ต้องเดินแยกออกไป ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าจากการต้องแยกจาก นั่นทำให้หลงเฉินรู้สึกเหมือนมีคนตอกเข็มลงในหัวใจเขา
ภาพแผ่นหลังของฉู่เหยาที่ค่อยๆห่างออกไป ทำให้หลงเฉินสาบานต่อตนเองเอาไว้ว่าจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นให้ได้ จะไม่ยอมแบกรับความรู้สึกที่ต้องจากลาโดยที่ทำอันใดไม่ได้เช่นนี้อีกต่อไป
“ฉู่เหยาเจี่ยเจียไปแล้ว แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกข้าจะดูแลเจ้าเอง วางใจเถอะ” ถังหว่านเอ๋อกล่าวปลอบโยนออกมา เมื่อเห็นว่าหลงเฉินยังคงไม่ร่าเริง
“เจ้าจะดูแลข้า! ว่ากันตามตรงเลยนะ ข้ากลับรู้สึกไม่ปลอดภัยซักเท่าไหร่เลย” หลงเฉินกล่าวพรางถอนหายใจ
“ตัวบัดซบ! เจ้าคิดจะหาที่ตายหรือยังไง”
ทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบ ถังหว่านเอ๋อก็คว้าจับคอเสื้อของหลงเฉินเอาไว้แล้วผลักลงกับพื้น แล้วกดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดูคล้ายกับเสือดาวสาวที่ตะปบเหยื่ออย่างคล่องแคล่วว่องไว
“หลงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ เจี่ยเจียข้าอดทนกับเจ้ามานานมากเกินไปแล้ว ตัวบัดซบอย่างเจ้า ออกไปโลดแล่นภายนอกคราหนึ่งก็คิดว่าพลิกฟ้าทลายสวรรค์ได้แล้วสินะ
ตอนนี้เมื่อปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาแล้ว จึงไม่เห็นข้าผู้นี้อยู่ในสายตาแล้วหรือไง ถ้าหากไม่เห็นแก่เหยาเอ๋อเจี่ยเจีย ข้าคงจะจัดการกับเจ้าไปตั้งแต่แรกไปแล้ว”
อาหมานกับเสี่ยวเสว่ยที่อยู่ทางด้านข้างได้แต่มองดูทั้งสองคนอย่างโง่งม ถังหว่านเอ๋อที่เป็นคนอบอุ่นมาตลอดทาง เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นแม่เสือสาวไปเสียแล้ว พวกเขายืนมองอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะอาหมานที่ถึงขั้นทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
“ที่แท้นางก็แสร้งทำเป็นคนอบอุ่น”
ในที่สุดหลงเฉินก็แน่ใจในความเป็นจริงข้อนี้ ในตอนแรกยังเผลอยังคิดว่าถังหว่านเอ๋อได้รับแรงบัลดานใจมาจากฉู่เหยา จนทำให้มีนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ตอนนี้เขาแน่ใจแล้ว
จนอยากจะกล่าวประโยคหนึ่งออกมา เจ้าสามารถที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบได้ แต่ว่าเจ้าจงอย่าได้คิดเพ้อเจ้อว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงหญิงสาวนางหนึ่งได้ เช่นนั้นมีแต่จะทำให้เจ้าเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งเสียเอง
ทว่าหลงเฉินกลับชื่นชอบถังหว่านเอ๋อที่เป็นเช่นนี้ เพราะถังหว่านเอ๋อที่เป็นเช่นนี้เท่านั้น จึงจะถือเป็นตัวของถังหว่านเอ๋ออย่างแท้จริง
“เจ้าหัวเราะอะไรกัน ? ” ถังหว่านเอ๋อกล่าวออกมาด้วยโทสะ
ทว่าเมื่อกล่าวจบ นางก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่า ร่างกายของนางกำลังนาบอยู่บนตัวของหลงเฉิน ร่างกายที่สัมผัสกันอยู่ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะอุ่นขึ้นเล็ก ถังหว่านเอ๋อรู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจหลงเฉิน ได้กลิ่นกายบุรุษจากตัวของเขาอย่างชัดเจน
เมื่อรู้ตัวเช่นนั้น ใบหน้าของถังหว่านเอ๋อก็แดงก่ำด้วยความเขินอาย ทว่าก็ยังคงพยายามกดหลงเฉินอยู่กับพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ยินยอมที่จะปล่อยมือพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “บอกมา เจ้าทราบความผิดแล้วหรือไม่ ? ”
“ข้าผิดไปแล้ว”หลงเฉินกล่าว
“แล้วผิดที่ใดเล่า ? ”
“ไม่ว่าจุดใดก็ผิดไปหมดนั่นแหละ”หลงเฉินกล่าว
“เอาให้ตรงประเด็น”
“ข้อผิดพลาดของข้ามีมากจนเกินไป แต่ว่าข้าก็ทราบดี ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าก็คือการที่ไม่อาจคลี่คลายความงดงามของคุณหนูหว่านเอ๋อได้เลย
ความจริงแล้วคุณหนูหว่านเอ๋อถือได้ว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมผู้หนึ่งเลยทีเดียว เป็นคนที่เฉลียวฉลาดและอบอุ่น ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยมารยาทที่ดีงาม” หลงเฉินปากเอ่ยวาจา มือก็ได้ล้วงเอาแท่งไม้สั้นแท่งหนึ่งออกมา วางอยู่ในระดับเสมออก ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า แสดงท่าทีที่ประหลาดยิ่งนัก
ถังหว่านเอ๋อที่กำลังนึกขำ เมื่อได้ฟังคำพูดยกยอหลงเฉิน แต่ว่าเมื่อได้พบเห็นความเคลื่อนไหวในตอนท้ายของหลงเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ? ”
“ข้ากำลังทำสายล่อฟ้าอยู่ไงเล่า” หลงเฉินปั้นหน้าจริงจังมองไปบนของท้องฟ้าแล้วกล่าวออกมา
ถังหว่านเอ๋อ ถึงกับงุนงงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่อาจเข้าใจความหมายของหลงเฉินได้ เงยหน้ามองไปบนผืนฟ้าก็พบว่าบนฟ้านั้นไร้ซึ่งเมฆหมอก จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าวว่า
“เจ้าเล่นบ้าอะไร ? ”
“ได้ยินคนเฒ่าคนแก่กล่าวกันว่า หากว่ากล่าววาจาโป้ปด จะต้องถูกสวรรค์ส่งอัสนีมาลงทัณฑ์ ข้าต้องทำสายล่อฟ้าป้องกันไว้ก่อน” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยใบหน้าจริงจัง
ถังหว่านเอ๋อที่งุนงงอย่างหนักในตอนแรก เมื่อได้ฟัง ก็เข้าใจขึ้นมาทันที จึงก็อดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะ และตะโกนอย่างโกรธเกี้ยว
“ตัวบัดซบ! เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว”
หลงเฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง พลิกกายเล็กน้อย ก็หลบหนีออกจากตัวถังหว่านเอ๋อได้ และก้าวเท้าวิ่งออกไปทันที
“หยุดนะ ข้าบอกให้เจ้าหยุด”
ถังหว่านเอ๋อลุกขึ้นวิ่งไล่ตาม อาหมานกับเสี่ยวเสว่ยมองตามคนทั้งสองอยู่เงียบๆ และทำได้แต่เพียงติดตามพวกเขาไป
……
เมื่อหลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อกลับมาถึงหมู่ตึก ทั่วทั้งหมู่ตึกก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ใหม่ หรือว่าศิษย์เก่า ทุกคนต่างก็ออกมาต้อนรับพวกเขา
การต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรมในครั้งนี้ ได้ทำให้หมู่ตึกพลิกสวรรค์เกิดความเปลี่ยนแปลงดุจพายุโหมกระหน่ำ หลงเฉินที่นำพาศิษย์ฝ่ายธรรมะ ฆ่าล้างบางศิษย์ของฝ่ายอธรรมที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าได้สำเร็จ นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการสร้างตำนานบทหนึ่งขึ้นมาเลยทีเดียว
ใช้กำลังของตัวเองเพียงคนเดียว ทำการสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตไปได้คนหนึ่ง และยังเอาชนะผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูกแปดบวงสรวงจากฝ่ายอธรรมอีก ยิ่งกว่านั้นยังถึงกับสามารถตัดขาข้างหนึ่งของผู้มีพรสวรรค์ที่เล่าลือกันว่าหาได้ยากในรอบพันปีอีก
หลงเฉินจึงถือว่าเป็นบุคคลในระดับตำนานเลยก็ว่าได้ มีบุคคลระดับตำนานเช่นนี้อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขา ทั้งยังเป็นผู้ที่คอยชี้นำพวกเขา จนสามารถบุกเบิกการต่อสู้ที่แท้จริงขึ้นมาได้
เมื่อผ่านพ้นศึกในครั้งนี้มาได้ ศิษย์ของทางหมู่ตึก ต่างก็ได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกกันว่าความแข็งแกร่งอย่างแท้จริงนั้นเป็นเช่นไร และอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่แท้จริง
ในสนามรบ หลงเฉินนำพาพวกพ้องสู้ไปข้างหน้า อย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว ฝ่าฟันความเป็นความตาย มุ่งหน้าขีดเขียนเข่นฆ่าศิษย์ของฝ่ายอธรรม วาดไว้เป็นประวัติศาสตร์ จนไม่อาจที่จะลบเลือนไปจากจิตใจของทุกผู้คนไปได้
เยี่ยจื่อชิว、กู่หยาง、ซ่งหมิงแหย่นและเหล่าพวกศิษย์สายตรงมากมาย ต่างก้าวเข้ามาหาหลงเฉิน ศิษย์พี่ว่านนำพาเหล่าผู้คุมกฎเดินเข้ามาทักทายเขา
เมื่อได้พบศิษย์พี่ว่าน หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ขอบเขตปรือกระดูก”
บนกายของศิษย์พี่ว่านในเวลานี้เปี่ยมไปด้วยพลังสภาวะ แฝงเอาไว้ด้วยพลังทำลายที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ผู้ที่เข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกได้แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถที่จะปรากฏสภาวะเช่นนี้ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นพรที่มาจากเจ้าไงเล่า หลงเฉิน แค่โชคดีเท่านั้น แค่โชคดีเท่านั้น” ศิษย์พี่ว่านหัวเราะแล้วกล่าว
ศิษย์พี่ว่านเดิมทีก็อยู่ในขั้นเปลี่ยนเส้นเอ็นระดับสูงสุดอยู่แล้ว แต่แม้ด้วยคุณสมบัติอย่างศิษย์พี่ว่าน ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกสามถึงห้าปีจึงจะเพียงพอที่จะเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกได้
ยิ่งหากผ่านไปอีกสิบปี ความหวังที่จะเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกจะยิ่งเลือนลางมากขึ้น เป็นเพราะหากเข้าสู่ขอบเขตในช่วงบั้นปลายไปแล้ว พลังที่พัฒนามากขึ้นกลับจะทำให้การทะลวงพลังนั้นยากขึ้นตาม
แต่เนื่องจาก ศิษย์พี่ว่านได้รับผลลัพธ์จากการเข้าร่วมสู้ศึกครั้งใหญ่นี้ ด้วยพลังของความรู้สึกที่ยอมแลกชีวิต ลืมเลือนแม้กระทั่งความตาย ก็แทบทำให้ความหวาดกลัวและหวาดเกรงถูกลบเลือนไปจากใจโดยทั้งสิ้น และพลังนั้นเองก็ได้ทำลายสิ่งที่คอยขวางกั้นการทะลวงพลังไปได้
เมื่อกลับมาถึงหมู่ตึกได้เพียงวันที่สอง ก็สามาถสำเร็จเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกได้ ถือว่าเป็นศิษย์ระดับศิษย์พี่ภายในหมู่ตึกคนแรกที่เข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูก
“เหอะเหอะ ยินดีด้วยศิษย์พี่ว่าน มิใช่สิ ต้องยินดีกับผู้อาวุโสว่านด้วยจึงจะถูกต้อง” หลงเฉินหัวเราะเฮฮาขึ้นมาแล้วกล่าว
หากเป็นไปตามกฎระเบียบของทางหมู่ตึก ผู้คุ้มกฎหลังจากเลื่อนระดับพลังจนเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกได้ ก็จะมีสถานภาพขึ้นไปเป็นผู้อาวุโสได้ในทันที และได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกันกับระดับผู้อาวุโส
“หลงเฉิน นี่เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้าหรือ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะกลั่นแกล้งเจ้าอย่างงั้นหรือ ?” ศิษย์พี่ว่านก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วกล่าว
ทุกคนต่างพากันเข้ามาทักทายหลงเฉิน ในแววตาของทุกคนต่างก็เปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความยินดี การปรากฏตัวขึ้นของหลงเฉิน เป็นดั่งพลังที่คอยขับเคลื่อนทุกคน
บางคนแม้ไม่ได้เกิดการทะลวงพลังขึ้น แต่สภาวะบนร่างกายเมื่อแรกเริ่มที่ไม่คงที่ ก็เปลี่ยนเป็นมั่นคงมากขึ้นจนถึงขั้นพร้อมที่จะพัฒนาขึ้นไปสู่ขั้นต่อไปได้ตลอดเวลา
“หลงเฉิน แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะไปออกลุยกันอีกซักรอบดีละ ให้ตายเถอะ ครั้งที่แล้วฆ่าจนหน่ำใจ ข้าชักจะรู้สึกเสพติดมันเข้าให้แล้ว” กู่หยางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความรื่นรมย์กล่าวออกมา
หลงเฉินได้ฟังก็หัวเราะเสียงดัง กำลังคิดจะตอบกลับ แต่ทันใดนั้นก็มีผู้อาวุโสผู้หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ แล้วกล่าวต่อหลงเฉินว่า
“เจ้าสำนักตามหาตัวเจ้าอยู่”