“พี่ใหญ่ แล้วเหตุใดในตระกูลฉินตอนนี้ถึงได้ดูมีคนอยู่น้อยนัก ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถาม
“ก่อนหน้านี้ อารามโจมตีตระกูลฉินของเราหลายครั้งแต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่สำเร็จ พวกมันก็เลยเปลี่ยนเป็นส่งสารมาข่มขู่ว่าจะจัดการกับทุกคนที่ยังให้ความช่วยเหลือหรือมีความข้องเกี่ยวกับตระกูลฉินแทน ถึงตระกูลฉินที่ผนึกกำลังกันสู้จะแข็งแกร่งมากพอที่อารามจะไม่สามารถทำอะไรเราได้ แต่ถ้าหากถูกมันลอบสังหารหรือดักทำร้ายเมื่ออยู่ตัวคนเดียวก็คงไม่อาจรอด หลายคนที่กังวลเรื่องความปลอดภัยจึงพากันย้ายออกไปจากจวนและยกเลิกการติดต่อกับตระกูลฉินไปกันจนหมด”
ฉินอี้เฟยเอ่ยอธิบาย
“ท่านปู่บอกว่าผู้ที่ออกจากตระกูลฉินในยามยากคือพวกที่ไม่ได้ภักดีกับตระกูลเราแต่แรก หากพวกเขาอยากจะไปก็ปล่อยพวกเขาไป ผู้ที่ไม่มีใจจะอยู่ด้วยเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเหนี่ยวรั้ง”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ หากยึดถือว่าเป็นพวกเดียวกันแล้ว เมื่อตกอยู่ในยามยากก็ควรจะสู้ไปด้วยกัน เมื่อจะถอยหนีก็ต้องไปด้วยกัน การหนีเอาตัวรอดเพียงฝ่ายเดียวในยามวิกฤตก็ไม่สมควรถูกนับว่าเป็นพวกพ้องแล้ว แต่อย่างไรฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดโกรธเคืองคนเหล่านั้นในเรื่องนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็คงจะรักชีวิต อย่างไรพวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นแก่ความปลอดภัยของตนเป็นสำคัญ แต่นั่นก็ช่วยให้หยั่งรู้ถึงจิตใจจริงแท้ของคนหลายคนได้ ทว่าสิ่งที่น่ากังวลคือสถานการณ์โดยรวมในเวลานี้
“พวกอารามมันต่ำช้ายิ่งนัก”
เสี่ยวโร่วอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา นางไม่คิดเลยว่าขุมกำลังที่ใคร ๆ ต่างก็เกรงขามจะทำเรื่องไร้ยางอายได้ขนาดนี้
ฉินอวี้โม่เองก็โกรธมาก ตอนนี้นางเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคตตระกูลฉินคงไม่พ้นถึงคราวหายนะเป็นแน่ ไม่รู้เลยว่าเหล่าผู้ที่เคยเป็นพันธมิตรกับตระกูลฉินจะตีตัวออกหากไปอีกมากเท่าไหร่ ไหนจะมีตระกูลอื่น ๆ ทั้งที่ประกาศตัวเป็นคู่อริอย่างชัดแจ้งและพวกที่แอบแฝงอยู่ในเงามืดที่ซึ่งพร้อมจะเล่นงานพวกนางในยามที่อ่อนแออีก
ทว่าเมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่คิดว่าสิ่งที่นางควรจะทำมากที่สุดหากยังไม่สามารถกำจัดปัญหานี้ได้ก็คือหาวิธีกำราบอารามเอาไว้ก่อน ไม่ให้อีกฝ่ายลงมือทำสิ่งเลวร้ายมากไปกว่านี้
มื้อค่ำของวันนี้ทุกคนในตระกูลต่างก็มาร่วมรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้า ระหว่างมื้ออาหารฉินอวี้โม่ได้ประกาศขออภัยทุกคนอย่างเป็นทางการ เพราะเรื่องราวย่ำแย่ที่เกิดกับตระกูลในช่วงนี้นั้นมีนางเป็นสาเหตุ ดังนั้นนางก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟินรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่ได้คิดตำหนิคุณหนูสี่ของตระกูลเลยแม้แต่น้อย ผู้นำตระกูลเพียงกำชับให้นางระวังตัวให้ดี ในตอนนี้ทางอารามคงทำได้เพียงส่งกลุ่มคนลอบบุกเข้ามาเล่นงานแบบลับ ๆ เท่านั้น การจะยกพลบุกเข้ามาทำลายล้างตระกูลฉินจริง ๆ ถือเป็นเรื่องใหญ่โตที่ไม่อาจทำได้ง่าย ๆ เพราะพวกเขายังต้องเกรงใจทางจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ฉินเฟินจึงไม่เป็นกังวลในเรื่องนี้มากนัก
ฉินอวี้โม่ฟังฉินเฟินแล้วพยักหน้ารับคำเงียบ ๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ในทันทีที่ตื่นนอน ฉินอวี้โม่ก็เห็นหานโม่ฉือยืนอยู่ในลานกว้างนอกเรือน
“คุณชาย ดูเหมือนว่าคุณหนูจะยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วเดินถืออ่างหน้าล้างหน้าเข้ามาในเรือนเพื่อรอรับใช้คุณหนูของนางในยามเช้า ทว่าสาวน้อยก็มองเห็นคุณชายตระกูลหานที่ยืนรออยู่ข้างนอกเสียก่อนจึงเอ่ยทักทาย
“ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
เมื่อหานโม่ฉือเห็นอ่างน้ำที่เสี่ยวโร่วถือไว้ในมือก็รับมันมาไว้แทน
“เจ้าไปจัดเตรียมอาหารก็แล้วกัน ส่วนเรื่องปลุกนางข้าจะจัดการให้”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าแล้วเดินตรงไปยังห้องครัว ใบหน้าจิ้มลิ้มอมยิ้มซุกซนอย่างอดไม่อยู่
บุรุษน้ำแข็งเดินตรงเข้าหาห้องนอนของสตรีในหัวใจพร้อมด้วยอ่างน้ำล้างหน้า ทว่าในตอนที่กำลังจะเคาะประตูก็ได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นเสียก่อน
“เชิญเข้ามา”
หานโม่ฉือผลักบานประตูและก้าวเข้าไปด้านใน ดวงตาคมมองเห็นโฉมงามของตนยืนอยู่ข้างเตียงพลางส่งยิ้มสดใสมาต้อนรับ
วันนี้หานโม่ฉือสวมใส่ชุดสีดำสนิท ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มยังคงดูเย็นชาเหมือนอย่างเคย อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นรอยยิ้มหวานล้ำของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าดวงใจ ใบหน้าคมคายก็อ่อนโยนลงทันที
ฉินอวี้โม่มองสำรวจมนุษย์เย็นชาของตนโดยละเอียด และในตอนนั้นเองที่นางมองเห็นรอยคล้ำชัดอยู่รอบดวงตาทั้งสองของเขา อดีตนักฆ่าสาวไม่ทราบว่าที่ผ่านมาคนผู้นี้ตรากตรำทำงานสำคัญสิ่งใด ทว่าเขาก็ดูเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน
ฉินอวี้โม่ก้าวเข้าหาบุรุษหน้าน้ำแข็งก่อนจะเอ่ยถาม “โม่ฉือ ช่วงนี้งานที่เจ้าต้องจัดการมันหนักหนามากเลยหรือ ?”
หานโม่ฉือยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม มือใหญ่ลูบจับผมดำขลับของสาวงามตรงหน้าอย่างเบามือ “โม่เอ๋อร์ ให้ข้าช่วยเจ้าหวีผมนะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตพร้อมกับนั่งลงอย่างว่าง่าย
หานโม่ฉือหยิบหวีก่อนจะค่อย ๆ สางลงบนผมสลวยอย่างทะนุถนอม เขาแตะต้องเส้นผมนั้นอย่างเบามือราวกับเกรงว่าจะทำให้มันช้ำ หากบุคคลภายนอกมาเห็นก็คงจะตกตะลึงตาค้างเพราะการกระทำอันแสนอ่อนโยนนั้นช่างตรงกันข้ามกับนิสัยและภาพลักษณ์ของเขายิ่งนัก
“โม่ฉือ ขอบคุณเจ้ามากนะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณจากหัวใจ เมื่อได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาคมคู่นี้แล้ว สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูโฉมงามก็พบเจอแต่ความอ่อนละมุนและอบอุ่น
บุรุษตรงหน้าแม้ว่าจะมีงานหนักมากมายแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเอาใจใส่นางเสมอ เขาคอยเฝ้าดูจากมุมมืดคอยใช้สองมือโอบประคองและปกป้องนางตลอดเวลา เช่นนี้แล้วจะไม่ให้นางรักเขาได้อย่างไร
“เด็กโง่ เจ้าขอบคุณข้าเพื่ออะไร ระหว่างเรายังต้องมีคำขอบคุณอยู่อีกหรือ ?”
หานโม่ฉือยิ้มหวานอย่างยากจะได้เห็นพร้อมหยุดการกระทำของตัวเอง
การหวีผมท่ามกลางบรรยากาศอันแสนหวานสิ้นสุดลงเมื่อหานโม่ฉือใช้เชือกผูกรวบผมของฉินอวี้โม่
โดยปกติแล้วคุณหนูสี่มักจะชอบรวบผมต่ำไว้อย่างหลวม ๆ เพราะมันทั้งให้ความรู้สึกสบายหัวและดูเรียบร้อยไม่ยุ่งเหยิง
“โม่เอ๋อร์ เจ้าสวยมากจริง ๆ”
หานโม่ฉือสบตาฉินอวี้โม่ผ่านกระจกเงาแล้วกล่าวออกมาอย่างรักใคร่
“งั้นหรือ ? เช่นนั้นเจ้าจะมองข้าให้นานอีกหน่อยก็ได้นะ”
ฉินอวี้โม่หันกลับไปสบตาผู้กำลังเกี้ยวพานางพลางส่งยิ้มให้เขา
“ข้าอยากจะมองมันทั้งชีวิตเลยล่ะ”
หานโม่ฉือยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนก่อนโอบกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน
ฉินอวี้โม่ยืนเอนร่างบางพิงซบอ้อมกอดอุ่น นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นปลอดภัยภายใต้อ้อมแขนนี้ ใบหูเล็กแนบอยู่กับอกกว้าง การได้ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายจนเกือบจะผล็อยหลับไป
“คุณหนู คุณชาย อาหารเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดอาหารเช้า ทว่าเมื่อได้เห็นภาพบรรยากาศอันหวานซึ้งของคู่รัก สาวใช้น้อยก็ชะงักไปก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองเข้ามาผิดจังหวะ ใบหน้าของสาวน้อยแดงซ่านด้วยความเก้อเขินและรู้สึกผิดเพราะคิดว่าตนเป็นคนทำลายช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเขา
เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ผละออกจากกันก่อนจะมองหน้ากันและกันด้วยรอยยิ้มขัดเขิน
ฉินอวี้โม่รับสำรับอาหารเช้ามาจากมือสาวน้อยก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ
“เสี่ยวโร่ว เจ้าก็นั่งลงแล้วกินด้วยกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ชี้ชวนให้เสี่ยวโร่วนั่งลงที่เก้าอี้อีกฝั่ง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้ากำลังจะออกไปดูคุณชายใหญ่อยู่พอดี ไม่ทราบว่าท่านจะออกไปสมาคมโอสถหรือยัง”
กล่าวจบสาวใช้น้อยก็รีบวิ่งปรู๊ดออกไปจากห้องของฉินอวี้โม่ทันทีโดยไม่รอให้ผู้เป็นคุณหนูเอ่ยสิ่งใดออกมา นางคิดว่าเวลานี้ตนเองควรจะไปดูคุณชายใหญ่จะดีกว่าการอยู่เป็นก้างขวางคออยู่ที่นี่
“โม่ฉือ เจ้ากินเยอะ ๆ นะ ช่วงนี้เจ้าดูผอมไปมาก”
ฉินอวี้โม่ใช้ตะเกียบคีบไข่แล้วส่งเข้ามาใกล้ปากของหานโม่ฉือ
หานโม่ฉือยิ้มแล้วอ้าปากงับมันเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ “ช่วงนี้เจ้างานยุ่งมากเลยหรือ ดูเจ้าเหนื่อยมากนะ หลังจากมื้อนี้แล้ว เจ้านอนพักเอาแรงสักครู่ดีหรือไม่”
เมื่อเห็นรอยคล้ำที่ใต้ตาทั้งสองข้างของคนตรงหน้าแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย
หานโม่ฉือพยักหน้า ช่วงนี้เขาเหนื่อยมากเหลือเกิน
“โม่เอ๋อร์ เรื่องอารามเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าส่งคนไปที่อารามเพื่อสร้างเรื่องปั่นป่วนพวกมันแล้ว ภายในปีหรือครึ่งปีนี้ คนพวกนั้นคงไม่มีเวลาว่างมารังควานเจ้ากับตระกูลฉินอีกแน่”
อารามเป็นขุมกำลังที่มีอิทธิพลสูงมาก การที่หานโม่ฉือจะส่งคนไปก่อกวนฝ่ายนั้นให้เกิดความโกลาหลได้อย่างมากพอเสียจนไม่เหลือเวลาสนใจเรื่องอื่นได้นั้น แสดงว่าเขาจะต้องคิดวางแผนไว้อย่างรัดกุมและระมัดระวังที่สุดซึ่งนั่นก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลย
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าเช่นนั้นของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่จึงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
เมื่อวาน คุณหนูสี่ตระกูลฉินขบคิดจนปวดหัวว่าจะทำอย่างไรดีเพื่อให้ทางอารามหยุดสร้างปัญหาให้ครอบครัวของนาง
ไม่คิดเลยว่าบุรุษเย็นชาผู้ใจดียิ่งของนางจะจัดการปัญหานี้ให้เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก การที่เขาทำเช่นนี้ได้ เขาย่อมต้องยอมสละอะไรบางอย่าง การที่ได้รู้ว่าคนตรงหน้ายอมสูญเสียบางสิ่งบางอย่างเพื่อแลกกับความสุขของนางเช่นนี้ทำให้หัวใจดวงน้อยของฉินอวี้โม่เต้นผิดจังหวะไปอีกครั้งแล้ว
“โม่ฉือ ขอบคุณเจ้ามากจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือพร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณ ดวงตาเนื้อทรายมีแต่ความซาบซึ้งใจอย่างยากที่จะกล่าว
“งั้นก็มอบรางวัลเล็ก ๆ ให้ข้าแล้วกัน”
หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทั้งบนมุมปากลามไปถึงในดวงตาของเขา
เมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้น สตรีผู้มาจากศตวรรษที่ 21 ก็ยกยิ้มที่ดูแสนเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า ทันใดนั้นสาวงามก็ลุกขึ้นยืนแล้วประทับรอยจูบลงบนหน้าผากของหานโม่ฉือ
ช่างเป็นโชคดีของนางยิ่งนักที่ได้เจอผู้ชายดี ๆ เช่นเขา
หานโม่ฉือหลับตาลงและโอบกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุขเหลือล้น
หลังจากอาหารเช้าที่แสนอบอุ่นจบลง ฉินอวี้โม่ก็ยืนกรานให้หานโม่ฉือนอนพักชั่วครู่ เมื่อบุรุษน้ำแข็งมองดูดวงตาอันแน่วแน่ของสตรีในหัวใจแล้วก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาเดินตรงไปที่เตียงเล็กของฉินอวี้โม่ก่อนจะเอนกายลงอย่างว่าง่าย
ฉินอวี้โม่เองก็นอนลงข้างกายบุรุษร่างใหญ่ นางอยากจะเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดให้มั่นใจว่าคนตรงหน้าได้นอนพักผ่อนจริง ๆ เพียงแค่ได้เห็นหานโม่ฉือที่ดูเหน็ดเหนื่อยได้นอนพักกับตา ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่าตนเองมีความสุขมากมายแล้ว
เมื่อหานโม่ฉือหลับไปได้ชั่วครู่ก็มีบ่าวรับใช้มาเรียกตัว คุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงต้องรีบออกไปจากห้อง
เป็นฉินเฟินผู้นำตระกูลที่เป็นผู้เรียกหาให้นางไปพบที่ห้องหนังสือ ฉินอวี้โม่จึงรีบไปในทันที
“อวี้โม่มาแล้วเจ้าค่ะท่านปู่”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ รอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของผู้เฒ่าฉินเฟิน “โม่ฉือล่ะ ?”
“เขาดูเหนื่อยมาก ข้าก็เลยให้เขานอนพักในห้องของข้าสักครู่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและอธิบายสั้น ๆ
ฉินเฟินพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรเรื่องนี้มาก
“โม่ฉือผู้นี้เป็นคนดี ข้ารู้สึกว่าเขารักเจ้ามาก ยิ่งกว่านั้นตระกูลฉินของเราก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากเขา มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าตระกูลเราคงได้เกิดเรื่องเศร้าขึ้นเป็นแน่”
ฉินเฟินถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกอารามจู่โจมหลายครั้งหลายหนทำให้เขากังวลใจอยู่ไม่น้อย หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณชายตระกูลหานผู้นี้ บุรุษผู้เฒ่าก็ยังหวาดหวั่นว่าตระกูลฉินอาจจะไม่ได้อยู่ดีเหมือนเช่นตอนนี้
“ขออภัยท่านปู่ด้วย ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง”
ฉินอวี้โม่มองผู้เป็นปู่ที่ดูหดหู่ด้วยความรู้สึกผิดบาปในใจ นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวขอโทษอีกครา
“เด็กโง่ อย่าแบกรับความผิดเอาไว้คนเดียว อารามต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด คนเหล่านั้นกล้าดีอย่างไรมาทำร้ายหลานสาวของผู้เฒ่าฉินเฟิน ข้าจะให้พวกมันชดใช้อย่างสาสม ยิ่งกว่านั้นแต่ไหนแต่ไรอารามก็ไม่ใช่คนดี คนพวกนั้นคิดหาทางแทรกแซงจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเรื่อยมา แค่ได้เห็นท่าทางของคนพวกนั้นที่งานเลี้ยงในวังหลวงไม่ว่าใครก็ดูออกแล้ว การโจมตีตระกูลฉินของพวกมันก็เป็นแค่การเปิดทางเท่านั้น !”
ฉินเฟินกล่าวความจริง และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อปลอบโยนหลานสาวให้คลายทุกข์ลง
บุรุษผู้เฒ่ารู้สึกว่าฉินอวี้โม่คล้ายกับฉินเทียนบิดาของนางมาก ทั้งคู่เป็นผู้ที่ชอบแบกปัญหาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว การไม่ยินดีให้ผู้ใดต้องเดือดร้อนเพราะตนเองเป็นเรื่องดี แต่การที่ไม่ยอมให้ญาติพี่น้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่ได้ของเด็กทั้งสอง
ฉินเฟินไม่อยากให้ฉินอวี้โม่เป็นเช่นนั้น และที่เขาต้องสูญเสียบุตรชายไปคนหนึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุผลนี้ เรื่องนี้เขาได้รับบทเรียนแล้วและเขาจะไม่ยอมเสียหลานสาวไปอีกคน ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะช่วยฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่ เรื่องนี้ตระกูลฉินจะช่วยกันแบกรับเอาไว้
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เข้าใจในความตั้งใจของผู้เป็นปู่ดี นางจึงพยักหน้าอย่างนุ่มนวล
“ท่านปู่วางใจเถิด โม่ฉือบอกว่าเขาส่งคนไปที่อารามแล้ว เขาบอกว่าในช่วงนี้เราไม่ต้องกังวลกับปัญหานี้ ภายในปีหรือครึ่งปีนี้ทางอารามจะไม่บุกมาอีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่รีบเอ่ยถึงเรื่องที่หานโม่ฉือบอกกับนางให้ผู้เฒ่าฉินเทียนได้ทราบ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ท่านปู่เองได้คลายใจลงเช่นกัน
ฉินเฟินพยักหน้าพร้อมแย้มรอยยิ้มยินดี หานโม่ฉือผู้นี้ทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก ในเวลานี้บุรุษผู้เฒ่าเชื่อโดยไร้ข้อกังขาเลยว่าหากหลานสาวของเขาได้ครองคู่กับคนหนุ่มผู้นั้น ทั้งคู่จะมีความสุขอย่างแน่นอน
“ความบาดหมางระหว่างเรากับอารามคงแก้ไขได้ยาก ภายในครึ่งปีถึงหนึ่งปีนี้พวกเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ข้าคิดว่าเราควรพยายามหาวิธีกำจัดอารามให้สิ้นซากเพื่อจะไม่ให้ตระกูลของเรามีความเสี่ยงอีก”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปตรง ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางรู้ดีว่าการจะสู้กับอารามซึ่งเป็นขุมกำลังมากอิทธิพลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามหากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไข ทางอารามก็จะมาก่อกวนตระกูลฉินและคนรอบข้างของนางไม่จบสิ้น ดังนั้นแล้วเพื่อหยุดยั้งปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า นางจะต้องหาทางกำจัดผู้ที่เป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมดไปให้ได้
“ท่านปู่ แล้วท่าทีของผู้ที่เคยเป็นพันธมิตรกับเราช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดอยู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ยกเว้นมิตรแท้บางกลุ่ม คนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนตีตัวออกหากจากตระกูลเราไปหมดแล้ว”
ฉินเฟินกล่าวตอบ แท้จริงแล้วในเรื่องนี้เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง เรื่องนี้ก็นับว่ามีข้อดีอยู่บ้าง เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขาได้รู้ซึ้งว่าผู้ใดคือมิตรแท้
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่ได้ประหลาดใจกับเรื่องนี้มากนัก
กลุ่มมิตรที่จะไม่ทิ้งตระกูลฉินไปง่าย ๆ ก็มีตระกูลโอวหยาง ตระกูลหาน สมาคมช่างหลอม สมาคมโอสถ ส่วนขุมกำลังอื่น ๆ นั้นทำเพียงแต่นิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีใด ๆ ในยามนี้ ขณะที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์ประกาศกร้าวอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทว่าที่ทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจมากที่สุดก็คือตระกูลเหล่ย น่าแปลกยิ่งนักที่ในยามยากเช่นนี้ตระกูลคู่อริดังกล่าวกลับเลือกยืนอยู่ข้างตระกูลฉิน
.