ซูเหวินฉีเผยรอยยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณอาจารย์หยางปิงมากค่ะ ”
ลู่ฟานใบหน้าถอดสีลง เขาไม่คาดคิดว่าการมาประจบในครั้งนี้จะไม่สำเร็จ
ลู่ฟานแสดงสีหน้าที่อึดอัดอย่างมาก แม้ว่าของขวัญที่นำมาให้ในคราวนี้ จะทำให้เรื่องดีมันกลายเป็นเรื่องแย่ไปหมดแล้ว แต่เธอไม่สามารถยอมทิ้งเส้นสายของอาจารย์หยางปิงได้
ซูเหวินฉีเองก็ไม่ใช่คนจิตใจดีอะไรมาก เมื่อไหร่ที่เธอได้รับโอกาสที่จะโต้กลับ ซูเหวินฉีจะต้องสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันกับเธออย่างแน่นอน
ลู่ฟานขำเบาๆอย่างเขินอายแล้วกล่าวว่า “อาจารย์หยางปิง คุณยังจำเกาะเป่ยซาได้ไหมคะ ? ”
หยางปิงชะงักไปครูหนึ่งจากนั้นก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าของเธอมีแต่ความสับสน
“เกาะเป่ยซา จำได้อยู่แล้วสิ เธอถามถึงมันทำไมหรอ ? ”
เกาะเป่ยซาแห่งนี้ เป็นหมู่เกาะที่ห่างไกลมากของประเทศจีนที่ยังไม่ได้เปิดรับนักท่องเถี่ยวและมีเพียงคนจำนวนน้อยมากๆที่สามารถไปที่เกาะแห่งนี้ได้
เพราะว่ายังไม่เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ดังนั้นทิวทัศน์จึงสวยงามมาก บรรยากาศรอบๆก็ไม่เลว
ในอดีต ความปรารถนาสูงสุดของสามีของหยางปิงคือการได้ไปตกปลาที่เกาะเป่ยซา แต่ต่อมาสามีของหยางปิงก็ต้องเสียชีวิตด้วยอาการป่วยและก็ยังไม่ได้ทำความปรารถนานี้ให้สำเร็จ
และที่เกาะเป่ยซานั้นได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด เว้นแต่จะเป็นคนที่มีอำนาจมากเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้
เมื่อลู่ฟานเห็นปฎิกริยาของหยางปิง เธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“อาจารย์หยางปิง ฉันรู้จักคนคนหนึ่งที่ทำธุรกิจเรือประมงและสามารถพาคุณไปตกปลาบนเกาะได้ ”
ทันใดนั้นสีหน้าของหยางปิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เสี่ยวลู่ ! เรื่องนี้เธอพูดจริงหรือเปล่า ? ”
ลู่ฟานตอบ “จริงสิคะ ! ”
หญิงชราหยางปิงรีบลุกขึ้นทันที และเธอตื่นเต้นมาก
“ถ้าเธอสามารถพาฉันไปตกปลาบนเกาะนั้นได้จริง ๆ ก็นับว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอครั้งใหญ่ได้เลย ! ”
การไปตกปลาที่เกาะเป่ยซาเป็นความปรารถนาสุดท้ายของสามีของหยางปิง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความปรารถนาเล็กๆน้อยๆในช่วงชีวิตหนึ่งของเขา แต่เพราะว่าเขาได้จากไปแล้ว หยางปิงจึงรู้สึกว่าเธอติดหนี้เขา ซึ่งมันกลายเป็นความเสียใจครั้งใหญ่ที่ติดอยู่ในใจของเธอ
ถ้าหากว่าสามารถไปที่นั่นได้สักครั้งในชีวิต ก็ถือว่าได้ทำความปรารถนาของเธอให้สำเร็จ
คำพูดของหยางปิงนั้นแน่วแน่มาก มันหมายความว่าถ้าสามารถไปที่เกาะเป่ยซาได้จริงๆ เธอจะลืมไม้กฤษณาของปลอมไปให้หมดเลย เพราะเรื่องพรรนั้นไม่สำคัญเท่ากับการช่วยให้สามีของเธอได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของเขา
ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่ฟาน ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณนักฆ่าของเธอยังทำงานได้อยู่
“อาจารย์หยางปิง เรื่องนี้พูดแล้วรอไม่ได้ ถ้าอย่างงั้นพวกเราไปกันตอนนี้เลยดีไหมคะ ”
“ได้ เธอรอฉันแปปนึง ! ”
สำหรับเรื่องตกปลา หญิงชราเธอไม่ได้สนใจอะไรมากนัก อันที่จริงเธอไม่รู้วิธีการตกปลาเลยด้วยซ้ำ
เธอกลับไปที่ห้องของตัวเอง และหยิบรูปสามีของเธอขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เธอมองไปที่ชายชราในรูปขาวดำแล้วพูดว่า
“ฉันจะพาคุณไปเกาะเป่ยซาเดี๋ยวนี้ และพาคุณไปตกปลานะ ”
จากนั้นก็ใช้ผ้าสีดำคลุมภาพอย่างระมัดระวังและออกเดินทางพร้อมกับลู่ฟาน
“เหวินฉี พวกเธอเองก็มาด้วยกันสิ ”
เมื่อหยางปิงเรียกอย่างนั้น ทุกคนก็ขึ้นรถและขับตรงไปยังท่าเรือริมทะเลทันที
เมื่อรถขับไปได้ชั่วโมงเต็มๆในที่สุดก็มาถึงท่าเรือชายทะเล ระหว่างทางในใจหญิงชรารู้สึกกดดันมาก หวังเพียงว่าเธอจะได้ไปที่เกาะจริงๆและเติมเต็มความฝันของเธอ เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องไปจากโลกใบนี้ จะได้บอกเล่ากับสามีเธอได้
เมื่อไปถึงชายหาดก็มีเรือประมงลำหนึ่งจอดอยู่ที่ท่าเรือ จากนั้นลู่ฟานก็กล่าวว่า
“อาจารย์หยางปิง การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษและจำกัดจำนวนคน ดังนั้นพวกเขาสองคนไปกับเราด้วยไม่ได้ ”
ซูเหวินฉีขมวดคิ้ว เธอรู้สึกไม่พอใจ ลู่ฟานทำเกินไปแล้ว
ไปไม่ได้ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ?
จงใจพาพวกเขาไปที่ท่าเรือ แล้วบอกว่าพาไปด้วยไม่ได้ ?
ลู่ฟานจงใจทำแบบนี้ ซูเหวินฉีเก่งมากไม่ใช่หรือไง มีฝีมือไม่ใช่หรอ ฉันต้องการจะให้เธอได้เห็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเธอได้ถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา !
ซูเหวินฉีและฉินจุนลงจากรถ ทั้งสองคนหยุดยืนอยู่ที่ท่าเรือและมองพวกเขาขึ้นเรือไป
หญิงชราต้องการจะเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของเธอ และไม่แม้แต่จะมองย้อนกลับมาที่ซูเหวินฉี แม้ว่าเธอจะนำไม้กฤษณาป๋ายฉีที่ดีมากๆมาให้ แต่ครั้งนี้เกรงว่าเธอจะต้องพ่ายแพ้เสียแล้ว
ในตอนที่กำลังจะสูญเสียเส้นสายของอาจารย์หยางปิงไปแล้วนั้น
หลังจากคนเหล่านั้นออกเรือไป ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนมาแต่ไกล
“คุณฉิน ! ”
เมื่อมองไปตามเสียง ก็มองเห็นคนยืนอยู่ที่หน้าต่างประภาคาร กำลังเรียกฉินจุนอยู่
ฉินจุนชะงักไปเล็กน้อย คนผู้นี้เขาเองก็รู้จัก
โจวเหวินเซิงนั่นเอง !
เมื่อโจวเหวินเซิงเห็นว่าเป็นฉินจุนเขาก็ตื่นเต้นมาก เขารีบวิ่งลงมาจากประภาคารเพื่อมาทักทายอย่างเคารพ
“คุณฉิน ทำไมถึงมาที่นี่ได้หละครับ ! ”
ซูเหวินฉีชะงัก “คนผู้นี้คือ…… ”
คราวนี้โจวเหวินเซิงถึงได้มองเห็นซูเหวินฉีและเขาก็รีบจับมือทักทายซูเหวินฉีอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน
“สวัสดีครับคุณซู ผมเป็นพ่อของอาเหยียน เรื่องคราวที่แล้วผมยังไม่ได้ขอบคุณพวกคุณทั้งสองคนเลย ! ”
ตอนนี้ซูเหวินฉีถึงนึกออกว่าเขาก็คือพ่อของอาเหยียน
ที่ฉินจุนเคยรักษาอาเหยียนนั้น ก็เพราะมีคนไปขอให้ซูเหวินฉีช่วยพาไปหาเขา
แต่เนื่องจากขั้นตอนการรักษาไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ ทัศนคติของโจวเหวินเซิงที่มีต่อฉินจุนจึงไม่ดีเอามากๆ ดังนั้นจึงมักจะพูดแทรกตลอด
หลังจากเรื่องนั้นโจวเหวินเซิงก็ทบทวนตัวเองเช่นกัน เขารู้สึกว่าตอนนั้นเขาขาดสติเกินไป ทำไมเขาถึงได้ทำท่าทีที่ไม่ดีแบบนั้นกับหมอเทวดา แต่หลังจากนั้นฉินจุนก็ไม่ได้ให้โอกาสเขาได้ขอโทษเลย เรื่องนี้จึงครุ่นคิดอยู่ในใจเสมอเหมือนเป็นก้อนเนื้อร้าย
มาวันนี้เมื่อได้เจอกับฉินจุน โจวเหวินเซิงจึงรีบทำดีกับเขา เพื่อหวังว่าจะบรรเทาให้ความสัมพันธ์นี้ดีขึ้นได้บ้าง
“คุณฉิน คุณสองคนไปไงมาไงถึงมาที่นี่ได้หละครับ ? ”
เมื่อก่อนฉินจุนเหมือนจะนึกออกว่าโจวเหวินเซิงเคยบอกว่าเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับการเดินเรือ แต่เขาไม่ได้จริงจังกับมันเท่าไหร่ เขาจึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้มาพบกันที่นี่
ฉินจุนชี้ไปยังเส้นทางที่เรือประมงที่กำลังไปและเล่าเรื่องราวเมื่อครู่ให้เขาฟัง
โจวเหวินเซิงขมวดคิ้วและใบหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“กล้าดีนักนะ กล้าปล่อยให้คนไปที่เกาะเป่ยซาโดยที่ไม่มีคำสั่งของฉันงั้นหรอ ? ”
คำพูดของโจวเหวินเซิงฟังแล้วดูมีอำนาจ และมันเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเขามีอภิสิทธิ์มากที่จะสั่งการในพื้นที่ทะเลแถบนี้
โจวเหวินเซิงหยิบวิทยุสื่อสารทางทะเลออกมา ท่าทางเหมือนกับลูกพี่ใหญ่ เขากดปุ่มพร้อมพูดออกไป
“ฉันคือโจวเหวินเซิง ! ฉันขอสั่งให้ปิดเกาะเป่ยซา ใครมันกล้าเข้าใกล้ฉันจะไล่มันออกทันที ! ”
หลังจากที่โจวเหวินเซิงพูดจบ ก็หันมาพูดกับฉินจุน
“คุณฉิน ในเมื่อมาแล้วก็ไปเดินเที่ยวที่เกาะเป่ยซาหน่อยเถอะครับ ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงทดลอง ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้า วิวสวยมากๆ ”
ฉินจุนพยักหน้า “ดีเหมือนกัน ไปสิ ”
ไหนๆก็มาถึงที่แล้วก็ไปดูสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้รับมลพิษแห่งนี้สักหน่อย
ไม่นาน โจวเหวินเซิงก็เรียกเรือประมงลำใหญ่มาลำหนึ่ง ปากก็บอกว่าเป็นเรือประมง แต่ที่จริงแล้วอย่างกับเรือสำราญ ภายในเรือหรูหรามาก อย่างกับโรงแรมห้าดาว
ทั้งสองขึ้นไปยืนอยู่บนดาดฟ้า และเดินหน้าไปยังเกาะเป่ยซาทันที