เมื่อเห็นฉินจุนปรากฏตัวขึ้น ภายในใจของหลินเยวี่ยเหยาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา ราวกับว่าเห็นความหวังยังไงอย่างนั้น
พวกจ้าวเฟิงสามคนต่างมองหน้ากัน ก่อนจะปล่อยตัวหลินเยวี่ยเหยา แล้วจึงพุ่งเข้าไปหาฉินจุน
พวกจ้าวเฟิงสามคนภายในมือมีไขควงเป็นอาวุธ ฉินจุนแค่ตัวคนเดียวไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องกลัวมัน
“ตายซะ!”
ฉินจุนยกขาขึ้นถีบออกไปอย่างรุนแรง
พลั่วะ!
ร่างของจ้าวเฟิงกระเด็นออกไปหลายเมตร ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ไม่มีท่ากังฟูเท่ ๆ แต่อย่างใด ก็แค่กระโดดเตะง่าย ๆ จ้าวเฟิงก็กระอักเลือดกลางอากาศแล้ว
จากนั้นก็หมดสติไปทันที
ส่วนที่เหลืออีกสองคนฉินจุนก็ไม่ได้เกรงใจแต่อย่างใด ถีบทั้งสองเช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนโดนถีบจนลอยกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับรถBMW ทำเอากระจกของรถBMWแตะกระจายทันที อวัยวะภายในของพวกเขาเหมือนกับได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมา ก่อนจะหมดสติไปตาม ๆ กัน
หลินเยวี่ยเหยานอนอยู่ที่พื้น เธอช็อกไปเลยกับสิ่งที่เห็น
การปรากฏตัวของฉินจุน ราวกับเทพที่ลงมายังโลกมนุษย์ เขารวดเร็วมาก ๆ เมื่อกี้สามคนนั้นยังคุกคามเธออยู่เลย ภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาก็หมดสติสลบอยู่ตรงหน้าเธอ
นี่ นี่ใช่ฉินจุนไหม?
พอเห็นหลินเยวี่ยเหยาของอยู่ที่พื้น เสื้อผ้าหลุดรุ่ย ฉินจุนก็รีบเดินเข้าไปประคองเธอขึ้นมา
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เมื่อได้เห็นสายตาที่เป็นห่วงเป็นใย ทันใดนั้นความรู้สึกผิดต่าง ๆ ก็ประเดประดังขึ้นมาในหัวใจของเธอ น้ำตาก็เริ่มไหลออกมา
หลินเยวี่ยเหยาซุกเข้าไปในอ้อมกอดของฉินจุน ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
“พี่……”
……
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินเยวี่ยเหยาเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ก็ผละตัวออกจากอ้อมกอดของฉินจุน ก่อนจะมองหน้าเขาอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ เรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมดฉันผิดเอง”
ฉินจุนไม่ได้โกรธอะไรอยู่แล้วจึงเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรากลับไปกันก่อนเถอะ”
ฉินจุนโยนร่างของทั้งสามคนนั้นเข้าไปในรถBMW หลังจากนั้นก็พาหลินเยวี่ยเหยาขึ้นรถของเมิ่งเหวินกังกลับไป
“สามคนนั้นจะทำยังไงกันดี?”
“เมิ่นเหวินกังจะจัดการเอง”
จริง ๆ แล้วฉินจุนควรจะฆ่าสามคนนี้ด้วยซ้ำ แต่ว่าถ้าทำแบบนั้นต่อหน้าหลินเยวี่ยเหยามันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็ช่างมัน เขาเชื่อว่าเมิ่งเหวินกังจะจัดการมันได้อย่างดี
หลังจากขึ้นรถมา ภายในใจของหลินเยวี่ยเหยายังคงหวาดกลัว เธอจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ โชคดีที่ฉินจุนมาช่วยเธอไว้ได้ทันเวลาพอดี
“เอ้อ นาฬิกาเรือนนี้……แพงมากใช่ไหม?”
จริง ๆ แล้วหลินเยวี่ยเหยารู้ราคาของมันอยู่แล้ว แต่ว่าเธอแค่อยากจะขอบคุณฉินจุนต่อหน้า เพราะถึงอย่างไรแล้วนี่ถือว่าเป็นของขวัญที่แพงที่สุดเท่าที่เธอเคยได้รับมา
อีกอย่างเธอแปลกใจมากว่า นาฬิกาอันนี้กลับสามารถส่งสัญญาณบอกตำแหน่งได้ด้วย ขนาดว่าโทรศัพท์ของเธอเป็นสัญญาณ5G แต่พอมาอยู่ที่ภูเขาใหญ่แห่งนี้กลับไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว
ฉินจุนเอ่ย “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ราคาเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือมันมีฟังก์ชันที่สามารถช่วยชีวิตได้ นาฬิกาเรือนนี้ผู้คิดค้นเป็นทหารเก่าน่ะ สัญญาณครอบคลุมทั่วโลก สามารถระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ ไม่อย่างนั้นใครจะหาตัวเธอได้ในที่ภูเขาที่รกร้างไม่มีใครเลยแบบนี้?”
“อ๋อ” ทันใดนั้นหลินเยวี่ยเหยาก็รู้สึกว่า ฉินจุนในตอนนี้ไม่เหมือนกับฉินจุนที่เธอรู้จักเมื่อก่อน
เขารู้จักพวกทหารด้วยเหรอเนี่ย?
ถ้าสามารถผลิตคิดค้นเทคโนโลยีขนาดนี้ได้ จะต้องไม่ใช่นายทหารเล็ก ๆ ธรรมดาแน่นอน จะต้องเป็นนายทหารที่เก่งกาจมาก ๆ แต่ก่อนเธอคิดว่าฉินจุนไม่ได้มีคอนเนกชั่นอะไรกับใครเขา แต่ตอนนี้ดู ๆ แล้วเธอมองเขาต่ำไปจริง ๆ
“จะยังไปโรงแรมจื่อจิงฮวาไหม?”
หลินเยวี่ยเหยาส่ายหน้า ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะไปไหนแล้ว อยากกลับบ้านอย่างเดียว
พอกลับมาถึงบ้าน หลินเยวี่ยเหยาสวมเสื้อคลุมของฉินจุนเอาไว้ เพื่อไม่ให้แม่ของเธอสังเกตเห็น เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ทำให้คนช็อกได้ เพราะฉะนั้นเธอไม่บอกแม่ดีกว่า เธอไม่อยากให้แม่กังวลใจอีก
“เยวี่ยเหยาทำไมกลับมาเร็วจังล่ะลูก มันเป็นงานเลี้ยงวันเกิดไม่ใช่เหรอ?”
หลินเยวี่ยเหยารีบเดินเข้าไปในห้อง พูดไปพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าไป
“งานเลี้ยงจบแล้วค่ะแม่ คืนนี้กินข้าวที่บ้านนะคะ!ทำกับข้าวเยอะ ๆ นะคะพี่ฉินจุนจะกินข้าวที่บ้านด้วย!”
ถังหมิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง นี่หลินเยวี่ยเหยากินยาอะไรผิดมาหรือเปล่า เหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอเรียกฉินจุนว่าพี่?
ถงหมิ่นหันไปมองฉินจุน ฉินจุนเองก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง
ถังหมิ่นยิ้มออกมา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เยวี่ยเหยาทำตัวดีกับฉินจุนเธอเองก็ดีใจ
“โอเคถ้าอย่างนั้นคืนนี้เรากินข้าวด้วยกัน”
การทานอาหารที่บ้านของป้ารองคืนนี้เป็นครั้งที่น่าพอใจที่สุด ป้ารองทำอาหารเต็มโต๊ะไปหมด งานของลุงเขยเองก็ราบรื่น เขาดื่มกับฉินจุนไปหลายแก้วเลยทีเดียว
ส่วนหลินเยวี่ยเหยาก็ปฏิบัติตัวดีกับฉินจุนขึ้นมาก ตอนอยู่บนโต๊ะอาหารเธอคีบอาหารให้ฉินจุนตั้งหลายครั้ง ลบล้างภาพจำของทุกคนไปหมด
ขณะที่กำลังรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น จู่ ๆ โทรศัพท์ของหลินเยวี่ยเหยาก็มีสายเข้า เธอขมวดคิ้วก่อนจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปทันที
“เกิดอะไรขึ้นเยวี่ยเหยา มีเรื่องอะไรทำไมต้องรีบร้อนออกไปตอนดึกดื่นป่านนี้?”
“หนูมีเคสด่วนต้องรีบไปค่ะ”
อาชีพหมอก็เป็นแบบนี้ เมื่อใดที่มีผู้ป่วยเมื่อนั้นก็ต้องทำงาน ถังหมิ่นสองสามีภรรยาต่างชินกันแล้ว
“ฉันไปกันเธอดีกว่า”
ดึกขนาดนี้แล้ว อีกอย่างหลินเยวี่ยเหยาก็เป็นผู้หญิงด้วย เข้า ๆ ออก ๆ มันอันตราย
พอนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้เธอก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้น หลินเยวี่ยเหยาจึงพยักหน้า ให้ฉินจุนไปเป็นเพื่อนอย่างน้อยก็ปลอดภัยขึ้นมาหน่อย
ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงที่โรงพยาบาล หลินเยวี่ยเหยารีบสวมเสื้อคลุมสีขาวอย่างรวดเร็ว และไปที่ห้องฉุกเฉิน เธอเห็นเด็กหญิงอายุสี่ห้าขวบนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เอามือกุมท้อง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ส่วนสีหน้าพ่อแม่ของเธอที่อยู่ด้านข้างก็เต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“คุณหมอ!คุณหมอมาแล้ว รีบมาช่วยลูกสาวดิฉันเร็วค่ะ!”
หลินเยวี่ยเหยาขมวดคิ้ว “เด็กป่วย?ทำไมพวกคุณถึงส่งมาแผนกฉุกเฉินล่ะ?ควรส่งไปแผนกกุมารเวชกรรมสิ!”
หลินเยวี่ยเหยาเป็นหมอแผนกอายุรกรรม หมอแต่ละสายนั้นแตกต่างกันมาก หมอแต่ละด้านก็มีความเชี่ยวชาญของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะมีพื้นฐานเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างระหว่างกันอยู่มาก
สาวน้อยคนนี้อายุแค่สี่ห้าขวบ ป่วยก็ควรส่งตัวไปที่แผนกกุมารเวชกรรมถึงจะถูก
พ่อของเด็กร้อนใจอย่างสุด ๆ “มามัวแต่แผนกโน้นแผนกนี้อะไร พวกคนไม่ใช่หมอกันหรือไง ทำไมจะตรวจลูกสาวผมไม่ได้!ชีวิตคนมันสำคัญนะ!”
หลินเยวี่ยเหยาขมวดคิ้ว มองดูอาการของเด็กน้อยก็สาหัสจริง ๆ ถ้าหากไม่รีบช่วยตอนนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
“โอเคค่ะ ฉันจะตรวจดูก่อน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งรีบโทรไปตามคุณหมอหลี่แผนกกุมารเวชให้เขามาที่นี่!”
หลินเยวี่ยเหยาสวมสเต็ตโทสโคปเข้าที่หูเพื่อทำการวินิจฉัยโรค โชคดีที่เด็กน้อยมีปัญหาเกี่ยวกับด้านอายุรกรรม หลินเยวี่ยเหยายังพอที่จะหาทางรักษาได้
หลังจากทำการตรวจเสร็จสิ้น หลินเยวี่ยเหยาก็เอ่ยถาม
“ช่วงนี้เด็กกินอะไรแปลก ๆ เข้าไปหรือเปล่าคะ?”
“คุณหมอหมายความว่ายังไง อะไรแปลก ๆ ?ก็อาหารขนมที่คนกินปกติทั่วไป จะมีของแปลก ๆ มาจากไหน?” พ่อของเด็กเอ่ยถามกลับด้วยท่าทางโมโห
หลินเยวี่ยเหยาขมวดคิ้ว “ไม่มีก็ไม่มี คุณรนอะไร?”
พูดจบเธอก็ทำการวินิจฉัยโรคต่อ
หลังจากนั้นไม่นานหลินเยวี่ยเหยาก็เอ่ย
“ฉินคิดว่าที่เด็กมีอาการปวดท้อง น่าจะเกิดจากอาการอาหารเป็นพิษ เราจะล้างท้องก่อน”
พูดจบ หลินเยวี่ยเหยาก็รีบเตรียมทำการล้างท้องให้เด็กน้อย
ฉินจุนกลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ย
“อย่าเพิ่งล้างท้อง เด็กยังเล็กเกินไป การล้างท้องอาจนำไปสู่อาการเจ็บป่วยอย่างอื่นได้ง่าย เท่าที่ฉันดู เธอไม่เหมือนอาการอาหารเป็นพิษ”
หลินเยวี่ยเหยาขมวดคิ้วเอ่ย “พี่ไม่รู้เรื่องอย่ามาพูดอะไรมั่ว ๆ !”