เมื่อเทียนจุนไคพูดแบบนี้ทุกคนต่างก็เดินมา และเห็นฉินจุนนั่งอยู่ข้างในนั้น ทุกคนต่างก็มีสีหน้าแปลกใจ
คุณชายฉินนี่หรูหราไม่ใช่เล่นเลยน้า เมื่อกี้พวกเราอยู่แค่ห้องโถงด้านข้างเท่านั้น แต่คุณกลับอยู่ในห้องโถงใหญ่เนี่ยนะ แถมคุณยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักอีก นั่นคือที่นั่งของคุณเหรอ?”
“ถ้าเป็นคุณชายฉินเมื่อก่อนก็คงจะนั่งในที่เก้าอี้หลัก แต่ตอนนี้น่ะ ฉันคิดว่าตำแหน่งนี้ควรเป็นของคุณชายเทียนนะ”
“เอาล่ะ ฉินจุนคุณรีบออกไปสิ เป็นแค่คนมาขอข้าวกินอย่ามาอวดดี”
เมื่อเห็นว่าฉินจุนนั่งอยู่ที่เก้าอี้หลัก ทุกคนต่างก็ไม่พอใจ ในแง่ของอิทธิพลและสถานะ ไม่ว่ายังไงก็ควรจะเป็นคุณชายเทียน ฉินจุนคนนี้ยังคิดว่าเขาเป็นคนเดียวกันกับเมื่อสิบปีก่อนเหรอ?
จู้หลินหลินขมวดคิ้ว “นั่งตรงไหนก็เหมือนกันไหม?”
ขณะที่พูดจู้หลินหลินก็ลงข้างฉินจุน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองดูใกล้ชิดสนิทสนมกัน เทียนจุนไคก็ขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
“โอเค เขาอยากนั่งตรงไหนก็นั่งไปเถอะ ทุกคนสั่งอาหารก่อนดีกว่า”
เมื่อผู้จัดการได้ยินเสียง ตอนแรกเขาก็ต้องการจะไล่พวกเขาออกไป แต่เมื่อเห็นฉินจุนอยู่ที่นั่นด้วย ผู้จัดการจึงไม่ได้พูดอะไร และเริ่มให้พวกเขาสั่งอาหาร
บนโต๊ะอาหาร อู๋นานาพูด
“คุณชายฉินได้ยินมาว่าตอนนี้คุณเป็นหมอเหรอ? คุณไปเรียนมาจากไหน?”
ฉินจุนพูดเบา ๆ “เรียนกับท่านอาจารย์ของฉันบนภูเขา”
“ฮ่า ๆ ๆ !”
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นประโยคปกติ แต่กลับทำให้พวกเขาหัวเราะออกมา มันเป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้ ตอนนั้นหลังจากที่ฉินจุนระหกระเหินออกจากตงไห่ไปชีวิตเขาจะต้องตกอับมากแน่ ๆ
ไม่ว่าจะเป็นชนบท หรือในหุบเขาลึก
ได้ยินฉินจุนพูดแบบนี้มันก็เป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้จริง ๆ เขาซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกกว่าสิบปี คาดว่าน่านจะเขาถูกหมอจีนชราเก็บไปเลี้ยง เขารับใช้คนอื่นมาเป็นสิบปี กลับเรียนได้แค่การแพทย์
เมื่อนึกถึงคุณชายที่มีอำนาจในอดีตกลับกลายมาเป็นคนต่ำต้อยในตอนนี้ มันเหมือนบทละครจริง ๆ
จริง ๆ แล้วการคาดเดาของพวกเขานี้ไม่ผิดเลย ฉินจุนถูกหมอที่เก่งมากเก็บมาเลี้ยงจริง ๆ และได้เรียนอยู่บนภูเขามาเป็นเวลากว่าสิบปี
แต่สิ่งที่พวกเขานึกไม่ถึงก็คือ เขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้หมอผู้เก่งกาจท่านนั้น
แม้แต่นายพลหวังจินไห่ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศเหอเนี่ยนอิง คนใหญ่คนโตเหล่านี้ต่างก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับใช้เย่ซวนหยวน
แต่เมื่อฉินจุนบอกว่าเขาเรียนอยู่บนภูเขากลับทำให้ทุกคนพูดคุยกันเรื่องนี้
อู๋นานาพูดด้วยยิ้ม ๆ “มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ นะ ตอนนี้มันยากมากเลยนะที่จะทำอะไรซี้ซั้วอะ หากคุณมีปัญหาอะไรก็บอกมาได้เลยนะ เราสามารถช่วยคุณหาทางแก้ไขได้”
“ถึงแม้จะไม่สามารถช่วยคุณกลับมามีชีวิตที่ร่ำรวยอย่างเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ก็สามารถช่วยพูดให้คุณได้ขึ้นเงินเดือนสักหนึ่งหรือสองพันหยวนได้นะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ…”
ขณะที่พูดอู๋นานาพูดด้วยคำพูดแปลก ๆ แม้ว่าเธอดูเหมือนจะช่วยเหลือ ดูเหมือนหวังดีกับฉินจุน แต่ความจริงแล้วเธอกำลังพูดจาถากถางเขา
เมื่อเทียบกับลูกคนรวยเหล่านี้ ฉินจุนก็เหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่ง เหมือนกับตกอยู่จุดต่ำสุดในชีวิต และเขาจะไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมาได้อีก
“คุณชายเทียนตอนนี้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของคุณน่าจะค่อนข้างดีเลยใช่ไหม คุณก็แนะนำงานให้คุณชายฉินหน่อยสิ”
เทียนจุนไคหัวเราะหึ ๆ และพูดว่า “พวกคุณก็รู้ว่าคุณชายฉินเขาถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่มีความสามารถในการทำงานอะไรหรอก ไม่งั้นคุณก็มาทำเซลล์ในบริษัทของฉันเป็นไง?”
อู๋นานะก็เป็นกลองแต๊กอยู่ด้านข้าง “ว้าว เซลล์งั้นเหรอ ตอนนี้งานเซลล์ก็ไม่เลวนะ สามารถหาเงินได้มากกว่า 10,000 หยวนต่อเดือนเลยใช่ไหม?”
เทียนจุนไคหัวเราะ “บริษัทอสังริมทรัพย์เทียนกรุปของเรานั้นมีสวัสดิการดีอยู่แล้ว และฐานเงินเดือนก็6,000กว่าแล้ว ถ้าทำผลงานดีเดือนละ 10,000 หยวนก็ไม่ใช่ปัญหา และช่วงขาขึ้นอาจถึง 20,000 หยวนเลยนะ”
“โอ้โห 20,000 หยวนเหรอ งานแบบนี้สำหรับคนธรรมดาแล้วก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยนะ เป็นยังไงคุณชายฉินทำไมไม่ดื่มไวน์กับคุณชายเทียนสักแก้วล่ะ? เขาให้โอกาสที่ดีกับคุณขนาดนี้แล้วนะ จะปฏิเสธไม่ได้แล้วนะ!”
สีหน้าฉินจุนเย็นชา “ไม่จำเป็น”
อู๋นานาแค่นหัวเราะออกมา”คุณชายฉิน ไม่ใช่ว่าเราว่าคุณนะ นี่มันยุคไหนแล้ว ทำไมถึงยังสนใจเรื่องหน้าตาขนาดนี้? คุณเป็นหมอหาเงินได้เดือนละเท่าไหร่? สามพันหรือห้าพัน? คุณทนทำจนถึงอายุ 40 ก็คงจะอัพเงินเดือนไปถึงแค่10,000ต่อเดือนเท่านั้น แล้วด้วยการที่ไร้ความสามารถและใจใหญ่ใจโตอย่างคุณนี่เมื่อไหร่จะได้แต่งงานมีลูก?”
หลายคนแกล้งทำเป็นเป็นห่วงเขา แต่ต่างก็กำลังพูดเสียดสีฉินจุน
เทียนจุนไคก็ทำหน้าเยาะเย้ย และเปิดไวน์ขาวสองสามขวด วางลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า
“เรามาดื่มให้กับคุณชายฉินที่เป็นเพื่อนเราดีกว่า เมื่อก่อนก็ไม่เคยชวนไปกินข้าวมาก่อน ตอนนี้คุณชายฉินกำลังตกอับเราก็ควรจะช่วย”
“เอางี้แล้วกันคุณชายฉิน ฉันจะให้คุณสองทางเลือก”
“อย่างแรกคือคุณคุกเข่าลงไปแล้วคำนับสามที ฉันจะหางานที่มีรายได้เดือนละ 20,000 หยวนให้ ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไปตลอดชีวิต”
“อย่างที่สองคือคุณดื่มไวน์ขาวให้หมดโต๊ะนี้ ดื่มหนึ่งแก้ว ฉันจะให้เงินคุณห้าหมื่น ดื่มได้เท่าไหร่ก็เอาไปเท่านั้น เป็นไง?”
เมื่อได้ยินอย่างนี้จู้หลินหลินก็ตบโต๊ะทันที ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
“เทียนจุนไค! คุณนี่ทำเกินไปแล้ว!”
“ลืมไปแล้วเหรอว่าตอนที่ตระกูลของพวกคุณตกอับพี่เสี่ยวจุนก็เป็นคนช่วยไว้น่ะ?”
เทียนจุนไคเยาะเย้ย “หลินหลินสิ่งที่คุณพูดนั้นไร้เดียงสาเกินไปแล้ว เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ไม่ว่าตระกูลของเราจะตกต่ำแค่ไหน มันก็แค่ไม่นานและมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมาได้”
“แต่คุณดูเขาสิ มีโอกาสที่จะลุกขึ้นบ้างไหม? ตอนนี้พวกเรากำลังให้โอกาสเขานะ และพวกเราทุกคนก็มีน้ำใจนะ”
จู้หลินหลินโกรธจนหน้าแดง จับแขนของฉินจุนและพูด
“พี่เสี่ยวจุน เราไปกันเถอะ!”
เมื่อเห็นทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก เทียนจุนไคก็ขมวดคิ้วแน่น
“หลินหลินคุณไม่อยากได้อาคารที่เซ็นทรัลสตรีทแล้วเหรอ?”
จู้หลินหลินหยุดเดินในทันที
วันนี้เธอมาก็เพื่อซื้ออาคารสำนักงานแห่งใหม่ให้กับบริษัทของเธอ
แต่อาคารสำนักงานในปัจจุบันนั้นหาซื้อยากมาก และแม้จะมีเงินก็อาจจะไม่สามารถซื้อได้ ดังนั้นจู้หลินหลินจึงมาที่งานปาร์ตี้นี้เพื่อมองหาเส้นสาย
เมื่อเห็นจู้หลินหลินชะงัก เทียนจุนไคก็ยิ้มออกมา
“หลินหลินตึกที่เซ็นทรัลสตรีทยังไม่ได้ขายออกไป ถ้าคุณต้องการก็ย่อมได้นะ”
หลังจากพูดจบ เทียนจุนไคก็เอื้อมมือไปหาจู้หลินหลินและจะดึงเธอกลับมา
สีหน้าของจู้หลินหลินเปลี่ยนไปทันที เธอรีบหลบจนไปชนกับขวดไวน์ที่ข้าง ๆ เธอ
เสียงเพล้งดังขึ้น ขวดไวน์ตกลงพื้นแตกกระจาย
หลังจากนั้นผู้จัดการก็รีบเข้ามา “เกิดอะไรขึ้นครับ?”
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องนั้นมาคุมาก ราวกับว่ามีเรื่องทะเลาะกัน ผู้จัดการจึงหยิบวิทยุสื่อสารออกมาแล้วรีบพูด
“รปภ. รีบมาที่นี่ทั้งหมด!”
เทียนจุนไคเอนหลังกับพนักเก้าอี้และหัวเราะเย้ยหยัน
“คุณชายฉินคุณไม่เคยถูกไล่ออกจากร้านอาหารใช่ไหม?”
หลังจากพูดจบ เทียนจุนไคก็ชี้ไปที่ฉินจุน และพูดกับผู้จัดการ
“เขาสร้างปัญหา โยนเขาออกไป”
หลังจากที่ผู้จัดการสั่งการผ่านวิทยุสื่อสารแล้ว รปภ.ก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มีรปภ.มากกว่า 20 นาย ทุกคนร่างแข็งแกร่ง ในมือถือกระบองไฟฟ้า สีหน้าเคร่งขรึม
ผู้จัดการแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ล้อเล่นอะไรครับ นี่เป็นแขกวีไอพีของประธานเรา!”