เมื่อเห็นฉินจุนมาจู้หลินหลินก็ดีใจมาก รีบเข้าไปหาทันที
“พี่เสี่ยวจุนมาแล้วเหรอคะ!”
ฉินจุนไม่เคยสนใจพวกที่มองคนแค่ฐานะเหล่านี้อยู่แล้ว
แม้ว่าหลายคนในนี้จะเคยเป็นเพื่อนกับเขาในตอนนั้น แต่สิบปีผ่านไป มิตรภาพมันก็จืดจางลง
เหมือนตอนนี้ที่เทียนจุนไคพูดจาเสียดสีฉินจุนก็ไม่มีใครออกมาช่วยพูดแทนเขา นี่คือสัจธรรมของโลก
“หลินหลินทำไมพวกคุณไม่เข้าไป”
จู้หลินหลินพูด “ดูเหมือนว่าเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้จะใช้สถานที่รับแขกวีไอพี ดังนั้นเขาไม่รับแขกแล้ว”
ฉินจุนพยักหน้า “งี้นี่เอง งั้นเดี๋ยวผมจะคุยกับพวกเขาให้พวกคุณเข้าไปข้างในแล้วกัน”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งพูดอย่างแปลกใจ
“โอ้ คุณชายฉินดูเหมือนเป็นอะไรที่ง่ายมากเลยนะ ตระกูลกำลังตกต่ำ และตอนนี้ก็กลายเป็นคนธรรมดาแล้ว ออกมาข้างนอกแบบนี้ยังมีหน้ามีตาอยู่อีกเหรอ?”
“คุณรู้ไหมว่ารีสอร์ทหลงเฟิงนี้เป็นของใคร? นี่เป็นรีสอร์ทที่สุดยอดที่สุดในตงไห่เลยนะ แม้แต่ตระกูลใหญ่ทั้งสามก็ไม่กล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ คุณชายเทียนก็เข้าไปไม่ได้ คุณไปคุยแล้วจะเข้าไปได้เหรอ?”
“ทำไมไม่เจอกันแค่สิบปี คุณถึงหัดขี้โม้ได้ขนาดนี้เนี่ย?”
ผู้หญิงคนที่พูดชื่ออู๋นานา เธอเป็นคุณหนูคนโตของตระกูลระดับที่สาม เมื่อก่อนที่ตระกูลฉินยังรุ่งเรืองอยู่เธอยังอยากแต่งงานเข้าไปในตระกูลฉิน แต่เนื่องจากตระกูลของพวกเธออ่อนแอเกินไป แม้แต่โอกาสจะไปต่อคิวก็ยังไม่มีเลย ดังนั้นจึงทำได้แค่ยอมแพ้
ตอนนี้เมื่อเห็นความตกต่ำของฉินจุน เธอกลับรู้สึกสะใจ
“เหอะ ๆ เมื่อก่อนสิ่งที่คุณชายเฉินพูดมันก็เป็นความจริงหมดนั่นแหละ แม้ว่าคำพูดจะเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็เป็นจริงได้ทั้งหมด”
“แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว แม้ว่าคำพูดจะยังเว่อวังอยู่ แต่พูดออกมากลับทำให้เป็นจริงไม่ได้เลย”
“คุณชายฉินอาจจะเปลี่ยนนิสัยการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่เปลี่ยนนิสัยการพูดจาโอ้อวดไม่ได้ใช่ไหม? ฮ่า ๆ !”
สิ่งที่ฉินจุนพูดออกมาไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริง
เมื่อมองไปที่เพื่อนเก่าเหล่านี้ ฉินจุนได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของพวกเขา
ฉินจุนหันกลับไปพูดกับเลขาที่ขับรถให้เขา
เทียนจุนไคแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “แสดงเก่งจริง ๆ ไอ้แซ่ฉินนี้น่าสนใจจริง ๆ เขาไม่ได้เชิญก็ยังหน้าด้านมา พอเราเห็นเราก็แกล้งแสดงอีก คิดว่าตัวเองยังเป็นคุณชายอยู่อีกหรือไง?
“ช่างเถอะ ฉันจะโทรไปถามพ่อว่าช่วยหาคนมาคุยให้ได้ไหม”
เพราะยังไงก็มาตั้งไกลแล้ว จะมาเปลี่ยนสถานที่กระทันหันแบบนี้คงจะลำบากเกินไป พวกเขาเป็นทายาทรุ่นที่สองแล้วมาถูกสั่งห้ามเข้าที่หน้าประตูรีสอร์ทมันก็ดูน่าอายไปหน่อย
เทียนจุนไคโทรหาพ่อของเขา
“ฮัลโหลครับพ่อ ตอนนี้ผมอยู่ที่รีสอร์ทหลงเฟิงกับเพื่อนหลายคนเลย พวกเขาบอกว่าเจ้าของมีแขกวีไอพี และจะไม่รับแขกแล้ว พ่อช่วยคุยให้ผมหน่อยได้ไหม แล้วหาห้องส่วนตัวให้หน่อย”
“โอเค ฉันจะลองดู”
หลังจากพูดจบ เขาก็กดโทรหาเลขาของเหอเนี่ยนอิง
“ฮัลโหล เลขาซ่งเหรอ? ผมเถียนต้าหนิวนะ ผมได้ยินมาว่าที่รีสอร์ทหลงเฟิงของพวกคุณมีแขกวีไอพี เหรอครับ ตอนนี้ลูกชายผมและเพื่อนเขาหลายคนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว คุณช่วยเปิดประตูและหาห้องส่วนตัวให้พวกเขาเข้าไปกินข้าวหน่อยได้ไหมครับ?”
คำพูดของเขาถ่อมตัวมาก ช่วยไม่ได้ ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นเลขาของเหอเนี่ยนอิง แม้ว่าจะเป็นเขา ก็ต้องสุภาพเข้าไว้
แต่ทว่าทางด้านเลขาซ่งกลับไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด
“ไม่ได้ครับ วันนี้รีสอร์ทหลงเฟิงใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกวีไอพี ใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้”
หลังจากพูดจบเขาก็วางสายไป
เถียนต้าหนิวอึ้งไปเลย ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เขาก็ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตา แม้ว่าจะไม่เท่าเหอเนี่ยนอิงแต่ก็ถือว่าเป็นตัวท็อปเลยนะ
แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะถูกเลขาวางสายใส่ เถียนต้าหนิวไปต่อไม่ถูกเลย
แขกคนนั้นเป็นใครกันแน่ถึงทำให้เหอเนี่ยนอิงต้องยอมทำขนาดนี้?
……..
หลังจากที่ฉินจุนหันกลับไปคุยกับเลขาที่ขับรถให้เขานั้น เลขาก็บอกให้คนเปิดประตูทันที
ขณะที่เทียนจุนไคได้รับโทรศัพท์จากพ่อของเขา เขาก็พูดว่า “พ่อเก่งจริง ๆ เลยนะ แค่กริ๊งเดียวก็ให้พวกเขาเปิดประตูได้แล้ว”
เทียนจุนไคจงใจพูดเสียงดังเพื่อให้คนอื่นได้ยินว่าตระกูลเทียนของเขาไม่ใช่ตระกูลเทียนที่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แต่เป็นคนใหญ่คนโตที่สามารถพูดคุยกับคนอย่างเหอเนี่ยนอิงได้
พ่อของเขางงมาก ใครเปิดประตูให้แก? นี่ไม่ได้เกี่ยวกับฉันมั้ง?
แต่ไม่ว่ายังไงทุกคนเข้ามาได้แล้ว และไม่มีใครสนใจรายละเอียดนั้นหรอก
หลังจากเข้าไปแล้ว คนขับคนนั้นก็รีบเข้ามาพูดกับฉินจุนว่า “คุณฉินครับ ต้องขอโทษจริง ๆ นะครับ ตอนนี้ประธานเหอรถติดมาก เชิญคุณพักผ่อนก่อนนะครับ ผมจะจัดพื้นที่สำหรับพักผ่อนให้ครับ”
ฉินจุนไม่ได้สนใจอะไรมาก “โอเค”
หลังจากที่เทียนจุนไคเข้ามา เพราะคนขับรถคนเมื่อกี้สั่งให้เปิดประตู ดังนั้นจะจัดห้องให้พวกเขาสักห้องก็ไม่ได้เชียวหรือ
พนักงานหญิงที่แผนกต้อนรับพูดว่า “ลูกค้าคะ เพราะวันนี้ทางรีสอร์ทเรามีแขกวีไอพี ดังนั้นจึงรบกวนลูกค้ารับประทานอาหารในห้องโถงด้านข้างได้ไหมคะ”
เทียนจุนไคขมวดคิ้ว “ก็ได้”
ยังไงก็ถือว่าได้เข้ามาแล้ว ห้องโถงก็ห้องโถงสิ
เทียนจุนไคและคนอื่น ๆ เดินเข้าไปที่ห้องโถงด้านข้าง แม้จะบอกว่าเป็นห้องโถงแต่จริง ๆ มันก็เป็นห้องส่วนตัวเล็ก ๆ พื้นที่ไม่ใหญ่มาก ปกติก็มีแขกมาน้อยมาก นอกจากตอนที่มีแขกเต็มก็จะลูกค้ามาที่ห้องที่ไม่ค่อยดีแบบนี้
หลังจากที่เทียนจุนไคและคนอื่น ๆ นั่งลง ทุกคนก็เริ่มบ่น
“ยังไงพวกเราก็เป็นทายาทรุ่นที่สองนะ มากินข้าวในที่แบบนี้แล้วยังได้รับการปฏิบัติอย่างนี้อีก พูดไม่ออกเลยจริง ๆ”
“นั่นสิ ไปกินที่จื่อจิงฮวาดีกว่า”
“ถ้ามันไม่ไกลมาก ฉันคงขับไปตั้งนานแล้ว”
ทุกคนต่างก็ไม่พอใจ และสีหน้าของเทียนจุนไคก็ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว
“เดี๋ยวพวกคุณรอก่อน ผมจะไปถามผู้จัดการหน่อย ทำไมถึงจัดสถานที่แบบนี้ให้ผม”
ขณะที่พูดเทียนจุนไคก็เดินออกจากห้องไป ด้านนอกไม่มีคนอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าไม่มีแขกสักคน เมื่อเดินไปถึงด้านในสุดก็มีประตูไม้เนื้อแข็งที่มีห้องส่วนตัวแบบสองประตู ไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อเทียนจุนไคผลักประตูเข้าไป เขาก็ตกตะลึงทันทีเมื่อเห็นฉินจุนนั่งอยู่ด้านใน
“ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?”
ฉินจุนพูด “ฉันกำลังรอคนอยู่”
เทียนจุนไคแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “รอพวกเรางั้นเหรอ? คุณนี่ไม่รู้จักเกรงใจเลยจริง ๆ พวกเราต่างก็พูดขนาดนั้นแล้ว คุณก็ยังไม่ออกไปอีก เพื่ออาหารมื้อเดียวคุณนี่สุดยอดจริง ๆ ”
ในสายตาของเทียนจุนไค ฉินจุนเป็นคนที่มาขอข้าวคนอื่นกิน บางทีนอกจากขอข้าวแล้ว เขายังต้องการลองหยั่งเชิงคนอื่นดู พูดคุยเกี่ยวกับมิตรภาพเมื่อก่อน และดูว่ามีใครบ้างที่จะอยู่ข้างเขา
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฉินจุนก็แค่คนต่ำต้อย
หากเข้าหาเขาด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตน บางทีเทียนจุนไคก็อาจจะน่าสงสารและให้ทานเขาบ้าง
แต่ตอนนี้ฉินจุนยังถือว่าตัวเองเป็นคุณชาย และพูดกับเขาด้วยท่าทางไม่เคารพ คนแบบนี้สมควรที่จะตกอับ
“แต่เอาเถอะ ยังไงคุณก็มาแล้ว ฉันก็จะไม่ไล่ให้คุณไปหรอก เพื่อนกันทั้งนั้น คุณชอบกินอะไรก็สั่งได้เลย ถ้าคิดว่ากินไม่พอก็ห่อกลับได้ แต่อย่ามารบกวนเราก็พอ”
หลังจากพูดจบเทียนจุนไคก็กลับไปหาคนอื่น ๆ
“มาเถอะ ผมหาห้องส่วนตัวดีกว่าได้แล้ว”