ผู้รักษาสุดแกร่ง – ตอนที่ 95 ใส่ร้ายป้ายสี

ถังเสินหมายเลข 2 ยาเทพแบบนี้ ไม่ต้องกังวลเรื่องยอดขายเลย

ตอนนี้ยังเป็นการขายแค่เฉพาะทั่วในมณฑลเท่านั้น ไม่นานก็จะกลายเป็นการขายทั่วประเทศ

ถึงเวลานั้นบริษัทยาเหวินเหอของพวกเขาก็จะขยายใหญ่กว่าเดิม ทั้งหาตัวแทน ทั้งเปิดบริษัทสาขาย่อย

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม บริษัทก็จะต้องเติบโตมากกว่าเดิม

อีกอย่างไม่ถึงครึ่งปี ต้องได้ทำการเจาะตลาดต่างประเทศแน่นอน ถึงเวลานั้นก็ต้องทำการเปิดหาตัวแทนต่างประเทศ กำไรต้องหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายแน่นอน

เพราะมีบทเรียนจากครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้จู้หลินหลินจึงรีบทำการจดสิทธิบัตรก่อนเลย

แน่นอนว่าผ่านความยินยอมของฉินจุนมาแล้ว

สูตรยานี้สำหรับฉินจุนแล้วมันเป็นสูตรยาธรรมดามาก ๆ ก็ถือเป็นการยกให้จู้หลินหลินไปเลย

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ครอบครัวก็ต่างมีความสุข ทันใดนั้นจู้หย่งก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณปู่จู้ หลังจากพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

“พ่อ เกิดอะไรขึ้นคะ?”

จู้หย่งเอ่ย “ปู่ของลูกให้พวกเรากลับไปทานอาหารค่ำคืนนี้ บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”

จู้หลินหลินเองก็ขมวดคิ้วขึ้น “คงจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลุงใหญ่ใช่ไหมคะ?”

ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ คุณปู่เรียกให้พวกเธอกลับไปทานอาหารด้วย เห็นได้ชัดว่าต้องทำเพื่อเรื่องของจู้หมิงแน่ ๆ หรือว่าคุณปู่จะขอร้องขอความเมตตา?

ฉินจุนเอ่ย “เป็นไปได้นะ แต่ว่าที่ผมเคยพูดไปก่อนหน้านี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ ถ้าหากจู้หมิงต้องการให้พวกเราอ่อนข้อให้ ก็ต้องคุกเข่าสามวัน”

จู้หลินหลินเองก็ส่งเสียงอย่างไม่พอใจ “ถูกต้อง พวกเขาหน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้ จะยกโทษให้ง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด”

ตกค่ำ ครอบครัวของจู้หลินหลินและฉินจุนก็เดินทางมาที่บ้านตระกูลจู้ พอเดินเข้าประตูมา ก็เห็นจู้หมิงนั่งยอง ๆ อยู่ข้างหน้าคุณปู่พร้อมกับบีบนวดขาให้ด้วยสีหน้าซีดเซียว ส่วนจู้ซานกูที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าปกติ ดูเหมือนว่าสองวันที่ผ่านมาจะกังวลใจอย่างมาก

พอเห็นว่าจู้หย่งเดินเข้ามา จู้หมิงก็รีบลุกขึ้นยืน “ตารอง หลินหลินมาแล้ว รีบเข้ามาเร็ว วันนี้พวกเราห่อเกี๊ยวกินกัน”

สีหน้ารอยยิ้มประจบสอพลอนั่นของจู้หมิง ทำเอาคนอื่นรู้สึกขยะแขยงจริง ๆ

มีเพียงหวังหยุนเท่านั้นที่เดินก้าวเข้าไปข้างหน้าตอบรับพร้อมกับเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม

“พี่ใหญ่ก็เกรงใจกันเกินไปแล้วค่ะ”

หลังจากครอบครัวนั่งลงที่เก้าอี้กันหมด จู้ซานเตาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างทนไม่ไหว

“ตารอง ฉันได้ยินมาว่าแกกับพี่แกมีเรื่องทะเลาะกันนิดหน่อย”

แม้ว่าจู้ซานเตาจะไม่สนใจเรื่องทางโลกแล้ว อยากจะใช้บั้นปลายชีวิตในวัยเกษียณ แต่ว่าภายในตระกูลมีปัญหาขึ้นมาแบบนี้ เข้าก็ต้องเข้าไปยุ่งด้วยเสียหน่อย

โดยเฉพาะเรื่องของลูกชายทั้งสองคน ยิ่งวางใจไม่ได้เลย

จู้หย่งเอ่ย “พ่อครับ อันนี้ผมพูดความจริงไม่ได้โกหก พี่ใหญ่เป็นคนไล่พวกเราออกจากบ้าน เกรงว่าเรื่องนี้เขาคงจะไม่ได้บอกคุณพ่อสินะครับ”

จู้หมิงก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที

“ตอนนั้นฉันพูดไปด้วยความโมโหเฉย ๆ ไม่ใช่หรือไง มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ฉันก็แค่พูดไปแบบนั้นไม่ได้คิดอะไร ใครจะคิด ว่าพวกนายจะคิดเป็นจริงเป็นจัง!”

“ตารอง จู่ ๆ นายคิดจะไปก็ไป จะออกจากตระกูลจู้ก็ไม่คิดจะบอกคุณพ่อสักคำ หรือว่าปีกกล้าขาแข็งแล้ว ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง?”

สีหน้าของจู้หลินหลินเปลี่ยนไปทันทีเธอจึงรีบเอ่ย

“ลุงใหญ่คะ!ช่วยหยุดใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นจะได้ไหมคะ!”

ลุงใหญ่นี่ไร้ยางอายจริง ๆ ตัวเองผิดแล้วยังรีบไปฟ้องก่อนอีก เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาเป็นไล่คนอื่นให้ออกไป สุดท้ายกลับมาทำเหมือนว่าตัวเองไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น

หวังหยุนได้ยินแบบนั้นเข้า ก็รู้สึกเหมือนกลับมาบ้านตระกูลจู้จะมีเรื่องกันอีกแล้ว?

“พอแล้วหลินหลิน ไม่ต้องพูดแล้ว ในเมื่อมันเป็นเรื่องเข้าใจกันผิด ถ้าอย่างนั้นวันนี้พวกเราก็เคลียร์กันแล้ว คุณพ่อก็อยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องกันอีกแล้ว ต่อไปพวกเราก็เป็นครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนเดิม”

พอได้ยินคำพูดของหวังหยุน จู้หมิงก็ดีใจขึ้นมาทันที

“ยังถือว่าน้องสะใภ้เป็นคนมีเหตุผล ก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นความผิดของพี่ใหญ่เอง เพราะฉะนั้นพี่ต้องขอโทษพวกเธอด้วย!”

จู้หมิงยกแก้วเหล้าขึ้น ก่อนจะรินเหล้าให้พร้อมกับรอยยิ้มอย่างชอบใจ

ฉินจุนยิ้มอย่างเยาะเย้ย

“แค่รินเหล้าให้ก็จบแล้วเหรอ? ลุงใหญ่จู้คำพูดที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ ลืมไปแล้วเหรอครับ เมื่อไหร่ที่คุณขอร้องหลินหลิน คุณต้องคุกเข่าเป็นเวลาสามวัน”

สีหน้าของจู้หมิงเปลี่ยนไปและเขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม

“ไอ้เด็กน้อยอย่างแก อย่าให้มันเกินไปนักนะ นี่มันเป็นเรื่องในครอบครัวของตระกูลจู้ของเรา ใครใช้ให้นายเข้ามาแทรก?”

หวังหยุนเองก็ส่งเสียงไม่พอใจ “นั่นสิ ก็แค่คนนอกคนหนึ่ง มีสิทธิอะไรมายุ่งกับเรื่องในครอบครัวของเรา?นายคิดว่านายเป็นใคร?”

จู้หลินหลินทนดูต่อไปไม่ไหวและกล่าวว่า

“แม่พูดแบบนั้นได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของพี่เสี่ยวจุน คุณลุงและคนอื่นๆ จะยอมก้มหัวให้ไหม?”

หวังหยุนพ่นลมหายใจ “มันก็แค่ออกสูตรยาให้ ไม่รู้ว่าไปเอาสูตรมาจากไหนด้วย ก็แค่ฟลุ๊คโชคดีเท่านั้นแหละ ดูแลไม่ไหวก็ให้เงินมาสิ ทำไมยังจะต้องมาอยากได้ส่วนแบ่งของครอบครัวเรา?”

จู้หมิงกล่าวว่า “น้องสะใภ้พูดถูก ไอ้คนแซ่ฉินนี่มันคงทนไม่ได้ที่เห็นครอบครัวของเราได้ดี ทนดูครอบครัวของพวกเรารักใคร่กลมเกลียวไม่ได้”

ฉินจุนยิ้มอย่างสมเพช

“รักใคร่กลมเกลียว?”

“ตอนที่พวกคุณไล่คุณอากับหลินหลินออกจากบ้าน ทำไมไม่พูดว่ารักใคร่กลมเกลียวล่ะ?”

“ตอนที่คุณเป็นคนยื่นจดสิทธิบัตรแถมยังทำให้เพื่อนร่วมวงการแบนบริษัทยาเหวินเหอ ทำไมไม่พูดว่ารักใคร่กลมเกลียวล่ะ?”

“ตอนที่คุณยอมทำทุกอย่าง เพื่อขอร้องให้คนช่วยขัดขวางการหาพรีเซนเตอร์ของยาถังเสินหมายเลข 2 ทำไมไม่พูดว่ารักใคร่กลมเกลียวล่ะ?”

“พอตอนนี้คุณตกอับแล้ว ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ก็มาพูดเรื่องรักใคร่กลมเกลียว ทำไมคุณถึงได้หน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้?”

จู้หมิงพอโดนฉินจุนตอกหน้าเข้าก็สีหน้าซีดเซียวทันที

“แกมันไม่เจียมกะลาหัว!นี่มันเป็นเรื่องของครอบครัวฉัน มันเกี่ยวอะไรกับแก!ไสหัวออกไปซะ!”

จู้ซานเตาก็ส่งเสียงอย่างไม่พอใจ

“หุบปาก!”

“มาบ้านฉันบ้านแกอะไรกัน เสี่ยวจุนก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลจู้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ฉันจะดูสิใครจะกล้าไล่เขาออกไป!”

พอคุณปู่จู้เอ่ยออกไปแบบนี้ก็ไม่มีใครกล้าเถียงอะไรออกมาทันที

จู้หลินหลินจึงเอ่ย

“คุณปู่คะ ตอนที่คุณปู่อยู่โรงพยาบาล คุณปู่ต้องได้รู้ว่าลุงใหญ่ทำอะไรไว้กับพวกเราบ้าง มาตอนนี้จะมาพูดคำสองคำก็จะให้เรากลับมา หนูทำไมได้หรอกค่ะ”

ในเมื่อได้เปิดอกคุยกันแล้ว จู้หลินหลินก็ทนเก็บงำความในใจนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว

สีหน้าของจู้ซานเตาก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที มองหน้าจู้หมิงด้วยสายตาเยือกเย็น ส่งเสียงอย่างไม่พอใจ

“ตาใหญ่!แกเป็นคนทำผิด มีอะไรจะพูดไหม!”

จู้หมิงก้มหน้าก้มตา สีหน้าย่ำแย่อย่างสุด ๆ เขาขาดทุนตั้งห้าพันล้าน ถ้าหากจู้หลินหลินไม่ช่วยเขา เข้าต้องติดคุกแน่ ๆ

“พ่อครับ เป็นความผิดของผมเอง ผมไม่น่าทำแบบนี้กับครอบครัวของตารองเลย”

ฉินจุนส่งเสียงหัวเราะอย่างสมเพช “ไม่ต้องมัวขอโทษแล้ว บอกแล้วไง ให้คุณคุกเข่าสามวัน ห้ามขาดแม้แต่วันเดียว”

“แก……”

ท่าทางของฉินจุนนั้นดูเอาจริงมาก จู้ซานเตาเองก็เกิดอาการลังเล มองหน้าจู้หลินหลินพลางเอ่ยถาม

“หลินหลิน หลานก็ต้องการแบบนั้นเหรอ?”

จู้หลินหลินเอ่ย “พี่เสี่ยวจุนว่ายังไงหนูก็ว่าอย่างนั้นค่ะ”

สีหน้าของจู้ซานเตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะยังไงเขาก็เป็นหัวหน้าครอบครัว เขาก็หวังว่าครอบครัวจะอยู่กันอย่างสงบสุข

“เอาอย่างนี้ ตาใหญ่ทำผิดไปจริง ๆ ก็สมควรให้เขาคุกเข่า แต่ว่า ยังไงเขาก็เป็นลุงของหลินหลิน ถ้าให้เขามาคุกเข่าให้เรา มันก็ไม่ค่อยดีมั้งลูก”

จู้หลินหลินเอ่ย “ไม่ต้องมาคุกเข่าให้หนูหรอกค่ะ หนูไม่ได้ต้องการ ให้ลุงไปคุกเข่าต่อหน้าบรรพบุรุษเป็นเวลาสามวันค่ะ”

หน้าของจู้หมิงดำดิ่ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกขัดใจมาก แต่เขาทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย ดีกว่านั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของจู้หลินหลินเป็นเวลาสามวันมั้ง?

“ได้ พวกเธอวางใจได้ เดี๋ยวฉันจะไปคุกเข่าเลย”

“คุณพ่อ ช่วงนี้คุณพ่อป่วยอยู่ในโรงพยาบาลคงจะไม่รู้ว่า ตอนนี้หลินหลินได้ดิบได้ ได้ยินมาว่ากำลังกุ๊กกิ๊กกับท่านประธานของซวนหยวนกรุ๊ป”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset