คนคนนี้ยังหนุ่มแน่นเช่นนี้ ทำไมถึงได้เก่งขนาดนี้ได้?
อู๋เฟิงเหนียนรีบหมุนตัวในทันที และก็ต้องการตามออกไป
แต่ด้านหลังพลันมีเสียงของฉินจุนดังออกมา
“ให้พวกเขาไป แต่ไม่ได้ให้คุณไป”
ฝีเท้าของอู๋เฟิงเหนียนหยุดชะงัก เหงื่อเย็นๆของทั้งร่างกายไหลออกมา หันหน้าไป กำหมัดแน่น สีหน้าเขียวครึ้ม
“เรื่องนี้ผมจะไม่เอาเรื่องอีกแล้วก็ได้!”
อู๋เฟิงเหนียนยอมรับสภาพแล้ว
ลูกชายถูกทำร้ายจนพิการ เขากลับบอกว่าไม่เอาเรื่องอีก เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่กล้าเป็นศัตรูกับฉินจุนอีก
ฉินจุนหัวเราะอย่างเย็นชา “พวกคุณคนตระกูลอู่ ไม่ได้ผิดอยู่ที่อู๋เฉียงและอู๋ฟาง”
“ความผิดของพวกคุณ อยู่ที่ ไม่ควรเป็นหมาให้กับตระกูลซู”
ฉินจุนเดินไปทีละก้าวๆจนถึงตรงหน้าของอู๋เฟิงเหนียน ลดใบหน้าลงมองต่ำไปยังเขา พูดอย่างเยือกเย็น
“ในเมื่อพวกคุณชอบที่จะเป็นหมา ผมก็จะเติมเต็มความต้องการให้คุณ”
มือของฉินจุนตบลงบนไหล่ของอู๋เฟิงเหนียนอย่างเบาๆ ฉับพลันนั้น ทั้งร่างกายของอู๋เฟิงเหนียนเหมือนถูกกินแรง พริบตาเดียวก็ลงไปคุกเข่าที่พื้น สองมือยันพื้นไว้ ข้อมือและหัวเข่ามีความเจ็บปวดกระจายมาในเวลาเดียวกัน
อู๋เฟิงเหนียนร้องอย่างอนาถไม่กี่คำ กระดูกร่างกายของเขาจะเทียบกับอาจารย์ทั้งสองท่านนั้นได้อย่างไร ฝ่ามือนี้ของฉินจุนแทบเกือบจะทำให้เขาสลบไป
ในตอนที่อู๋เฟิงเหนียนมีสติกลับมาอีกครั้ง ลำคอพลันเย็นวาบ โซ่ล่ามหมาก่อนหน้านั้น ถูกฉินจุนใส่ไว้บนลำคอของเขา
สีหน้าของอู๋เฟิงเหนียนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“คุณทำอะไร! คุณกล้าทำกับผมแบบนี้ คุณไม่กลัวตระกูลซูเหรอ!”
กล้าทำให้เขาอับอายเช่นนี้ อู๋เฟิงเหนียนโกรธเคืองอย่างที่สุด ตระกูลอู๋ของเขาไม่ว่าจะพูดยังไงก็เกี่ยวดองกับตระกูลซูไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเขาอู๋เฟิงเหนียนเป็นมือขวาของตระกูลซู กิจการจำนวนมากของตระกูลซูล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของเขา ฉินจุนทำอย่างนี้ เห็นชัดว่าไม่ได้เอาตระกูลซูวางไว้ในสายตา!
ความโกรธของตระกูลซู คุณสามารถรับมันได้ไหวเหรอ!
ฉินจุนหัวเราะเย็นชา “ตระกูลซู? ผมเกรงว่าพวกเขาจะไม่กล้ามา”
ฉินจุนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง ตอนที่ถึงหน้าประตู ฝีเท้าก็หยุดลง พูดว่า
“น้าเฝิง ต่อไปถ้าหมากินอะไร ก็ให้เขากินอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อฟังสักเล็กน้อย ผมก็จะเอาชีวิตของเขา”
สิ้นเสียงคำพูดของฉินจุน ทั้งตัวของอู๋เฟิงเหนียนเกิดอาการสั่นเทิ้ม ตกใจจนเหงื่อเย็นๆไหลเต็มทั่วร่าง
มือเท้าถูกฉินจุนทำให้ใช้งานไม่ได้ หมอบคลานอยู่บนพื้น บนลำคอแขวนโซ่ไว้อยู่ โซ่อีกด้านผูกไว้บนกำแพง มองจากไกลๆ ก็เหมือนกับหมาตัวหนึ่งจริงๆ
…
ก็เป็นเช่นนี้ อู๋เฟิงเหนียนถูกฉินจุนเลี้ยงไว้ในบ้าน เหมือนหมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่ง
เพียงแต่ว่าน้าเฝิงจิตใจดี ไม่เหมือนกับที่ตระกูลถังทำต่อเธออย่างก่อนหน้านี้ ทุกวันก็ให้อู๋เฟิงเหนียนกินข้าวจนอิ่ม ทำหิวตาย
ตอนค่ำทำอาหารให้ฉินจุน แม้ว่าตอนนี้ในบ้านจะมีเพียงพวกเธอสองคน แต่น้าเฝิงก็ยังคงไม่ได้ทำแตกต่างจากเดิม
คุณชายกินข้าว เธอก็ยืนคอยรับใช้อยู่ด้านข้าง
เห็นว่าคุณชายยังคงชอบกินสันในหมูผัดเปรี้ยวหวานอยู่ น้าเฝิงก็พูดอย่างปลื้มปริ่มว่า
“เฮ้อ จำได้ว่าเมื่อก่อนคุณชาย คุณหนูจู้ ทั้งยังมีคุณหนูเย่ พวกคุณทั้งสามคนชอบกินสันในหมูผัดเปรี้ยวหวานที่ฉันทำที่สุดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตระกูลเย่เป็นยังไงบ้างแล้ว”
ฉินจุนวางตะเกียบลง แล้วพูดว่า
“น้าเฝิงวางใจได้ ไม่กี่วันนี้ผมก็จะไปหาน้องหวันเอ๋อ”
ในปีนั้นที่ฉินจุนสามารถหลบหนีมาได้ โชคดีที่มีน้องหวันเอ๋อ ทำให้ตระกูลจู้อยู่ตัวแล้ว แน่นอนว่าขั้นต่อไปฉินจุนก็จะต้องไปตามหาน้องหวันเอ๋อ
แล้วก็ เขาให้ซุนเจี้ยนหมินไปสืบหาข่าวแล้ว
ตอนนี้ครอบครัวของเย่หวันเอ๋อใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป
ตอนนี้เย่หลงพ่อของน้องหวันเอ๋อไม่ได้ทำงาน หวังเหมยผู้เป็นแม่ทำงานเป็นพนักงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
และเย่หวันเอ๋อ ก็ทำงานอยู่ที่คลีนิกแห่งหนึ่ง
สิบปีก่อน ตระกูลฉินถูกทำลาย สาเหตุที่ฉินจุนสามารถหลบหนีออกมาได้ ทั้งหมดล้วนอาศัยความช่วยเหลือของน้องสาวตระกูลเย่
ตระกูลเย่ตระกูลจู้ตระกูลถังในปีนั้น ล้วนเป็นตระกูลลำดับขั้นที่สองที่อาศัยพึ่งพิงการมีอยู่ของตระกูลฉิน
ในวันนี้ แม้ว่าตระกูลจู้ตระกูลถังได้รับการบีบคั้นอยู่บ้าง แต่ก็ฝืนทนรอดต่อไปได้ แต่ตระกูลเย่…
เพราะเป็นคนช่วยฉินจุนในปีนั้น ตระกูลเย่ได้รับระลอกคลื่นใหญ่มาก จากตระกูลลำดับขั้นที่สองก็กลับกลายเป็นครอบครัวธรรมดาทันที ถึงกระทั่งว่าก็ยังเทียบไม่ได้กับแม้แต่ครอบครัวธรรมดา
เช้าวันต่อมา ฉินจุนก็อาศัยตามที่อยู่ที่ซุนเจี้ยนหมินให้มา ไปยังคลีนิกที่เย่หวันเอ๋อทำงานอยู่
สิบปีก่อนฉินจุนอายุสิบสองปี เย่หวันเอ๋อเองก็เพิ่งจะสิบปีเท่านั้น เด็กสองคน ก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่นัก เป็นแค่เพื่อนเล่นกันในวัยเด็กเท่านั้น
ในตอนที่ฉินจุนเกิดเรื่อง เย่หวันเอ๋อไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กน้อยน่ารักบริสุทธิ์คนนั้นในปีนั้น เกรงว่าฉินจุนคงจะถูกคนทำร้ายฆ่าตายไปนานแล้ว
คิดไม่ถึงว่า เพราะบุญคุณความช่วยเหลือของปีนั้น ลูกสาวที่เดิมทีอยู่ในครอบครัวตระกูลร่ำรวย กลับตกต่ำจนต้องมาทำงานให้กับคนอื่นเพื่อหาเงิน
คิดถึงตรงนี้ ฉินจุนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
อย่างรวดเร็ว ก็มาถึงคลีนิกที่เย่หวันเอ๋อทำงานอยู่
นี่เป็นคลินิกส่วนตัวที่มีขนาดไม่เล็กแห่งหนึ่ง ทั้งยังเป็นคลีนิกแพทย์แผนจีนด้วย
แม้ว่าตอนนี้แพทย์แผนจีนจะเงียบเหงา แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากเชื่อถือแพทย์แผนจีน โดยเฉพาะคนที่มีชื่อเสียง ผู้ป่วยก็มาอย่างไม่ขาดสาย มาด้วยความเลื่อมใส
ดังนั้นคลีนิกแพทย์แผนจีนเช่นนี้ก็สามารถพบเห็นได้บ่อย
ด้านในคลินิกแพทย์แผนจีน หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดเข็มเงินและพวกอุปกรณ์อยู่
เย่หวันเอ๋อก็เหมือนกับฉินจุน ความฝันในวัยเด็กล้วนมีแรงบันดาลอยากเป็นหมอ
น่าเสียดาย ไม่กี่ปีก่อนตอนที่เย่หวันเอ๋อกำลังจะสอบเกาเข่า ก็ถูกไล่ออกจากตระกูลเย่ ตกยากลำบากตั้งแต่ตอนนั้น
ตระกูลเย่นั้นเพื่อที่จะกดทับครอบครัวของพวกเขาให้ได้อย่างแท้จริง กระทั่งใช้เส้นสาย เพื่อทำให้เย่หวันเอ๋อไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเกาเข่าได้
ไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยทางการแพทย์ได้ ความฝันของเย่หวันเอ๋อก็กลายเป็นฟองอากาศแล้ว ทำได้เพียงอยู่ในคลีนิกแพทย์แผนจีนแห่งนี้เรียนรู้ ทำงานหาเงินใช้จ่ายในชีวิตไปพลาง เรียนรู้บางอย่างกับอาจารย์ไปพลาง
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด
รูปร่างหน้าตาของเย่หวันเอ๋อโดดเด่น บริสุทธิ์ผุดผ่อง เจ้าของคลินิกเกิดความคิดมิดีมิร้าย ส่งสัญญาณทั้งแบบนัยๆและแบบเปิดเผยมาไม่หยุด ทำให้เย่หวันเอ๋อไม่ชอบอย่างมาก
“หวันเอ๋อจ๋า ไม่ต้องทำแล้ว พักผ่อนสักหน่อยเถอะ คนไข้ช่วงเช้าที่นัดไว้ตรวจเสร็จหมดแล้ว ตอนบ่ายค่อยทำแล้วกัน”
หลิวหมิงเต๋อเจ้าของคลินิก ปีนี้อายุสามสิบแปดปี อวบ หัวเถิกโล้น รูปลักษณ์มาตรฐานของชายวัยกลางคนพุงพลุ้ย
แม้ว่าสิ่งที่เรียนจะเป็นแพทย์แผนจีน แต่ก็ไม่ได้ดูแลตนเองอย่างไรเลย ดูแล้วเหมือนอายุสี่ห้าสิบปีแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลิวหมิงเต๋อเดินมาถึงตรงหน้าของเย่หวันเอ๋อ พูดพลางหัวเราะคิกๆ
“หวันเอ๋อจ๋า คุณดูมือของคุณสิ บอบบางอ่อนนุ่ม ทำงานอย่างนี้บ่อยๆ ต่อไปก็จะหยาบกระด้างนะ”
พูดไปแล้ว หลิวหมิงเต๋อก็ยื่นมือไปคิดจะจับมือของเย่หวันเอ๋อ
เย่หวันเอ๋อรีบหลบทันที “ขอบคุณหมอหลิวมาก ฉันหาเงินด้วยเรี่ยวแรง ไม่สนใจว่าหยาบหรือไม่หยาบ”
บนใบหน้าของหลิวหมิงเต๋อมีสีหน้าสับปลับ ดวงตากวาดมองเส้นเว้าโค้งบนร่างกายของเย่หวันเอ๋อ กล้ำกลืนน้ำลายลงไป
“หวันเอ๋อจ๋า คุณดูสิคุณยังสาวอยู่ขนาดนี้ก็ทำงานแบบนี้แล้ว ต่อไปจะได้หยุดตอนไหน?”
“คุณมาอยู่กับผมดีกว่า ต่อไปคุณก็จะได้เป็นเจ้าของด้วยแล้ว ใช้ชีวิตสบายกินอิ่มนอนหลับไม่ดีเหรอ?”
เย่หวันเอ๋อปรากฎสีหน้ารังเกียจ ขมวดคิ้ว
“หมอหลิว ขอให้คุณรู้ตัวหน่อยนะ คุณเป็นคนที่มีภรรยาแล้ว”
หลิวหมิงเต๋อหัวเราะหึๆ ไม่มียางอายแม้แต่น้อย
“หญิงแก่หน้าเหลืองที่บ้านของผมจะเทียบกับคุณได้ยังไง ถ้าคุณมาอยู่กับผม ผมจะดูแลคุณอย่างดีนะ”
เย่หวันเอ๋อเบ้ปากอย่างรังเกียจ เป็นแค่เจ้าของคลินิกเท่านั้น คิดว่าตนเองเป็นราชาแล้ว?
“ต่อไปหมอหลิวก็อย่าพูดอย่างนี้เลย ไม่งั้นฉันก็จะลาออกแล้ว”
ถ้าไม่ใช่เพราะเย่หวันเอ๋อยังหางานที่เหมาะสมไม่ได้ ก็คงจะลาออกไม่ทำแล้วตั้งนานแล้ว วันๆเจอแต่หน้าคนแบบนี้ ทำให้อึดอัดใจจริงๆ
หลิวหมิงเต๋อขมวดคิ้ว ในใจคิดว่ายังไงวันนี้ก็คงไม่มีใครมาแล้ว ตัดสินใจแล้ว ถ้าไม่ทำก็คือไม่ทำ แต่ถ้าทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด!
ถอดกระดุมบนเสื้อของตนเอง เดินทีละก้าวไปทางเย่หวันเอ๋อ