หลังออกจากบ้านตระกูลถัง ฉินจุนโทรไปหาซุนเจี้ยนหมิน
“ศิษย์พี่ ฉันคือซุนเจี้ยนหมิน มีอะไรจะให้ทำ?”
“แจ้งไปยังทุกตระกูลใหญ่ อีกสองวัน ให้ไปเขาทางเหนือของตงซาน ไหว้บรรพบุรุษ”
“รับทราบ ศิษย์พี่”
หลังจากวางสาย ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ทุกตระกูลก็ได้รับสายของซุนเจี้ยนหมิน
ผู้บริหารซุนออกคำสั่งด้วยตัวเอง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมาก
เนื้อหาคำสั่งค่อนข้างง่าย ตัวแทนแต่ละตระกูล ไปที่เขาทางเหนือตงซานในวันมะรืนเวลาเก้าโมงเช้า สวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบร้อย
เมื่อคำสั่งนี้ถูกส่งออกไป ทุกตระกูลใหญ่ก็ต่างสับสนเล็กน้อย
วันมะรืนเวลาเก้าโมงเช้า? ไปทำอะไรที่เขาทางเหนือตงซาน?
ที่นั่นเป็นป่าช้าไม่ใช่เหรอ?
“บ้านของผู้บริหารซุนมีคนเสียชีวิตเหรอ?”
“พูดเล่นอะไรกัน ถ้าบ้านของผู้บริหารซุนมีคนเสียชีวิต ก็ต้องฝังที่สุสานสิ จะไปฝั่งไว้ทำไมที่บนเขาได้ยังไง?”
“พูดยากมาก ผู้บริหารซุนเป็นที่ง่ายๆ การที่จะฝั่งไว้บนเขาตงซานก็มีความเป็นไปได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราต้องไม่ละเลย เช้าวันมะรืน สวมชุดดำล้วน ใครก็ห้ามสาย!”
“ใช่ๆ การที่สามารถไปร่วมงานศพของบ้านผู้บริหารซุนถือเป็นเรื่องน่ายินดีมาก นี่แปลว่าผู้บริหารซุนไม่ได้มองเราเป็นคนนอก นี่คือสัญลักษณ์ของสถานะ!”
หลังจากได้ยินดังนั้น ทุกตระกูลใหญ่ต่างก็ดีใจ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก
หลังจากซุนเจี้ยนหมินได้แจ้งไป ทุกตระกูลถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด
การที่ครั้งนี้ได้มีโอกาสเจอหน้าผู้บริหารซุน ถือเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตแน่นอน
และไม่ได้จำกัดว่าแต่ละตระกูลมาได้กี่คน ทำให้ใครที่อยากไป ก็ไปกันหมด
ตระกูลจู้ ก็ได้รับแจ้งแล้ว
“พี่ใหญ่ พวกเราจะไปไหม?” จู้ซานกูถาม
จู้หมิงพยักหน้า “ไปแน่นอน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะประจบประแจงผู้บริหารซุน เพราะไอ้สารเลวของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลจู้ของเราโดนคนตระกูลอื่นแยกออกมา ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสแบบนี้ พวกเราต้องไปแน่นอน”
“ประการแรก อธิบายให้ตระกูลใหญ่ทั้งสามว่าพวกเราได้ไล่จู้หลินหลินออกจากบ้านแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว”
“ประการที่สอง เป็นโอกาสที่ดีที่จะประจบประแจงผู้บริหารซุน และอาจมีโอกาสได้เจอกับประธานเมิ่งจากตระกูลเมิ่งกรุป เชื่อมความสัมพันธ์กันไว้”
คำพูดของจู้หมิง ทุกคนต่างก็เห็นด้วย
ฉินจุนทำตระกูลจู้ของพวกเขาไว้แย่มาก ทำให้สามตระกูลใหญ่ขุ่นเคือง หากไม่รีบหาที่เกาะใหม่ ตระกูลจู้ของพวกเขาต้องแย่แน่ๆ
ไอ้สารเลวตระกูลฉินนี่ตลกจริงๆ ยังให้จู้หมิงคุกเข่าขอร้องให้พวกเธอกลับมา?
ฝันอะไรยิ่งใหญ่ไปไหม?
……
เวลาสองวัน จู้หลินหลินและจู้หย่งพยายามหลีกเลี่ยงหัวข้อการไหว้บรรพบุรุษ เพราะว่าพวกเขาก็ได้รับข่าวนั้นเหมือนกัน อีกสองวัน ผู้บริหารซุนและตระกูลอื่นจะไปไหว้บรรพบุรุษที่เขาตงซาน
นั่นเป็นถึงผู้บริหารซุน!
เมื่อมีเขาอยู่ สมาชิกหลักของตระกูลอื่นๆ ก็จะอยู่ที่นั่นด้วย มีคนมากมายอยู่ที่นั่น ฉินจุนคงไม่มีแม้แต่โอกาสได้ไหว้คนของตระกูลฉิน
ทุกคนต่างเป็นคนที่มีหน้ามีตา เป็นผู้บริหาร
ฉินจุนเป็นแค่คนธรรมดา กลัวว่าเมื่อถึงเวลาแม้แต่ตีนเขาฉินจุนก็เข้าไม่ได้
และหากเข้าไปได้แต่ถูกคนของสามตระกูลใหญ่เห็นเข้า กลัวว่าแม้แต่กระดูกของคนตระกูลฉินก็ไม่สามารถอยู่บนเขาตงซานได้
บางทีพวกเขาจะขุดหลุมฝังศพ โยนศพทิ้งในถิ่นทุรกันดาร คนตายไปก็ไม่อาจไม่สงบ!
เดิมที จู้หลินหลินและพ่อของเธอได้รับปากฉินจุนว่า จะไปไหว้บรรพบุรุษกับเขา แต่ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงห้ามฉินจุน หวังว่าเขาจะไม่ไปซวย
การไหว้บรรพบุรุษยังมีเวลา หลีกเลี่ยงจังหวะที่สำคัญก็พอแล้ว
ดังนั้น จู้หลินหลินและพ่อของเธอไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย เมื่อถึงเวลาขอให้ฉินจุนลืมมันไป
แต่น่าเสียดาย วันครบรอบตระกูลฉิน ฉินจุนจำได้ขึ้นใจ จะลืมได้ยังไง?
เขาเรียนหมอสิบปี ก็เพื่อให้ศัตรูในอดีตคุกเข่าลงต่อหน้าหลุมศพพ่อแม่
สองวันผ่านไป วันครบรอบการตายสิบปีของตระกูลฉิน ฉินจุนตื่นแต่เช้า สวมชุดขาวล้วน ฟ้ายังไม่สว่างก็ออกจากบ้านตระกูลจู้แล้ว
หลังจากจู้หลินหลินตื่นนอน เพิ่งรู้ว่าฉินจุนออกไปแล้วก็รีบตื่นขึ้นมา
“พ่อ!ทำยังไงดี พี่เสี่ยวจุนออกไปแล้ว หากเจอกับสามตระกูลใหญ่ พี่จุนต้องเป็นอันตรายแน่ๆ!
จู้หย่งก็กังวลเช่นกัน “เสี่ยวจุนไอ้หมอนี่ไม่มีความสามารถไร้อำนาจ เมื่อพบปะขึ้นมา จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน ที่นั่นยังมีคนใหญ่คนโตอย่างผู้บริหารซุนและท่านประธานเมิ่ง หากฉินจุนไปแล้ว เจอกับคนใหญ่คนโตสองท่านนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เร็วเข้า พวกเราต้องรีบไปห้ามเขา!”
จากนั้นจู้หลินหลินและพ่อของเธอที่กำลังจะรีบออกจากบ้าน ก็ได้รับสาย สีหน้าของจู้หย่งเปลี่ยนไป!
หลินหลิน!แย่แล้ว แม่ของเธอถูกจับตัวไป!”
สีหน้าของจู้หลินหลินซีดลงทันที “เกิดอะไรขึ้นใครจับตัวแม่ไป!”
“คนของตระกูลฉี!คนของตระกูลฉีบอกว่า ต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน บอกว่าจะตีขาทั้งของข้างของแม่เธอหัก ให้เธอไปขอทาน!”
สีหน้าของจู้หลินหลินเป็นสีเทา เธอรู้ เพราะว่าวันนั้นที่ประชุมเสนอราคา ทำให้ตระกูลฉีขุ่นเคือง ดังนั้นแม่ของเธอจึงถูกจับตัวไป!
“ทำยังไงดี ทำยังไงดีพ่อ!”
จู้หย่งขมวดคิ้ว คิดไตร่ตรองสักพัก แล้วพูด
“พ่อได้ยินมาว่า ตระกูลจินมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฉี งั้นเราขอร้องตระกูลจินกัน!”
จู้หลินหลินขมวดคิ้ว ตระกูลจินที่ว่าก็คือตระกูลที่จู้หลินหลินต้องแต่งงานด้วย
เดิมที จู้หลินหลินค่อนข้างไม่ชอบ แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของแม่สำคัญกว่าจึงไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น
“พ่อรีบโทรเลย!”
สองพ่อลูกอดไปไหว้บรรพบุรุษกับฉินจุนเลย รีบโทรหาคุณชายจิน
คุณชายจิน เมื่อจินซานหลง ก็ตกใจอย่างมาก
ทำให้ฉีเซียนสูญเสียขาทั้งสองข้าง!
นี่จะกล้าเกินไปแล้ว!
“หลินหลิน คุณลุงจู้ เรื่องนี้…..ผมทำได้แค่ลองดู”
ล้มล้างความผิดครั้งใหญ่ขนาดนี้ของตระกูลฉี หน้าตาตระกูลจินของพวกเขาใช่ว่าจะเป็นประโยชน์ ทำได้แค่ลองดูเท่านั้น
……
ในเวลาเดียวกัน บนเขาตงซาน เต็มไปด้วยคนมากมาย
ป่าช้าแห่งนี้ไม่สามารถเข้าไปได้ ทางเดินยังไม่มีเลย ทุกคนต่างจอดรถไว้ที่ตีนเขาและเดินขึ้นไป
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีใครบ่น
ใกล้เวลาเก้าโมง รถเบนท์ลีย์คันหนึ่งจอดอยู่ตรงตีนเขา ชายคนหนุ่มลงมาจากรถ ใส่เสื้อด้วยชุดดำทั้งชุด เดินขึ้นมา
“คือประธานเมิ่ง!ประธานเมิ่งจากตระกูลเมิ่งกรุป!”
นี่คือคนที่รวยที่สุดในมณฑลฮั่นตง!เป็นคนที่สามารถกำหนดเส้นชีวิตของเศรษฐกิจตงไห่ทั้งหมดได้!
มีแค่ตระกูลใหญ่ไม่กี่ตระกูลที่กล้าเดินเข้าไปทัก ส่วนคนที่เหลือแม้แต่โอกาสที่จะได้จับมือกับเมิ่งเหวินกังยังไม่มี
หลายวันมานี้ซวนหยวนกรุปกำลังก่อตั้ง พวกเขาต้องประจบประแจงเมิ่งเหวินกัง
แต่ทว่า การกระทำที่เมิ่งเหวินกังทำต่อพวกเขาอย่างเฉยชามาก ทุกคนก็ไม่สามารถสามารถแสดงท่าทีโมโหได้
ประธานเมิ่งเพิ่งถึง ด้านหลังก็มีรถอีกคันจอดอยู่ด้านล่าง ผู้บริหารซุนก็มาถึงที่นี่แล้ว
ทุกคนต่างรุมล้อมเข้าไป และแสดงความนับถือ
ผู้บริหารซุนก็สวมใส่ชุดดำทั้งชุด ดูเคร่งขรึมมาก
หลังจากซุนเจี้ยนหมิ่งขึ้นมา ตงชานบังคับใช้กฎอัยการศึกทันที มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอยู่รอบภูเขา มีอาวุธ พร้อมรบ
มองไปยังตัวแทนจากทุกตระกูลใหญ่ ทุกคนแต่งตัวจริงจังมาก ซุนเจี้ยนหมิ่งพยักหน้า
“ทุกคนมากันครบแล้วใช่ไหม?”
“ไปกันเถอะ”
ซุนเจี้ยนหมิ่งและเมิ่งเหวินกังเดินนำหน้าและคนของแต่ละตระกูลใหญ่เดินตาม
ทุกคนแต่งกายด้วยชุดดำดูเคร่งขรึม เดินตามสองท่านอยู่ข้างหลัง เดินเข้าไปในป่าลึก
ภายในป่ามีหลุมศพดินที่ไม่มีป้ายจารึก
มีต้นไม้ หมอกจางๆ
ในส่วนลึกของเมฆ ร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏให้เห็น
ฉินจุนอยู่เพียงลำพัง ยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพของตระกูลฉิน
เสื้อผ้าสีขาวพลิ้วไหว ยืนหยัดอย่างภาคภูมิ