มีเสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวในทิศทางของวัดต้าเล่ยยิน ดูเหมือนว่าสัตว์ร้ายโบราณที่ดุร้ายมากตัวหนึ่งกำลังคุ้มคลั่ง
แต่เสียงคำรามที่สยดสยองนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรกับบริเวณรอบๆแท่นบูชาห้าสีได้
“นั่นคืออะไร?”
“มีสิ่งมีชีวิตอื่นบนดาวอังคารหรือปล่าว”
“ในตำนาน พระพุทธเจ้าทรงปราบสัตว์ประหลาดและอสูรมากมาย บางทีที่จองจำพวกมันนั้นอาจอยู่ใกล้วัดต้าเล่ยยิน”
หลังจากพูดได้ไม่กี่คำ ทุกคนก็รู้สึกตัวสั่น ในฐานะคนเมืองสมัยใหม่ ตำนานพวกนี้ย่อมไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องไร้สาระ
แต่วันนี้ช่วงนี้พวกเขาพบเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดมากเกินไปดังนั้นความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจึงแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หากการคาดเดาเป็นจริง สถานการณ์ของพวกเขาจะน่ากังวลอย่างยิ่ง วัดต้าเล่ยหยินได้หายไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าเทพเจ้าที่ปราบปรามปีศาจพวกนั้นอยู่ก็หายไปด้วย
“พวกเราจะมีชีวิตรอดได้หรือเปล่า…”
“ปีศาจในตำนานอาจปรากฏตัวขึ้นมาก็ได้!”
ทันทีที่ทุกคนคิดถึงข้อนี้พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา
ความเป็นไปได้ไม่รู้จบ ชะตากรรมที่ไม่รู้ ทำให้ผู้คนกลัวและกังวล!
ในขณะนั้น มีศพเย็นเยียบอยู่ต่อหน้าต่อตาทุกคน เลือดเปื้อนพื้นและและส่งกลิ่นคาวจางๆเตือนทุกคนว่าตอนนี้สถานการณ์แย่มาก อันตรายอาจจะจู่โจมพวกเขาได้ตลอดเวลา
“แกรก!”
เสียงที่อธิบายไม่ได้ดังออกมาจากหัวของศพ ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกประหม่าในทันที
“บา”
มันเป็นเหมือนเสียงเคี้ยวอะไรบางอย่าง ฟังดูไม่สบายใจมาก ท้ายที่สุดนั่นก็คือหัวมนุษย์ ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกำลังกินสมองของเขาโดยตรง
“เอี๊ยด”
เสียงบดกระดูกดังขึ้น ราวกับว่าฟันแหลมคมกำลังตัดกะโหลก และบรรยากาศในบริเวณรอบๆก็เต็มไปด้วยความหดหู่และสยดสยองทันที
ไม่มีใครคุยกันอีกแล้ว แท่นบูชาห้าสีก็เงียบลงในทันใด หลายคนไม่กล้าเคลื่อนไหว ความเงียบนั้นรุนแรงมากและมีลมหายใจแห่งความสยดสยองครอบงำทุกคน
นี่เป็นการทรมานแบบหนึ่ง เสียงกิน เสียงกะโหลกพังทลาย ทั้งสองเชื่อมต่อกันเหมือนนรก ทรมานจิตใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่
สาวๆหลายคนปิดปากอยากร้องไห้แต่ไม่กล้าส่งเสียงออกมาเพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นรายต่อไป
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่กลัว โดยเฉพาะกลุ่มที่ถือครองของวิเศษที่ได้จากวัด ผังป๋อมีความดุร้ายเป็นอย่างมากเขาลากป้ายทองแดงนั้นขึ้นมาฟาดศีรษะของศพของเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว
เย่ฟ่านหยุดเขาและกล่าวว่า
“อย่าทำแบบนั้น”
“ก็ได้”
ในขณะนี้ เลือดไหลออกมาจากรูเลือดบนหน้าผากของศพและยังมีของเหลวสีขาวปะปนอยู่ด้วย หลายคนรู้สึกคลื่นไส้นั่นมันเป็นสมองของคนชัดๆ
จากนั้นก็มีตัวอะไรบางอย่างออกมาจากรูเลือดมันมีเกล็ดปกคลุมรอบตัว
“มันคืออะไร?”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอย แม้แต่เย่ฟ่านและผังป๋อก็ถอยหลังไปสองสามก้าว
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมีลักษณะคล้ายจระเข้ ร่างกายของมันไม่เพียงแต่จะถูกอาบด้วยเลือดเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงของเหลวที่เกิดจากมันสมองมนุษย์อีกด้วย
มันมีความยาวเพียงสิบเซ็นติเมตร หนาเพียง 1 นิ้ว แม้จะมีลักษณะคล้ายจระเข้แต่กลับไม่มีขา
เลือดและพลาสมาในสมองปนเปื้อนเกราะเกล็ดสีดำของมัน ซึ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงและทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฏชื่อนี้คลานออกมาจากรูเลือดและปีนขึ้นไปบนหัวของศพ
ดวงตาคู่เล็กๆเผยให้เห็นถึงความเย็นยะเยือก จ้องมองทุกคนอย่างเงียบๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาแต่กลับอาศัยอยู่ในร่างกายระดับต่ำของเดรัจฉาน
เพื่อนร่วมชั้นทั้งเจ็ดคน พวกเขาเรียนในชั้นเดียวกันมาสี่ปี แต่หลายชีวิตต้องถูกทิ้งไว้ที่นี่ ถูกสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวตัวนี้กินสมองไปอย่างอำมหิต
ดวงตาของมันดุร้ายอย่างยิ่ง จ้องมองทุกคนอย่างเย็นชาราวกับภูตผี มันไม่ได้มองพวกเขาเหมือนกันดำรงอยู่ระดับเดียวกันแต่มองพวกเขาเป็นอาหารชนิดหนึ่ง
“แม่ของเอ็งสูงแค่ 3 นิ้ว แต่กลับกล้าที่จะกินเพื่อนเราไปหลายคน พ่อคนนี้จะตีเอ็งให้ตาย!”
ผังป๋อหยิบแผ่นทองแดงของวิหารต้าเล่ยหยินขึ้นมาและขยับอย่างแรงพร้อมกับโจมตีสิ่งมีชีวิตที่เลือดเย็นนี้
สายฟ้าสีทองสาดกระจายออกมาจากแผ่นทองแดง มันพุ่งไปข้างหน้าราวกับตาข่ายของสวรรค์โดยไม่ปล่อยโอกาสให้จระเข้ตัวนั้นหลบหนีไป
“สวูช”
อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักนี้ก็เร็วมาก ดูเหมือนว่าจะรู้ว่าการโจมตีครั้งนี้สามารถทำอันตรายมันได้ดังนั้นมันจึงเคลื่อนที่หลบหนีออกจากรัศมีสังหารโดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
ผังป๋อถือตะเกียงทองแดงและก้าวไปข้างหน้า เขาตบตัวตะเกียงเบาๆแล้วทำให้เปลวไฟพุ่งเข้าหาสิ่งมีชีวิตตัวนั้น
สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดยาวเพียง 10 เซนติเมตรส่งเสียงกรีดร้อง เสียงนั้นน่าตกใจ มันเหมือนเสียงคำรามของปีศาจ ใบหูของทุกคนรู้สึกเจ็บปวดคล้ายกับว่าวิญญาณของพวกเขาจะหลุดออกจากร่าง
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าตัวของมันเล็กๆแค่นี้สามารถสร้างเสียงที่ดังขนาดนั้นได้อย่างไร
เปลวไฟของไส้ตะเกียงของเย่ฟ่านระเบิดออกไปประมาณสามเมตร แต่มันไม่ได้กลืนสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักเข้าไปจริงๆแต่เพียงแค่เผาหางของมันเล็กน้อยแล้วทำให้เกล็ดของมันหลุดออกมา
มันจ้องไปที่เย่ฟ่านอย่างดุร้าย ด้วยท่าทางเหมือนมนุษย์ ปากของมันอ้ากว้างแล้วส่งเสียงคำรามไปยังเย่ฟ่าน
“นี่อะไรเนี่ย”
นักเรียนหลายคนที่อยู่ด้านหลังกลัวมาก แม้ว่าพวกเขาจะมีเทพเจ้าปกป้องอยู่ก็ตาม แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า
“แกตัวเล็กแค่นี้ แต่กล้าใช้สายตาดุร้ายจ้องมองลูกพี่ใหญ่ สงสัยต้องการที่จะตายจริงๆ”
ผังป๋อนั้นกล้าหาญและดุร้ายมาก หลังจากยกแผ่นทองแดงขึ้นเขาก็วิ่งเข้าหามันโดยไร้ซึ่งความกลัว
“แกฆ่าเพื่อนของฉันวันนี้แกต้องชดใช้!”
ผังป๋อถูกปกคลุมด้วยแสงระยิบระยับที่เปล่งออกมาจากแผ่นทองแดง มันทรงพลังเหมือนกับเทพสงครามที่กำลังปะทุขึ้นด้วยความโกรธ
แผ่นทองแดงสั่นสะเทือนและเสียงสวดมนต์ก็ดังกึกก้องขึ้นทั่วบริเวณ
เย่ฟ่านก็ไม่อยู่เฉย เขาเดินไปดักสัตว์ร้ายตัวนี้อยู่อีกด้านหนึ่งป้องกันไม่ให้มันหลบหนี
เปลวไฟในตะเกียงวิเศษระเบิดออกมาราวกับมังกรที่โกรธจัด และอุณหภูมิที่ร้อนจัดก็ทำให้ความว่างเปล่าดูบิดเบี้ยวเสียรูปทรง
ในเวลานี้โจวยี่ หวังจื่อเหวินและคนอื่นๆที่ครอบครองวัตถุวิเศษก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะถูกไล่ล่าและขวางกั้น แต่สิ่งมีชีวิตนี้ก็เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ มันหายตัวไปจากตรงนั้นตรงนี้แต่ไม่ได้จะพยายามโจมตีใครอีก
สิ่งมีชีวิตตัวนี้ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธเหมือนกับเสียงของภูตผีที่ร่ำไห้
ทันใดนั้นก็มีเสียงจากม่านแสงดังขึ้น และสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดคล้ายกับจระเข้ตัวนี้ก็เจาะม่านแสงป้องกันของแท่นบูชา 5 สีเข้ามาได้สำเร็จ
พวกมันมีความยาวไม่กี่เซนติเมตรแต่พวกมันมีจำนวนมากมายมหาศาลและดวงตาของพวกมันก็จดจ้องพวกเขาราวกับเหยื่ออันโอชะ
“ทำไมถึงมีเยอะขนาดนี้”
“นี่มันตัวอะไรกันแน่ ดาวอังคารคือรังของมันหรือเปล่า”
ในตอนนี้ทุกคนต่างรู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ใช่พระเจ้า พวกเขาไม่รู้วิธีใช้สิ่งประดิษฐ์ในมือ พวกเขาสามารถพึ่งพาได้เฉพาะการปกป้องของอาวุธที่ออกมาเอง
เย่ฟ่านที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา ตอนนี้ทุกคนไม่มีความกล้าที่จะช่วยเหลือเขา ดังนั้นเย่ฟ่านจึงยังคงนิ่งอยู่!