เป็นเช่นที่อาซพูด ไอซิสออกเดินทางจากราชอาณาจักรโครอามุ่งหน้ากลับสู่จักรวรรดิหลังจากนั้นไม่นานนัก
มาโดยที่ไม่มีข่าวลืออะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานเลย ต่างจากที่บอกไว้ว่าจะไปแต่งงานกับจักรพรรดิแห่งโครอา
ราวกับกลับมามือเปล่าโดยไม่มีอะไรสำเร็จสักอย่าง
และอาเรียที่ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้มาจากอาซก็ได้แต่ยิ้มเยาะไอซิสว่าช่างโง่เขลานัก ไม่ได้รู้เลยว่าตนกำลังร่วงหล่นตกต่ำลงมา
ทั้งที่ตัวเองอุตส่าห์โน้มน้าวใจเหล่าขุนนางและพยายามทำให้เห็นว่าตนกำลังทำการใหญ่ แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จแม้เพียงเรื่องเดียว
“เวลาก็ผ่านมานานแล้วแต่มิเอลก็ยังไม่กลับมาเลยนี่คะ จนน้องคิดว่าเธอหนีไปพร้อมดัชเชสไอซิสเสียอีก… น้องกังวลกลัวจะมีอะไรเกิดขึ้นกับมิเอลค่ะ”
อาเรียเอ่ยปากท่ามกลางห้องอาหารที่มีแต่ความเงียบ เคนคือจุดหมายปลายทางของคำพูดเหล่านั้น เสมือนคำถามว่าเขาดีใจหรือไม่ที่เด็กที่เขาปล่อยไปไม่ยอมกลับมา
“…”
ถึงอย่างนั้นเคนก็แค่ทานอาหารของตัวเองต่อไปเงียบๆ
เคาน์ติสซึ่งไม่ค่อยพอใจเรื่องนี้เท่าไรนักจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหน
“ถ้ายังหนีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็น่ากลัวว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่อาจควบคุม แต่ถ้าหนีไปโดยไม่กลับมาจักรวรรดิอีกตลอดชีวิตก็ว่าไปอย่าง”
น้ำเสียงที่ไม่เหมือนเป็นห่วงนั้นทำให้อาเรียยกยิ้มขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว เคนเงยหน้าขึ้นมามองเธอ
หากเป็นเมื่อก่อนที่เธอไม่มีอะไรเลยอาเรียคงกลั้นยิ้มเอาไว้สุดชีวิต แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว อาเรียในตอนนี้มีทั้งอำนาจและความมั่งคั่งที่สามารถยิ้มเยาะเคนได้แล้ว
และคนที่ทำให้เธอมาอยู่จุดนี้ได้ก็คือเคาน์ติส เพราะแม่ของเธอค่อยๆ แอบซุกซ่อนเงินของตระกูลเอาไว้ทีละเล็กละน้อย โดยที่เคนซึ่งยุ่งอยู่กับการดูแลกิจการแทนท่านเคานต์ไม่รู้เรื่อง
แน่นอนว่าทำโดยได้รับอนุญาตจากท่านเคานต์ที่ร่างกายยังไม่สมประกอบและต้องพึ่งพิงเคาน์ติสอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว นั่นหมายความว่าทั้งสองแม่ลูกต้องก็ไม่ได้ทำอะไรให้ถูกจับผิด
เคนผู้ไม่เคยล่วงรู้เลยว่าทรัพย์สินที่ตนมีอยู่ร่อยหรอลงจนเหลือไม่เท่าไรก็ยังคงประคับประคองธุรกิจต่อไปอย่างสุดชีวิต
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้มันก็เป็นเพราะตัวเขาเองทั้งนั้น
“…ผมยุ่ง คงต้องขอตัวก่อนนะครับ”
เคนลุกขึ้นทั้งที่ยังทานอาหารของเขาไปได้ไม่ถึงครึ่งจานราวกับไม่สะดวกใจและรู้สึกว่าที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเขา
“ตายจริง ลูกยุ่งขนาดนั้นเชียวรึ”
“…ครับ”
“อยากให้ท่านพ่อหายเป็นปกติเร็วๆ จังเลยนะคะ ว่าไหมคะ ท่านแม่”
“นั่นน่ะสิ”
เคนที่ดูลังเลอยู่เล็กน้อยพลันหายลับไปดั่งสายลมเมื่อสองแม่ลูกกล่าวย้ำเตือนถึงความผิดของเขากับมิเอลจนถึงตอนจบ
‘ก็แล้วก่อเรื่องเองแบบนั้นทำไมล่ะ ธุรกิจที่ท่านเคานต์ก่อร่างสร้างมาเป็นหลายสิบปีมันดูง่ายขนาดนั้นเลยหรือไร’
แม้แต่ตัวเธอที่ลงทุนกับมันยังแทบหืดขึ้นคอ แล้วคนที่เพิ่งจบจากวิทยาลัยและเพิ่งเป็นผู้ใหญ่อย่างเขาจะไปทำอะไรได้
ยิ่งไปกว่านั้นเคนในตอนนี้น่ะ ต่อให้เขาทุ่มทั้งตัวเพื่อดูแลธุรกิจก็ยังไม่พอ ไหนยังจะต้องรับภาระทั้งหมดเกี่ยวกับกองทหารที่กำลังเริ่มทยอยกันเดินทางเข้ามายังจักรวรรดิพร้อมไอซิสอีก
อีกไม่นานเกินรอเหล่าทหารจำนวนมหาศาลก็จะผลุนผลันเข้ามาภายในคฤหาสน์ตระกูลเคานต์โรสเซนต์ แล้วแบบนี้เคนจะรับมือได้หรือ ในเมื่อทหารเหล่านั้นมีผู้หนุนหลังอย่างจักรพรรดิแห่งโครอาอยู่ทั้งคน
“มาพบท่านผู้รักษาการแทนท่านเคานต์ครับ”
“ยินดีต้อนรับครับ เชิญเข้ามาเถอะครับ”
ยังไม่ทันขาดคำ ผ่านไปไม่นานบุรุษหลายสิบคนแต่งกายเรียบง่ายไม่ต่างจากประชาชนทั่วไปก็มายังคฤหาสน์เคานต์ พวกเขาทำความเคารพเคนแต่สายตากลับมองมาที่อาเรีย
คงเป็นเพราะข่าวลือเกี่ยวกับตัวเธอและเจ้าชาย บางทีพวกเขาอาจจะได้รับคำสั่งบางอย่างมาจากเบื้องบน
อาจเพราะแบบนั้นทั้งสีหน้า กิริยามารยาท และท่าทางจึงดูนุ่มนวลสุภาพเรียบร้อยราวกับพวกเขารู้จักอาเรียในหลายๆ แง่
มีบ้างที่พวกเขาทำสีหน้าซื่อบื้อเพราะหลงใหลไปกับความงดงามจนยากจะเชื่อของเธอ แต่ไม่นานพวกเขาก็ระลึกได้ว่าเธอเป็นใครแล้วก้มหัวลงไปอีกครั้ง
ส่วนเหล่าทหารที่มาถึงก่อนพวกเขาและไปอยู่ในคฤหาสน์หลังอื่นนั้นมีข่าวลือหนาหูว่าต่างก็ทำให้บรรดาขุนนางต้องร้อนรุ่มใจไปตามๆ กันเพราะทหารเหล่านั้นได้เรียกร้องขอสิ่งต่างๆ เกินความจำเป็นและไม่ฟังคำพูดของเจ้าของบ้านเลย
แล้วขุนนางพวกนั้นจะไปแสดงความไม่พอใจใส่พวกเขาได้อย่างไรเล่า พวกเขาเป็นถึงเหล่าทหารหาญที่จักรพรรดิแห่งโครอาส่งมาเชียว ยิ่งกว่านั้นยังต้องคอยรักษาขวัญกำลังใจของพวกเขาจนถึงวันตัดสินชี้ขาดนั่นเพื่อให้ประสบความสำเร็จอย่างชอบธรรม
เพราะอย่างนั้นทุกคนจึงทน
‘จะให้อภิสิทธิ์แค่ตระกูลโรสเซนต์ไม่ได้’
ไม่สิ หากเป็นไปได้อาเรียก็อยากให้พวกเขาเข้ามาสร้างความรำคาญให้กับบรรดาคนรับใช้ของคฤหาสน์ให้มากเข้าไว้ เพื่อให้ความเกลียดชังพุ่งตรงไปยังเคนกับมิเอล
เพราะแบบนั้นอาเรียจึงเป็นฝ่ายเข้าไปหาเหล่าทหารที่เอาแต่อยู่เงียบๆ อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจนไม่สะดุดตามาหลายวันแล้ว
“ทุกท่านลำบากกันมามากเลยนะคะ”
“ละ เลดี้…!”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอาเรียทำให้พวกเขาที่รวมกลุ่มกันพักผ่อนอยู่ในสวนตกใจก่อนจะทำความเคารพเธอ
ตกใจที่สตรีชนชั้นสูงเป็นฝ่ายมาหาพวกตนก็ใช่ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือสตรีคนนั้นดันเป็นคนรักของมกุฎราชกุมารอย่างอาเรีย และเธอยังเป็นผู้ลงทุนในข่าวลือด้วยมิใช่หรือ
แม้พวกเขาจะไม่ได้รับคำสั่งมาว่าให้ละเว้นการก่อความวุ่นวายในคฤหาสน์เคานต์โรสเซนต์ แต่พวกเขาก็ไม่บังอาจกล้าก่อความวุ่นวายในคฤหาสน์ที่มีอาเรียผู้แสนงดงามคนนี้อยู่ดี
อาเรียอ่านสีหน้าเคร่งขรึมของพวกเขาก่อนจะรู้ว่าไม่มีใครอยู่รอบตัวเธอในตอนนี้จึงเอ่ยปาก
“เห็นพวกท่านอยู่กันอย่างไม่สะดวกสบายเช่นนี้ ทำให้ดิฉันพลอยไม่สบายใจตามไปด้วยน่ะค่ะ”
คำพูดปัจจุบันทันด่วนของเธอทำให้พวกทหารสับสน
‘ทำไมถึงไม่เข้าใจในทีเดียวนะ’ อาเรียพูดต่อ
“ดิฉันอยากให้พวกท่านพำนักอยู่ที่คฤหาสน์ด้วยความสบายใจค่ะ ท่านพี่ที่เป็นผู้รักษาการแทนท่านเคานต์จะเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างเองค่ะ ท่านพี่เป็นคนใจกว้างมากนะคะ”
“เอ่อ…”
“แน่นอนค่ะ ดิฉันและท่านแม่ไม่ใช่เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้จึงไม่อาจรับผิดชอบได้ ถึงพิธีบรรลุนิติภาวะเมื่อไหร่ดิฉันก็ต้องออกเรือนแล้ว แต่ท่านพี่เคนเป็นผู้ที่เรียกทุกท่านมาตั้งแต่ทีแรก ดังนั้นอย่ามาลำบากใจเพราะดิฉันกันเลยนะคะ”
หลังจากพูดถึงเคนว่าเขาจะคอยรับผิดชอบทุกอย่างที่พวกเขาทำอยู่หลายครั้งหลายหน เหล่าทหารก็เบิกตาโตราวกับเข้าใจคำที่อาเรียต้องการจะสื่อแล้ว
“ดิฉันได้ยินมาว่าพวกท่านที่อยู่ที่คฤหาสน์หลังอื่นจัดงานเลี้ยงสนุกสนานกันทุกคืน แล้วพวกท่านละคะ คฤหาสน์เคานต์โรสเซนต์เองก็มีทั้งเหล้าและอาหารเหลือเฟือให้จัดงานเลี้ยงได้ทุกเมื่อนะคะ”
อาเรียแนะนำด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน น้ำเสียงหรือก็นุ่มนวลอ่อนหวานแต่ก็ฟังดูคล้ายคำสั่งอยู่ในที
พวกทหารหลงใหลไปกับรอยยิ้มอันงดงามนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนพวกเขาจะตั้งสติได้แล้วเริ่มเรียกร้องขอสิ่งที่ทนเก็บมาตลอด
พวกเขาคิดแต่เรื่องเล่น กิน เมาหัวราน้ำมาตลอด นี่พวกเขาต้องอึดอัดแค่ไหนกันนะ แต่เมื่ออาเรียอนุญาตแล้วก็จะไม่มีสิ่งใดมาขวางพวกเขาได้อีกต่อไป
พวกเขาเริ่มร้องขอสิ่งที่มากกว่าทหารในคฤหาสน์หลังอื่นทั้งเรื่องจำนวนและความน่ารำคาญใจ
“ไปเอาอาหารมาอีก! เนื้อน่ะ! เอาเนื้อมา!”
“เหล้านี่มาจากไหนกัน! รสชาติไม่ได้เรื่อง! ไปเอาที่คุณภาพดีกว่ามาเดี๋ยวนี้!”
จุดประสงค์ของพวกเขาก็เพื่อล้างผลาญทรัพย์สินเงินทองของบรรดาขุนนางชนชั้นสูงอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงร้องขอแต่ของราคาแพงหูฉี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้าอาภรณ์ หรือกระทั่งผ้าห่ม และเพราะพวกเขาคือทหารที่จักรพรรดิแห่งโครอาส่งมา เคนจึงได้แต่กลัดกลุ้มอยู่ในใจไม่อาจพูดปฏิเสธได้เลย
หากท่านเคานต์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนอย่างที่เคยเป็นเขาคงรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างสุขุม แต่เคนที่ยังเด็กนั้นยังไม่มีความรู้ที่จะไปบังคับเหล่าทหารที่หยาบคาย
เขาไม่จัดการอะไรสักอย่างจนไม่นานหลังจากนั้นบรรดาคนรับใช้ก็เริ่มโอดครวญ การคร่ำครวญหวนไห้ยังคงดำเนินไปเช่นนั้นเหมือนกันทุกวัน
อาเรียผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาให้บรรดาคนรับใช้ขึ้นในสวนได้ทันเวลา และพวกเขาต่างก็ระบายออกมาราวกับรอคอยอยู่
“เฮ้อ ให้เอาวัตถุดิบใหม่ๆ มาให้ทุกมื้อแบบนี้มันลำบากมากเลยล่ะค่ะ พวกเขาทานเยอะจะตายไป”
“พวกเขาบอกว่าเป็นคนสนิทของลอร์ดเคนแต่ดิฉันไม่แน่ใจจริงๆ ค่ะ พวกเขาดูไม่เหมือนชนชั้นสูงสักนิด สำเนียงก็แปลกชอบกล รู้สึกเหมือนมีภาษาถิ่นปนอยู่เล็กน้อยด้วยนะคะ”
“ใช่ค่ะ ทั้งยังหยาบคายพอตัว นับว่าแปลกทีเดียวนะคะที่คนตั้งสามสี่คนมาอัดรวมกันใช้ห้องอยู่ห้องเดียว บางที ดูเหมือนพวกเขาจะปูผ้าห่มนอนกันที่พื้นด้วยค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังขอผ้าห่มหนานุ่มสะอาดๆ อีก ดิฉันจึงต้องซักผ้าทุกวันจนเอวเคล็ดแล้วค่ะ”
“มือดิฉันก็บวมไปหมดแล้วค่ะ! แถมยังแข็งมากจนดิฉันกำมือไม่เข้าแล้ว…”
มือของสาวใช้คนที่พูดประโยคนี้บวมเป่งจริงๆ เห็นแบบนั้นอาเรียก็ขมวดคิ้ว
ดูเหมือนเธอจะซักผ้าตั้งแต่เช้ามืดจนเที่ยงวัน ทั้งที่อากาศก็หนาวเพราะเหมันต์กำลังใกล้เข้ามา แต่เมื่อมีคนเยอะก็จำต้องทำ
“น่าสงสารจริงๆ มือเธอบวมไปหมด คงจะเจ็บมากสินะ”
คำพูดสั้นๆ แต่แฝงไปด้วยความจริงใจของอาเรียทำให้ขอบตาของเหล่าคนรับใช้แดงก่ำ เพราะแม้มันจะเป็นเพียงแค่คำปลอบโยนธรรมดาๆ แต่ด้วยน้ำเสียงที่เจือความเศร้าใจนั้นทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมกับความลำบากที่ได้เผชิญ
ยิ่งกว่านั้นคนที่ทำให้พวกเขาลำบากคือเคนแต่เป็นอาเรียที่ปลอบใจ แล้วจะไม่ให้ประทับใจได้อย่างไร
อาเรียได้ให้คำแนะนำอันยอดเยี่ยมกับบรรดาคนรับใช้ที่ทำท่าจะร้องไห้
“ก็ไม่เห็นต้องซักผ้าให้เปลืองแรงเลยนี่นา ซื้อใหม่ทุกครั้งที่พวกเขาขอเสียก็สิ้นเรื่อง”
“คะ…! ขอบคุณที่พูดอย่างนั้นนะคะ แต่ว่ามันมากเกินไปอยู่ดีน่ะค่ะ… ถึงจะไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่คฤหาสน์ถึงเมื่อไรแต่น่าจะต้องใช้เงินไม่ใช่เล่นนะคะ”
ตอนนี้มีข่าวลือร้ายแรงว่าเคนไม่สามารถจัดการธุรกิจของท่านเคานต์ได้อย่างเหมาะสม ตระกูลโรสเซนต์จึงกำลังจะล้มละลาย พวกเขาต้องประหยัดให้มากที่สุด
เก็บเล็กผสมน้อยอย่างไรก็เป็นเงินได้เหมือนกัน ไม่สิ ไม่ใช่เล็กน้อยแล้วในเมื่อหน้าหนาวใกล้เข้ามา ราคาผ้าห่มก็ไม่ใช่เล่นๆ แล้ว หากเป็นผ้าห่มราคาถูกก็คงไม่เป็นไรแต่นี่ต้องซื้อผ้าห่มคุณภาพดี และเหล่าทหารก็มีจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากอย่างต่อเนื่องแน่นอน
แค่มีค่าใช้จ่ายมหาศาลอย่างค่าอาหาร เสื้อผ้า และความบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ตระกูลโรสเซนต์ก็หลังแทบหักแล้ว
และนั่นล่ะ สิ่งที่อาซต้องการซึ่งอาเรียเองก็อยากเห็นเช่นกัน เธอจับมือบวมเป่งทั้งยังเย็นเยียบของสาวใช้คนนั้นขึ้นมาก่อนจะพูด
“จะมีอะไรสำคัญไปกว่าจิตใจและร่างกายของพวกเธออีกหรือ… และตระกูลเคานต์โรสเซนต์ก็มีอำนาจอยู่ในชั้นแนวหน้าของจักรวรรดิ เงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก พวกเธอไม่ต้องกังวล ข่าวลือยังไงก็เป็นข่าวลือวันยังค่ำนั่นล่ะ”
“ละ เลดี้…!”
“ทำไมจิตใจจึงได้อบอุ่นขนาดนี้ล่ะคะ…!”
“พวกวัตถุดิบทำอาหารก็ซื้อมาเก็บไว้เยอะๆ ก็ได้ ถ้าสุดท้ายแล้วมันเสียจนต้องทิ้งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ สั่งซื้อมาทีเดียวเยอะๆ แล้วขอให้เขามาส่งที่คฤหาสน์ ถึงต้องจ่ายเพิ่มก็ไม่เป็นไร”
“ทะ ทำได้จริงๆ หรือคะ…”
“จริงสิ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเดี๋ยวฉันรับผิดชอบเอง”
อาเรียแย้มยิ้มอ่อนโยนท่ามกลางความซาบซึ้งเหล่านั้น นี่คือความสามารถของเจ้าของตัวปลอมที่ไล่เจ้าของตัวจริงของคฤหาสน์เคานต์ออกไปและฉวยอำนาจที่แท้จริงของคฤหาสน์มาไว้ในมือ
“แล้วถ้าวัตถุดิบยังไม่พออีกให้ไปที่นี่นะ ที่นี่มีวัตถุดิบสดใหม่อยู่เยอะมาก หรือถ้าไม่มีทางร้านจะมาส่งให้ถึงคฤหาสน์เลยเชียวล่ะ”
อาเรียยื่นที่อยู่ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าให้คนรับใช้ ที่นี่คือหนึ่งในธุรกิจที่เธอได้ร่วมลงทุน เขาอวดอ้างว่ามีวัตถุดิบคุณภาพดีเยี่ยม แต่ราคาก็แพงเยี่ยมยอดเช่นกัน
เมื่อพวกเขาใช้เงินของตระกูลโรสเซนต์ไปซื้อวัตถุดิบ กำไรจากตรงนี้ก็จะถูกแบ่งแล้วกลับมาหาอาเรียอีกครั้ง ดังนั้นแค่นั่งอยู่เฉยๆ เธอก็ได้เงินแล้ว
แต่สำหรับบรรดาคนรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องนี้ต่างก็ประทับใจกับความเอาใจใส่ของอาเรียอย่างสุดซึ้งพร้อมกับสาบานว่าจะจงรักภักดีกับเธออีกครั้ง
* * *
ทันทีที่มาถึงจักรวรรดิ มาร์ควิสเปียสต์ก็เที่ยวร่อนเร่ไปตามซ่องต่างๆ เพื่อตามหาสตรีที่ลูกชายเขาคะนึงหาด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม
การจะตามหาใครสักคนด้วยชื่อที่น่าจะเป็นเพียงนามแฝงและลักษณะภายนอกแค่คร่าวๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากเธอเป็นสามัญชนทั่วไปคงไม่ยาก แต่นี่เธอคนนั้นคือโสเภณี ดังนั้นการไล่ตามร่องรอยของเธอจึงเป็นงานหินใช่เล่น
ภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากซ่องแห่งสุดท้าย จู่ๆ มาร์ควิสเปียสต์ก็นึกถึงเรื่องราวน่าเหลือเชื่อที่เขาได้ฟังขณะเดินทางมายังจักรวรรดิ
นั่นคือเรื่องราวที่วิการ์เล่าให้เขาฟัง
“ท่านอยากจะพบมาร์ควิสเปียสต์เสียเหลือเกิน แต่สุดท้ายกลับได้มาเจอกันในงานเช่นนี้”
“…หากพูดถึงท่านก็…”
“เจ้าชายน่ะสิครับ เมื่อครั้งมาเยือนโครอารอบที่แล้ว ท่านทรงร่ำร้องอยากจะไปหาท่านมาร์ควิสอยู่หลายหนราวกับทรงมีบางอย่างที่อยากจะตรวจสอบให้แน่ใจน่ะครับ”
คำพูดนั้นทำให้มาร์ควิสเปียสต์นึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยเร้าหรืออยากจะไปคฤหาสน์ของเขาให้ได้จนเขานึกเอือมระอา เขาจำได้ว่าชายคนนั้นบอกว่าตนคือมกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิแต่สุดท้ายเขาก็ออกมาเสียก่อนจึงไม่ได้พบกัน
ว่าแต่คนคนนั้นคือเจ้าชายจริงๆ อย่างนั้นหรือ
มาคิดๆ ดูแล้วตอนนั้นก็เป็นตอนที่เจ้าชายเสด็จมาเยือนโครอา พร้อมกับคนรักของพระองค์อย่างเลดี้แห่งโรสเซนต์พอดี
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความผิดของอาซเองที่อยากมาพบเขาโดยไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้มองข้ามคำขอพบนั้นไป แต่พอมาคิดดูอีกทีแล้วเจ้าชายไม่มีทางจะมาพบเขาด้วยเรื่องง่ายๆ เขาจึงคอยฟังวิการ์ต่อ
“ท่านบอกแค่ว่าทรงต้องการตรวจสอบบางอย่างครับ”
“อะไรล่ะ”
“เรื่องเกี่ยวกับบุตรชายของท่านมาร์ควิสครับ”
“…ลูกชายผมหรือ”
โคลอีน่ะหรือ
ถึงอย่างนั้นช่วงนี้โคลอียังคงก่อความวุ่นวายจนทำให้ภรรยาของเขาล้มหมอนนอนเสื่อ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ขมวดคิ้ว เห็นอย่างนั้นวิการ์จึงกระแอมไอแล้วพูดต่อ
“ครับ มีเลดี้คนหนึ่งที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายบุตรชายท่านอยู่ที่จักรวรรดิครับ ผมไม่อาจยืนยันได้ด้วยภาพเหมือนได้ แต่ไม่ว่ายังไงใบหน้าที่ถูกวาดอยู่ในภาพนั้นก็เหมือนมากจริงๆ ครับ”
“…หมายความว่าอะไรกันแน่”
“ท่านมาร์ควิสน่าจะได้เห็นหน้าเธอก่อนก็จริง แต่เจ้าชายบอกมาเช่นนี้ครับ บอกแค่ว่าบุตรชายของท่านมาร์ควิสน่าจะมีทายาท อยู่ในจักรวรดินี่ล่ะครับ”
ยิ่งวิการ์พูด มารควิสเปียสต์ก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่
โคลอีน่ะหรือ โคลอีน่ะหรือจะมีทายาทอยู่ในจักรวรรดิ นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน แล้วทำไมตนถึงไม่อาจส่งต่อตำแหน่งให้เขาได้
เมื่อคิดดูอีกครั้ง กระทั่งเขาเองยังคิดว่ามันไร้สาระ แต่แล้วเขาก็ต้องนึกถึงชื่อที่วิการ์เอ่ยถึงอย่างช่วยไม่ได้
เพราะไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่เขาจะสามารถทำเพื่อลูกชายได้
……………………….