การพิจารณาคดีเปิดฉากขึ้นทันทีตามที่เคนพูด เพราะพวกเขามีพร้อมทั้งการแจ้งความเอาผิดและพยานบุคคล
ถึงอย่างนั้นอาเรียก็หนีไปอยู่พักใหญ่ เธอจึงต้องนั่งอยู่บนที่นั่งสำหรับนักโทษ แต่ต่างจากเมื่อครั้งเอ็มม่าตรงที่เธอเองก็สามารถนั่งตรงที่นั่งจำเลยได้ด้วย
ด้วยความที่เธอยอมเข้าร่วมการพิจารณาคดีด้วยตัวเอง ทั้งยังปฏิเสธว่าตนไม่ใช่นักโทษอย่างถึงที่สุด และยืนกรานว่าเธอเองก็มีพยานบุคคลเช่นกัน
แน่นอนว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างเธอและเจ้าชายเป็นปัจจัยใหญ่ที่สุดในการพิจารณา
“อาเรีย…”
เคาน์ติสซึ่งนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของอาเรีย เอาแต่เรียกชื่อลูกสาวไม่ขาดปากด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อาเรียจึงหันไปมองผู้เป็นแม่
ช่างน่าสงสารนัก ลูกสาวของเธอจะต้องรู้สึกอ้างว้างเพียงใดกันเวลาที่ต้องกลัวว่าตนจะกลายเป็นฆาตกร
อาเรียกอบกุมมือเย็นเยียบของผู้เป็นแม่ไว้พร้อมทั้งยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้ทำผิดอะไร ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“…จริงๆ ใช่ไหม แม่คนนี้เชื่อลูกได้จริงๆ ใช่ไหม”
“ได้อยู่แล้วค่ะ ลูกผลักท่านพ่อตกบันไดไปแล้วลูกจะได้อะไรจากเรื่องนี้ล่ะคะ นอกจากต้องมายืนอยู่ต่อหน้าชั้นศาลแบบนี้ แล้วลูกก็ยังมีหลักฐานมากพอที่จะบอกว่าลูกไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นท่านแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ ลูกไม่ใช่คนที่จะต้องรับโทษหรอก…”
อาเรียตอบอ้อมแอ้ม ขณะที่สายตาก็มองไปยังฝั่งตรงข้าม
มิเอลนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีชายหนุ่มที่เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนั่งอยู่ข้างๆ เขาอาจเป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้มาแก้ต่างให้มิเอล และข้างๆ เขาก็คือเคน
พวกเขาไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ของการพิจารณาดีและดูท่าจะมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินว่าพวกตนจะเป็นฝ่ายชนะ บนใบหน้าทั้งมีทั้งความมั่นใจและโอหังนั้นไร้ซึ่งความท้อถอยใดๆ
โง่ใช้ได้นี่
“เลดี้หาได้มีความผิด เรื่องนั้นผมรับประกันได้ครับ”
“หากท่านพูดเช่นนั้น ดิฉันก็วางใจค่ะ…”
เมื่ออาซซึ่งนั่งอยู่ด้านขวามือของอาเรีย ใบหน้าของเคาน์ติสก็คลายกังวลลงเป็นปลิดทิ้ง ในเมื่อมกุฎราชกุมารถึงกับออกตัวรับประกันให้ ความวิตกกังวลจึงมลายหายไปสิ้น เพราะต่อให้ลูกสาวเธอจะผิดจริงแต่เขาก็มีอำนาจพอจะลดโทษให้เธอไม่ใช่หรือไร
ไม่นานผู้คนก็ทยอยกันเข้ามาจนเต็มสถานที่พิจารณาคดี ข่าวลือแพร่สะพัดออกไปตั้งแต่ที่อาเรียไปปรากฏตัวอยู่รอบๆ นครหลวงแล้ว และความจริงข้อนี้ก็เป็นที่รู้กันในละแวกนครหลวงก่อนหน้าที่การพิจารณาคดีจะเปิดฉากขึ้นไม่เท่าไร จึงทำให้ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนล้นหลามที่มาคอยดูสถานการณ์ในตอนนี้
และอาเรียเองก็ได้พบกับคนที่เธอไม่คาดคิดในนั้นเช่นกัน
“…ตายจริง เลดี้อาเรีย ไม่ใช่ใช่ไหมคะ มันไม่ใช่สิ่งที่เลดี้จะทำไม่ใช่หรือคะ แล้วเลดี้เป็นอะไรไหมคะ ดูหน้าผอมโซนี่สิ…”
ก่อนที่การพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้น ซาร่าก็ปรากฏตัวมาพร้อมน้ำตาราวกับเธอรีบรุดมาที่นี่ทันทีที่ได้ยินข่าว ดูจากสีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนัก ซาร่าคงจะนอนไม่ค่อยหลับหลังจากได้ยินข่าวว่าอาเรียถูกตามจับเป็นแน่
กระทั่งมาร์ควิสวินเซนต์ที่ปรากฏตัวมาจับมือซาร่าไว้ก็ยังดูไม่ค่อยเชื่อข่าวลือเกี่ยวกับอาเรียเท่าไร
อาเรียจึงพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซาร่า ดิฉันไม่ใช่คนร้ายจริงๆ วางใจได้เลยค่ะ ดิฉีนจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองให้ได้”
“ได้อยู่แล้วค่ะ ดิฉันเชื่อค่ะ เลดี้อาเรีย”
“ผมก็ขอให้เลดี้โชคดีนะครับ”
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีบารอนเวอร์บูม แอนนี่ เจสซี่ บรรดาคนที่คอยตามหลังอาเรีย รวมทั้งเหล่าบุตรีทั้งหลายที่คอยปกป้องมิเอลต่างก็มาอยู่ในสถานที่พิจารณาคดีกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีไอซิสที่มานั่งอยู่หลังมิเอลราวกับคาดหวังจะได้เห็นจุดจบของอาเรีย
ไอซิสจ้องอาเรียที่นั่งอยู่เคียงข้างเจ้าชายอย่างกับจะฉีกกันให้ตาย ก่อนจะตบไหล่มิเอลเบาๆ เพื่อปลอบประโลม
คงกล่าวชื่นชมเธออยู่กระมัง ว่าลงโทษลูกสาวนางโลมสกปรกโสโครกได้ดี
‘ช่างเป็นกลุ่มคนที่โง่เขลาอะไรอย่างนี้’
นี่พวกเธอยังกล้าโอ้อวดความสัมพันธ์หยาบช้าที่ผู้เข้าหากันด้วยกลอุบายตื้นๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าหลังจากนี้พวกตนจะต้องเดินออกจากศาลด้วยสีหน้าอย่างไรอีกหรือ
อาซจับมืออาเรียไว้ราวกับคิดจะเพิ่มกำลังใจให้เธอ พร้อมกันนั้นผู้พิพากษาก็ปรากฏตัว ก่อนการพิจารณาคดีจะเริ่มต้นขึ้น
“เริ่มการพิจารณาคดีได้”
และผู้พิพากษาก็คือเฟรย์นั่นเอง
เธอมักจะได้รับมอบหมายในการพิจารณาคดีของเหล่าชนชั้นสูงอยู่บ่อยครั้ง และครั้งนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น
แม้อาเรียจะไม่มีทางแพ้คดีอยู่แล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าการปรากฏตัวของเฟรย์นั้นจะเป็นผลได้หรือผลเสียสำหรับตน ถึงอย่างนั้นความเครียดก็ยังหายไปบ้างเมื่อเห็นสีหน้าของอาซตอนที่เขาเห็นเฟรย์
“จำเลย เลดี้อาเรีย โรสเซนต์ถูกแจ้งความด้วยความผิดฐานผลักเคานต์โรสเซนต์ตกบันได เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือไม่คะ”
เฟรย์ถามความผิดของอาเรียก่อนเช่นเดียวกับที่เคยถามเอ็มม่า
อาเรียจึงส่ายหน้าปฏิเสธความผิดตนทันที
“ไม่จริงค่ะ ดิฉันไม่ได้ผลักท่านพ่อนะคะ เพราะดิฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกแล้วค่ะ”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
เฟรย์พยักหน้าน้อยๆ ตอบรับคำตอบของอาเรีย ท่าทางนั้นต่างกับการพิจารณาคดีของเอ็มม่าที่เธอมักตอบรับอย่างเย็นชาตั้งแต่ต้นจนจบ
นอกจากนั้นสีหน้าเธอยังดูเหมือนยังมีข้อข้องใจอยู่อีกด้วย
“…ตามคำให้การของเลดี้มิเอล เลดี้อาเรีย โรสเซนต์ได้ผลักเคานต์ตกจากบันไดก่อนจะวิ่งหนีไปทั้งอย่างนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ”
“จริงค่ะ! ดิฉันเห็นเองกับตาและนอกจากดิฉันแล้วก็ยังมีอีกสองคนที่เห็นค่ะ ว่าเธอวิ่งหนีลงบันไดไป! ใช่ไหมคะ เลดี้มีเดีย เลดี้เวนดี้”
“…เอ๊ะ เอ่อ ค่ะ…!”
“แน่ แน่นอนค่ะ ดิฉันเห็นกับตาค่ะ…”
คำถามของมิเอลทำให้มีเดียและเวนดี้รู้ตัวจึงตอบรับ คดีนี้พยานผู้เห็นเหตุการณ์ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด ทั้งคู่จึงดูเหมือนจะรู้สึกผิดที่ต้องให้ความเท็จด้วยจิตสำนึกที่มีอยู่เพียงน้อยนิด
และพวกเธอเองก็คงกลัวด้วยเหมือนกัน ถ้าหากพวกเธอทำผิดไปเพียงนิดแล้วมีหลักฐานว่าอาเรียเป็นผู้บริสุทธิ์ออกมาล่ะก็…! ครั้งต่อไปพวกเธอได้ระเห็จไปนั่งแหงนหน้ามองผู้พิพากษาอยู่ตรงกลางลานแทนที่นั่งพยานแน่
เมื่อไม่ใช่เพียงมิเอลแต่มีถึงสามคนที่ยืนกรานเช่นนั้น คณะลูกขุนก็ถึงคราววุ่นวาย
นั่นทำให้เฟรย์ต้องกลับไปอ่านใบแจ้งความและคำให้การของมิเอลที่ได้รับมาล่วงหน้าอีกครั้งเพื่อเรียบเรียงสถานการณ์
มือของเคาน์ติสที่จับมืออาเรียไว้เริ่มเย็นเยียบเมื่อสถานการณ์กลับพลิกผันทำให้ลูกสาวเธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“…เข้าใจแล้วค่ะ พยานบุคคลก็มีเพียงพอแล้ว ดังนั้นหากเป็นแบบนี้ก็แน่นอนแล้วว่าเลดี้อาเรีย โรสเซนต์เป็นผู้กระทำความผิดนะคะ ไม่มีข้อโต้แย้งอื่นใดอีกใช่ไหมคะ”
ถึงคราวของอาเรียแล้ว
อาเรียลุกออกจากที่อย่างมั่นใจแล้วแสดงจุดยืนว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์
“ดิฉันไม่มีความผิดจริงๆ ค่ะ”
ความมั่นใจของอาเรียพาให้รอยยับย่นตรงหว่างคิ้วของเฟรย์หายไปภายในพริบตา
เฟรย์พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอรีบพูด
“ดิฉันไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ในเวลาดังกล่าว เพราะดิฉันได้ออกไปจากนครหลวงพร้อมกับเจ้าชายที่ประทับอยู่ข้างๆ ดิฉันค่ะ”
“…เดี๋ยวก่อนนะ มันเป็นคำยืนยันที่พิสูจน์ได้ยากนะคะ”
“ไม่ยากหรอกค่ะ เพราะแม้แต่พระเจ้ายังสงสารจึงให้โอกาสดิฉันได้พิสูจน์ตัวเองเลยค่ะ”
คำยืนกรานที่ฟังดูไร้สาระทำให้มิเอลขึ้นเสียงบอกเธอว่าอย่าโกหก
“ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วนี่คะ ในเมื่อน้องเห็นอยู่เต็มสองตา! พี่ผลักท่านพ่อตกบันไดแล้วยังทำทีไม่สะทกสะท้านเช่นนั้นได้อย่างไรกันคะ!”
ใครกันแน่ที่ต้องพูดเช่นนั้น ท่าทางหน้าด้านไร้ยางอายทั้งที่ตัวเองเป็นคนผลักพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง หาใช่พ่อบุญธรรมตกบันไดนั้นทำให้อาเรียได้แต่แค่นหัวเราะ
ใช่สิ เพราะแบบนั้นในอดีตเธอถึงได้สร้างกลอุบายสกปรกโสมมอย่างการใส่ยาพิษลงไปในแก้วน้ำชาของตัวเองได้อย่างไรล่ะ
“…ใครเป็นคนผลักท่านพ่อกันแน่ คนที่ไม่สะทกสะท้านน่ะไม่ใช่พี่แต่เป็นคนร้ายตัวจริงต่างหาก”
“เลิกโกหกสักทีเถอะค่ะ!”
“มิเอล จนถึงป่านนี้แล้วน้องเลิกให้การเท็จแล้วเปิดเผยคนร้ายตัวจริงเสียทีเถอะ”
“คนร้ายก็คือพี่นั่นล่ะค่ะ!”
“พอเถอะ พอได้แล้วค่ะ ที่นี่คือศาลนะคะ”
ทั้งสองคนมีท่าทีเหมือนจะทะเลาะกัน เฟรย์จึงขึ้นเสียงแล้วเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย อย่างไรเสีย หากอาเรียสามารถพิสูจน์ว่าเธอไม่ใช่คนร้ายได้ คำให้การของมิเอลก็จะกลายเป็นเท็จไปโดยปริยายอยู่แล้ว ดังนั้นทั้งสองไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันให้เปลืองแรงเลยสักนิด
“ดิฉันมีหลักฐานว่าดิฉันไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ในเวลาเกิดเหตุค่ะ”
“…โกหก! ทุกคนเห็นพี่กันทั้งนั้นล่ะค่ะ!”
คำพูดของอาเรียที่บอกกระทั่งว่าตนมีหลักฐานทำให้มิเอลหันไปจ้องเหล่าเลดี้ทั้งหลายที่นั่งอยู่หลังตัวเองทีละคนเพื่อกดดันให้พวกเธอตอบ
“ใช่ไหมคะ ทุกท่านเห็นนี่คะ”
จากนั้นก็ตะคอกใส่พวกเธอเพื่อเค้นคำตอบ
“…ค่ะ จะว่าเห็นก็เห็นค่ะ”
“ใช่แล้วค่ะ ดิฉันได้สบตากับเธอตอนกลับมาที่คฤหาสน์ค่ะ”
“ดิฉันได้คุยกับเธอด้วยค่ะ”
ครั้งนี้คำให้การหลุดออกมาอย่างไม่ยากเย็นเพราะพวกเธอเห็นอาเรียจริงๆ ใบหน้าของพวกเธอก็ดูจริงใจเช่นกัน
นั่นทำให้อาเรียแย้มยิ้มไม่ต่างไปจากปกติก่อนจะตอบรับ
“ใช่แล้วล่ะค่ะ ดิฉันไปที่คฤหาสน์จริงๆ ค่ะ แต่หลังจากที่ดิฉันเข้าไปในตัวคฤหาสน์แล้ว ยังมีใครเจอดิฉันอีกหรือคะ”
“…!”
“….”
“ไม่มีใช่ไหมล่ะคะ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะดิฉันออกจากคฤหาสน์มาทันทีค่ะ”
แม้ว่าพวกเธอจะเข้าข้างมิเอล แต่ไม่มีเลดี้คนใดยอมฝ่าฝืนกฎหมายและให้การเท็จเพื่อช่วยมิเอลแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น คนส่วนใหญ่ยังเชื่อถือคำยืนกรานของมิเอลจึงไม่มีใครคาดคิดว่าอาเรียจะโต้แย้งขึ้นมา
“แต่จะว่าไปก็แปลกนะคะ”
น้ำเสียงตั้งคำถามราวกับมันเป็นเรื่องแปลกเหลือหลายดังก้องไปทั้งศาลที่เย็นเยียบไปในชั่วพริบตา
“เลดี้ทั้งสองที่บอกว่าเห็นดิฉันวิ่งหนีลงมาจากบันได เหตุใดจึงไม่ยอมพูดอะไรเลยล่ะคะ”
ในเมื่อพวกเธอให้การว่าเห็นอาเรียผลักท่านเคานต์แล้ววิ่งหนีลงบันไดมาก็หมายความว่าพวกเธอต้องเห็นอาเรียหลังจากเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยน่ะสิ
แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมพูดอะไรเลยเล่า
ทำไมถึงเชื่อมโยงคำถามของอาเรียกับสิ่งที่พวกตนเห็นไม่ได้กัน
“ระ เรื่องนั้น…!”
“…เอ่อ พอมาคิดดูดีๆ แล้วดิฉันเห็นค่ะ! พวกเราเห็นจริงๆ นะคะ… เห็น…”
คำตอบกระท่อนกระแท่นที่หลุดออกมาทันทีหลังจากอาเรียเอ่ยเตือนอย่างใจดีทำให้ทุกคนที่อยู่ในสถานที่พิจารณาคดีต่างเคลือบแคลงใจกับคำให้การของพวกเธอ
เมื่ออาเรียเริ่มโต้แย้งอย่างค่อยเป็นค่อยไป เฟรย์ก็เอ่ยถามความจริงจากเธอว่าเธออยู่ที่นั่นจริงๆ หรือไม่
“ดิฉันขอถามอีกครั้งค่ะ มีใครเห็นตอนที่เลดี้ออกมาจากคฤหาสน์หรือไม่คะ”
“ไม่ค่ะ โชคร้ายจริงๆ ที่ไม่มี แต่ก็ไม่มีใครเห็นว่าดิฉันอยู่ในคฤหาสน์เหมือนกันนี่คะ นอกจากมิเอล เลดี้มีเดีย และเลดี้เวนดี้ที่พูดว่าเห็นดิฉันน่ะค่ะ อ้อ แล้วก็”
ยังมีอีกสองคน
แกะน้อยทั้งสองที่กำลังเฝ้ามองเธอด้วยสายตาเป็นกังวลเหลือแสน
อาเรียเอ่ยถึงพวกเธอขึ้นมา
“คนรับใช้ของดิฉัน เจสซี่กับแอนนี่ก็เห็นดิฉันเช่นกันค่ะ”
“ชะ ใช่ค่ะ เลดี้สั่งให้ดิฉันทำความสะอาด ดิฉันจึงออกมาจากห้องหลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ส่วนดิฉันเห็นเลดี้แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น… หลังจากนั้นเลดี้บอกว่าจะไปอ่านหนังสือแล้วก็ออกจากห้องไป ดิฉันก็ไม่เห็นอีกค่ะ”
ในที่สุดแล้ว ครั้งนี้ก็ยังไม่มีใครเห็นอาเรียจนถึงวินาทีสุดท้ายอีกเช่นเคย
เมื่อสถานการณ์พลิกผันไปในทิศทางที่ไม่ดีนักสำหรับมิเอล ตัวแทนของเธอก็ลุกขึ้นทันที
“ผมคือผู้รับมอบอำนาจจากเลดี้มิเอลครับ ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าเลดี้ยังไม่หายสะเทือนใจจึงจะว่าความแทนครับ”
“เชิญค่ะ”
ทันทีที่เฟรย์อนุญาต เขาก็รีบอธิบายว่าคำยืนยันของอาเรียมีช่องโหว่ทันที
“เลดี้อาเรียเอาแต่ยืนยันว่าเธอไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ แต่ยังไม่มีวิธีใดที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ได้ครับ นอกจากนั้นแล้วเลดี้ทั้งสามยังให้การว่าเห็นเลดี้อาเรียผลักท่านเคานต์ลงมาจากบันไดอีกด้วยครับ”
“เป็นเช่นนั้นจริงค่ะ”
“เพราะฉะนั้นสิ่งที่เชื่อถือได้ย่อมเป็นคำให้การของเลดี้มิเอลครับ โชคไม่ดีที่เลดี้อาเรียไม่มีทั้งข้อมูลและพยานบุคคลที่จะมาโต้แย้งได้”
ทุกคนดูจะเห็นด้วยกับเขา เพราะพยานบุคคลทำให้คำให้การของมิเอลมีน้ำหนักมากกว่า
“ช้าก่อน หากเป็นเรื่องนั้นผมนี่ล่ะคือพยานบุคคล”
แต่เมื่อผู้แทนพูดมาถึงตรงนั้น อาซซึ่งนั่งมองอยู่เงียบๆ มาตลอดก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“อย่างที่ทุกท่านก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าเลดี้ออกจากนครหลวงไปพร้อมกับผม และเพิ่งจะกลับมาวันนี้”
นั่นทำให้ผู้แทนที่ค่อยๆ โต้แย้งไปทีละข้อได้รู้ตัว ว่าคนที่คนที่เขาจะต้องแย้งด้วยคือเจ้าชาย
ถึงอย่างนั้นเขายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ จึงทำได้เพียงกระแอมไอแล้วโต้แย้งด้วยสายตากระอักกระอ่วน
“…นั่นอาจเกิดขึ้นหลังจากที่ได้กระทำความผิดไปแล้วก็ได้นะครับ”
“เรามีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าเลดี้ไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ในเวลานั้น”
“ละ หลักฐานหรือพ่ะย่ะค่ะ…”
“ใช่ หลักฐาน เรามีการใช้จ่ายระหว่างทางกลับ เราจึงมีใบเสร็จมาด้วย ดูเหมือนพระเจ้าอยากจะช่วยเลดี้อาเรียผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ กระมัง”
อาซหยิบเอกสารออกมาจากอ้อมแขน เอกสารถูกส่งต่อไปให้ผู้พิพากษาตามคำสั่งของเฟรย์
“นี่มัน… ใบรายการสินค้าเชื่อหรือ”
“ครับ ผมแอบออกจากนครหลวงพร้อมกับเลดี้และไปถึงยังเมืองถัดไป แต่ด้วยความใจร้อนผมจึงไม่ทันได้เตรียมเงินไปด้วยครับ ดังนั้นจึงต้องติดค่าสินค้าเอาไว้ก่อน และนี่คือใบเสร็จที่บอกว่าผมได้จ่ายเงินระหว่างทางกลับมาครับ”
เจ้าชายติดเงินอย่างนั้นหรือ หลักฐานที่ไม่น่าเชื่อทำเอาที่นั่งผู้ฟังถึงกับชุลมุนวุ่นวาย มิเอลทำหน้าอย่างกับต้องการจะร้องตะโกนว่านี่คือเรื่องโกหกอย่างไรอย่างนั้น
“ศาลที่เคารพ โปรดให้ความสำคัญกับวันที่และเวลาที่ถูกระบุไว้ในใบเสร็จด้วยนะครับ”
เฟรย์จึงอ่านวันที่และเวลาซึ่งถูกระบุไว้ให้แน่ใจตามที่อาซบอก
“เวลาในวันเกิดเหตุคือประมาณ 11 โมงสินะคะ”
“ครับ หากเลดี้วิ่งหนีมาหลังจากผลักเคานต์คงไม่มีทางวิ่งมาถึงเมืองข้างๆ ในเวลาเดียวกันได้หรอกครับ เพราะแม้จะขี่ม้าก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันเชียวจึงจะไปถึง”
สีหน้าเฟรย์ดูสดใสขึ้นทันตาเมื่อได้หลักฐานที่ไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้
ผู้แทนรู้ดีว่าหากนี่เป็นความจริงตำแหน่งของมิเอลกับอาเรียจะสลับกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ จึงรีบละล่ำละลักแย้งขึ้นมาหน้าซีดเผือด
“ศะ ศาลที่เคารพ หลักฐานแบบนั้นจะสร้างขึ้นมาเมื่อไรก็ได้นะครับ!”
“พยานหลักฐานก็มีอยู่มากมาย ผมอยากให้ท่านลองตรวจสอบดูก่อนนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ ดิฉันจะส่งคนออกไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้เลย”
เฟรย์เขียนอะไรบางอย่างลงไปในเอกสารแล้วส่งให้คนรับใช้ที่ยืนรออยู่ หลังจากอ่านสิ่งที่อยู่บนเอกสารแล้วคนรับใช้ก็รีบออกจากศาลไปทันที
คราวนี้เสียงสดใสของอาเรียก็ดังก้องไปทั้งชั้นศาลที่เงียบสงัด
“ศาลที่เคารพ ดิฉันนำใบเบิกทางที่ได้รับมาขณะเดินทางผ่านเมืองต่างๆ มาด้วย ขออนุญาตแสดงให้ดูเผื่อไว้ก่อนได้ไหมคะ”
“…แน่นอนค่ะ นั่นยังทำให้เราคำนวณเวลาได้ง่ายขึ้นด้วย นับเป็นหลักฐานชิ้นใหญ่เชียวล่ะค่ะ”
สีหน้าของเฟรย์เคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดหลังจากได้อ่านใบเบิกทางแล้ว แม้เฟรย์จะไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเพราะไม่ได้ร้องขอหลักฐานอื่นจากอาเรียอีก แต่ความเห็นของคนส่วนใหญ่ต่างก็เอนเอียงไปหาอาเรียว่าเธอไม่ใช่คนร้ายตัวจริง
“เอาล่ะค่ะ ทั้งสองฝ่ายให้การเสร็จสิ้นแต่เพียงเท่านี้ใช่ไหมคะ ดิฉันอยากจะขอพักการพิจารณาคดีไว้สักครู่เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่าหลักฐานที่เจ้าชายทรงยื่นมานั้นมีอยู่จริงหรือไม่ค่ะ”
หากตรวจสอบแล้วเป็นความจริง ตำแหน่งจะกลับตาลปัตรทันที
ไม่สิ เพราะมิเอลจะไม่ได้ย้ายมาอยู่แทนที่อาเรียแต่จะต้องลงไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเอ็มม่าต่างหาก
และต้องได้รับโทษสถานหนักเหมือนกับเอ็มม่าผู้จางหายไปดั่งน้ำค้างในลานประหาร
“เลดี้…!”
ผู้แทนรีบร้องเรียกมิเอล
ไอซิสซึ่งนั่งอยู่หลังเธอได้แต่ตัวสั่นระริกราวกับจะวิ่งหนีออกไปจากศาลได้ทุกเมื่อ ใบหน้าหรือก็ซีดเผือด
แม้กระทั่งเคนก็ยังกำหมัดแน่นจนเล็บเจาะเข้าไปกลางฝ่ามืออย่างไม่อาจปิดบังความกระวนกระวายใจจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ได้
มิเอลก็อยู่ไม่สุขเช่นกัน แต่แล้วก็หวนนึกถึงความจริงที่ว่าอาเรียอยู่ในสถานที่ที่เคานต์ถูกผลักจริงๆ เธอจึงสงบลงได้ทีละนิด
มันอาจจะเป็นหลักฐานปลอมก็ได้ เป็นเพียงการขัดตาทัพเพื่อถ่วงเวลาออกไปก่อนเท่านั้น ก็แค่การสร้างเรื่องเพื่อให้ทุกคนกลัวพวกตัวเอง
ซึ่งมันก็สมควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะอาเรียอยู่ที่คฤหาสน์ในเวลาเดียวกับที่เคานต์ตกลงมาจากบันไดจริงๆ
เมื่อสติของมิเอลค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้ง ไม่นานเธอก็พลันนึกได้ว่าตัวเองยังมีไพ่อื่นเหลืออยู่อีก
นั่นคือหลักฐานที่จะเป็นตัวตัดสินว่าอาเรียอยู่ที่คฤหาสน์
“…ไม่ค่ะ! ยังเหลืออีกอย่างหนึ่งค่ะ!”
เธอลุกขึ้นพร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ
อาเรียหรี่ตามองสิ่งนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ
……………………….