ข่าวลือของอาเรียถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
เพราะเรื่องที่น่าชื่นชมของเธอยิ่งทำให้คำชมถูกส่งต่อกันไปเรื่อยๆ นานๆ ทีจะมีการเลือกชายหนุ่มที่จะมาลงทุนสำหรับงานเลี้ยงมื้อค่ำในคฤหาสน์ สำหรับคนที่ฉลาดก็จะมอบทุนการศึกษาพร้อมกับจัดการส่งไปเรียนในสถาบันศึกษา
“ดูเหมือนว่าฮานส์จะฉลาดตามที่ลือกันเลยล่ะ จะว่าไปตั้งแต่เขาเด็กๆ ก็เริ่มเช่าหนังสือพิมพ์มาอ่านแล้ว เป็นคนมีความคิดความอ่านเยี่ยมยอดทีเดียว”
จากนั้นเจสซี่จึงเริ่มพูดเรื่องของฮานส์ เพราะช่วงนั้นเคยพบกันอยู่บ่อยๆ นานหลายปี ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาอาเรียจะสานสัมพันธ์กับผู้คนได้อย่างรวดเร็ว
“งั้นเหรอ ฮานส์อายุเท่าไรล่ะ”
“ปีนี้ก็ย่างเข้า 20 ปีแล้วค่ะ”
“อายุพอๆ กับเธอเลยนี่เจสซี่”
“ค่ะ เพราะอย่างนั้นเลยคุยกันเข้าใจง่ายน่ะค่ะ”
รู้สึกได้ถึงความดีใจจริงๆ จากรอยยิ้มของเจสซี่ที่ยิ้มเขินอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
อาเรียหรี่ตาลงมองสถานการณ์พลางพยักหน้าแสดงอาการว่าเข้าใจแล้ว
‘คิดไว้ว่าจะช่วยให้เจสซี่ไปอยู่กับคนที่มีความสามารถกว่านี้แล้วแท้ๆ’
หมายถึงคนที่มีความสามารถมากกว่าคู่ครองของแอนนี่น่ะ เพราะหล่อนมีคุณสมบัติที่เหมาะสมพอจะได้รับ ดูเหมือนว่าฮานส์ที่มาขอพึ่งพาจะทำให้เจสซี่ยิ่งลำบากไปเสียเปล่า
คิดไปคิดมาอาเรียจึงพักดื่มชาเพื่อจะปลอบความเสียดายของตนเอง และทันใดนั้นก็นึกความคิดดีๆ ขึ้นได้
‘ถ้าอย่างนั้นเลี้ยงฮานส์ก็ได้นี่นา’
เขาที่แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย กลับได้รับการยอมรับ ทั้งยังได้รับทุนการศึกษาจนกระทั่งได้เข้าศึกษาในสถาบัน แม้จะปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก็หาทางพัฒนาตัวเองอยู่แล้ว หากให้การสนับสนุนว่าเขาต้องประสบความสำเร็จครั้งใหญ่แน่นอน
“งั้นเหรอ ดีเลย ฝากบอกฮานส์ด้วยว่าฉันจะคอยดู”
“คะ ได้ค่ะ เลดี้”
อาเรียมองเจสซี่ที่แม้ตัวเองจะไม่ได้คำชมนั้นแต่ก็ยิ้มกว้างดีใจด้วยสีหน้าที่ลึกซึ้ง เพราะหากเป็นเธอในอดีตอาจไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอค่อยๆเข้าใจความรู้สึกของเจสซี่แล้วล่ะสิ
“ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ อย่าหักโหมมากนะคะ เลดี้”
เจสซี่ที่เปลี่ยนชาให้ใหม่กลับมายืนหน้าห้องอาเรีย
หลังจากที่เจสซี่ออกไป ปกติแล้วเวลานี้ก็ควรจะได้นอนเล่นบนเตียง แต่วันนี้กลับต่างออกไป อย่าว่าแต่ง่วงเลย ตอนนี้กลับสมองปลอดโปร่งเสียมากกว่า
เพราะว่า
“เลดี้อาเรีย”
“…คุณอาซ”
เป็นวันที่อาซจะมาเยี่ยมอย่างไรล่ะ
สังเกตจากสีหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อยดูเหมือนจะรีบตรงมาหลังจากที่เสร็จงานเสียอย่างนั้น ก็ว่าทำไมปลายเสื้อรู้สึกถึงลมร้อน อาเรียที่อ่านหนังสือพร้อมกับชาอีกหนึ่งถ้วย ตกใจปนดีใจกับการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดของอาซ
“ตายจริง ผิวคุณดูเหมือนจะไหม้แดดนะคะ”
“…อาจเป็นเพราะไปเยือนเมืองแถบร้อนมาน่ะครับ”
อาซตอบพลางละสายตาไปมองข้อมือที่บอบบางของอาเรีย
สะดุดตากับสร้อยข้อมือ ของขวัญคราวที่แล้วที่เขาให้ แม้มองผ่านๆจะเป็นสร้อยข้อมือที่ดูธรรมดา แต่ความหมายที่อยู่ในสร้อยข้อมือนั้นไม่ธรรมดา เขาเผยรอยยิ้มแสดงออกว่าพอใจมากแค่ไหน
อาเรียที่ยังไม่รู้ทันเหตุการณ์กำลังคิดเสียดายว่าน่าจะเตรียมเครื่องดื่มอื่นที่ไม่ใช่ชาไว้น่าจะดีกว่า
อาซเห็นสีหน้าของอาเรียที่ไม่ค่อยดีนักจึงหรี่ตาลงพลางถาม
“ผมมาทำให้เลดี้อารมณ์เสียหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ…! จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรคะ”
เป็นวันที่ตั้งตานับวันรอนี่นา
แม้ในแต่ละวันจะแสนยุ่งแต่กลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก
เมื่อเธอตั้งใจจะรินชาอุ่นๆ ให้ เขากลับส่ายหน้าพลางรินชาใส่ในถ้วยด้วยตัวเอง
“จะให้เลดี้ที่งานยุ่งอยู่แล้วทำอะไรแบบนี้ไม่ได้สิครับ”
พูดแบบนั้นพลางรินชาให้ในถ้วยของอาเรียด้วยเช่นกัน คำพูดของมกุฎราชกุมารอย่างเขา ที่น่าจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้
เธอรู้สึกเกรงใจที่เขาบอกให้นั่งพักพลางสังเกตมือที่ดูหยาบกร้านนิดหน่อยของเขา ก็เห็นแหวนที่เหมือนกับที่เธอใส่อยู่แม้จะสีต่างกันก็ตาม
ตอนที่เห็นครั้งแรกคิดว่าเป็นแหวนดูเรียบง่ายไปหน่อย เห็นอย่างนี้ก็คิดว่าเขาตั้งใจเลือกแบบที่ดูเรียบง่ายเพื่อจะใส่ด้วยเช่นกันสินะ ดังนั้นความรู้สึกที่ไม่ค่อยสบายใจนักกลับละลายหายไปราวกับหิมะเปลี่ยนเป็นแสงฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นที่ปกคลุมหัวใจ
“แหวนนั่น… แม้สีจะต่างกันแต่ลักษณะคล้ายกับแหวนที่ได้รับจากคุณอาซเลยนะคะ”
“อ๋อ เป็นแหวนแบบเดียวกันครับ ตอนนี้แค่เปลี่ยนสีเท่านั้นเองครับ เวลาผ่านไปสักพักก็จะกลับมาเป็นแบบเดิมครับ”
สีเปลี่ยนไปอย่างนั้นเหรอ แต่จะว่าไปแสงสีฟ้าที่เปล่งแสงออกมาอ่อนๆก็ดูแปลกดีเหมือนกัน
เมื่อเธอมองด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นอาซก็ถอดแหวนออกจากมือของตัวเองแล้วเอาไปวางบนโต๊ะ
“…ตายจริง”
ทันใดนั้นแหวนก็เปลี่ยนสีจากแสงสีฟ้ากลับไปเป็นแบบเดิม
“เป็นแหวนที่ได้รับมาจากราชวงศ์ครับ หากใช้พลังจะทำให้เปลี่ยนสีได้ เหมือนกับแหวนที่ให้เลดี้อย่างไรล่ะครับ”
อาเรียตกใจจนเบิกตาโตพลางถาม
“…ถ้าอย่างนั้น เป็นสมบัติของราชวงศ์อย่างนั้นเหรอคะ”
“จะมองว่าคล้ายๆ กันก็ได้นะครับ เพราะได้รับมาจากท่านพ่อท่านแม่นี่ครับ”
แหวนที่มีความหมายลึกซึ้งแบบนี้ ภายนอกดูเรียบง่ายไม่หรูหราอะไร จึงไม่ทันได้คิดว่าจะมีความหมายลึกซึ้งแบบนี้ อาเรียเผยสีหน้าสับสน พลางหันลงไปมองมือตัวเองที่สวนแหวนนั้นอยู่ ก็พลอยให้ดวงตาสั่นไหว
“ฉันจะบังอาจรับของแบบนั้นได้อย่างไรกัน…”
อาซที่มองอาเรียยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ ค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือของอาเรียที่สวมแหวนอยู่แล้ว
“เจ้าของแหวนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเลดี้ครับ”
สายตาที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นพลางยกยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับคำตอบเพื่อความแน่ใจ
เจ้าของแหวนหรือนี่ แม้ว่าจะทำการแลกอย่างเป็นทางการก็ตาม….ไม่เขินไปหรอกเหรอ
ยิ้มจนแก้มจะยกขึ้นไปถึงตาแล้ว จนถึงตอนนี้แม้เธอจะได้ยินคำเยินยอว่างดงามหรือชื่นชอบจากชายมากหน้าหลายตาก็จริง แต่ไม่มีใครบอกว่าอยากมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในอนาคตเลยแม้สักคน
ยิ่งไปกว่านั้นอาซได้มอบประสบการณ์นั้นให้กับเธอที่ใช้ชีวิตจากทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นครั้งแรก หากจะมองตามอายุจริงๆแล้ว แม้เขาอายุน้อยแต่กลับทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวได้ขนาดนี้
หลังจากสารภาพด้วยแหวนที่เต็มไปด้วยความหมาย ดูเหมือนว่าอาซจะกังวลคำตอบของอาเรียจึงกลืนน้ำลายที่แห้งผาก เขาดูตื่นเต้นต่างจากคำพูดดูมั่นใจที่พูดออกมา
แม้จะคิดว่าเขาคงไม่ทำถึงขนาดนั้นหรอกแต่ดูเหมือนอาเรียจะกังวลว่าหากเขาขอแหวนคืนจะทำอย่างไร เพราะอยู่ในช่วงที่เพิ่งเริ่มต้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน
อาเรียที่เลือกคำที่จะตอบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงจับมืออาซที่จับมือตัวเองอยู่พลางพูด
“ไม่รู้ว่าฉันจะมีคุณสมบัติพอหรือไม่แต่ก็…ขอบคุณนะคะ”
แม้จะตกใจและเขินอายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะตอนนี้คนข้างกายของอาซจะไม่ใช่ใครอื่นอีกแล้ว
ทันทีที่อาเรียตอบ อาซยกยิ้มพลางกระชับมือที่จับอยู่ให้แน่นขึ้น
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
ทั้งคู่ต่างพูดคำที่แสนหวานต่อกัน ไม่รู้ทำไมถึงแม้จะจับมือกันเฉยๆแต่กลับรู้สึกพอใจ แม้จะไม่ได้ทำอะไรที่พิเศษให้กันก็ตาม
เพราะอย่างนี้คนเราถึงอยากจะมีความรักสินะ ซึ่งอาเรียที่ใช้ชีวิตมาเกือบยี่สิบปีจึงได้รู้จักสิ่งนั้น
และความรู้สึกที่แปลกใหม่นี้ทำให้อนาคตของเธอได้เปลี่ยนไป
จากอนาคตของเธอในอดีตที่แร้นแค้นและมืดมิดกลับแปรเปลี่ยนเป็นอนาคตที่มีสว่างสดใส
อาเรียที่เพลิดเพลินกับคสามสุขอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านมาสักพักแล้วจึงพูดคำที่เตรียมไว้ออกมา
“คุณอาซคะ ไม่ทราบว่ายังจำเลดี้ซาร่าได้ไหมคะ เลดี้ซาร่าแห่งตระกูลไวเคานต์ลอเรนที่จะกลายเป็นมาร์เชอเนสคนใหม่น่ะค่ะ”
“อ๋อ จำได้สิครับ”
“ไม่รู้ว่าท่านพอมีเวลาว่าหรือไม่…เลดี้ซาร่าอยากจะรบกวนให้ไปอบรมนักเรียนในสถาบันศึกษาน่ะค่ะ คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ เพราะคิดว่าทุกคนก็เป็นคนธรรมดาทั่วไป การเรียนมารยาทเองก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอกเหรอคะ”
อาเรียพูดเสริมว่าหล่อนเคยเป็นอาจารย์อบรมมารยาทประจำตระกูลมาก่อน การได้สอนนักเรียนทำให้เธอรู้สึกเป็นเกียรติ ทำให้หลังจากนั้นเธอจึงอยากเป็นอาจารย์
อาซที่เข้าใจว่าไม่ใช่เพราะความฝันของซาร่าคือการเป็นอาจารย์เท่านั้น ทำให้เขามองคนที่เขารักด้วยสายตาที่อ่อนโยนพร้อมกับระบายรอยยิ้มอ่อนบนใบหน้า
“หากเป็นเช่นนั้นฝ่ายที่อยู่ส่วนกลางคงจะระส่ำระสายน่าดูเลยนะครับ”
“น่าจะอย่างนั้นนะคะ เพราะว่ามันเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์…”
อาเรียที่พูดถึงตรงนั้นจึงแอบลอบสังเกตอาซ เพราะรู้ว่าเกี่ยวโยงกับดัชเชสอยู่แล้ว แต่ก็พูดเพื่อลองเชิงดูก่อน
ทันใดนั้นอาซจึงตอบด้วยความมั่นใจว่า ‘หากเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นล่ะก็ ผมรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วล่ะ’
“มีวินเซนต์มาร์ควิสและเลดี้ซาร่าที่กล่าวว่าจะสนับสนุนผม จึงคิดว่าจะมีตระกูลชนชั้นสูงเปลี่ยนท่าทีเหมือนกันครับ”
อาเรียจึงกลับมาในหน้าที่ของนักลงทุน พลางอธิบายสิ่งที่จะได้รับอย่างเบาๆ เพราะทั้งคู่ไม่ใช่แค่คู่รักชายหญิงที่ชอบพอกันอย่างธรรมดาทั่วไป แต่ยังสามารถร่วมกันเปลี่ยนอนาคตของทั้งคู่ได้
หลังจากใช้เวลาคุยกันอยู่พักใหญ่จนค่ำมืด อาซที่เตรียมตัวจะกลับจู่ๆ ก็ถามคำถามขึ้นมา
“จริงสิ แล้วก็…เคยพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับผู้พิพากษาที่ศาลหรือเปล่าครับ”
อาเรียจึงส่ายหัวไปมาพลางตอบ
“ผู้พิพากษาเหรอคะ ไม่นะคะ… แม้กระทั่งชื่อยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำเลยค่ะ”
“ก็ว่าอยู่”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ พอดีว่าเขาสงสัยเรื่องเกี่ยวกับเลดี้น่ะครับ ถึงกับขนาดขอให้เชิญมานั่งคุยกันให้ด้วยล่ะครับ”
“…กับดิฉันเหรอคะ”
กับหญิงที่ได้เห็นหน้าแค่ผ่านๆ เท่านั้น จำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำไมกัน
หรือว่าไม่ชอบใจที่เธอติดต่อกับอาซอย่างนั้นเหรอ แต่จะว่าไปเธอก็นึกหน้าผู้หญิงคนที่หยุดหันมาดูหน้าเธอได้
เพราะอย่างนั้นจึงนึกออกแต่ความรู้สึกแง่ลบเท่านั้น ทันทีที่เธอขมวดคิ้ว อาซก็จับมือเธอไปประทับจูบตรงหลังมือ
“แต่ว่า…”
“เป็นคนที่สวนทางกับอำนาจอยู่แล้วครับ แล้วก็เป็นหญิงที่ไม่ฝักใฝ่กับการแต่งงาน จะว่าเกี่ยวข้องกับผมก็คงไม่ได้ ดูเหมือนว่าข่าวลือของเลดี้จะกระจายออกไปจนเกิดสงสัยเรื่องราวของเลดี้น่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกนะคะ”
แต่ถึงอย่างนั้นความกังวลใจก็ยังไม่หายไป อาซจึงโน้มน้าวอาเรียอีกครั้งพลางบอกว่าสัปดาห์หน้าจะมาอย่างเป็นทางการ
“แล้วจะส่งจดหมายมาที่คฤหาสน์นะครับ”
จากนั้นจึงหายตัวไปราวกับภาพฝัน อาเรียจับหลังมือของตัวเองพลางยกยิ้ม
* * *
และหลังจากนั้นไม่กี่วัน จดหมายที่ประทับตราจากวังทำให้ภายในคฤหาสน์วุ่นวายใหญ่โต
แล้วทำไมต้องมาถึงตั้งแต่เช้าด้วยนะ ทำให้ท่านเคานต์ที่จะออกไปข้างนอกต้องเลื่อนกำหนดการออกไป เคาน์ติสก็หน้าแดงก่ำอย่างกับสาวน้อยไปอีกคน
“ตายจริง นี่ท่านจะมาที่คฤหาสน์ท่านเคานต์จริงๆ หรือนี่…!”
เคาน์ติสที่พูดเสียงดังรีบไปสั่งการข้ารับใช้ให้เตรียมการตกแต่งคฤหาสน์
“ขัดให้สะอาดไม่ให้มีฝุ่นเลยนะ! ทั้งผ้าม่าน พรม ต้องเปลี่ยนใหม่ให้หมดเสียแล้ว! เอาแบบที่ดูดีที่สุด! ตรงสวนก็จัดการตัดแต่งด้วย แล้วก็…!”
เคาน์ติสสั่งการข้ารับใช้อย่างไม่หยุดหย่อน เธอทำอย่างกับจะสร้างคฤหาสน์ใหม่
มีแต่จะทำให้ข้ารับใช้ต้องลำบาก แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับอาเรียทุกคนจะพร้อมใจกันช่วยด้วยความเต็มใจ สิ่งนี้ก็เป็นผลงานอีกอย่างของอาเรียอย่างไรล่ะ
เคาน์ติสที่คุยโวพลางบอกว่าต้องใส่ชุดให้เข้าคู่กัน มิเอลที่แสดงสีหน้าไม่พอใจจึงเรียกอาเรียไปคุยด้วย
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
เมื่อถามสาเหตุก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ ทันใดนั้นมิเอลจึงหลบสายตาลง แม้กระทั่งคำพูดคำจายังมีหนามแหลมออกมา เป็นหนามแหลมที่ไว้ใช้สำหรับอาเรียเท่านั้น
“นี่คงไม่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นมกุฎราชกุมารีหรอกใช่ไหม”
ใบหน้าดูเหมือนว่า ‘น้ำหน้าอย่างเธอกล้าดีอย่างไร’
อาเรียทำท่าทางที่ไม่แยแสอะไรพลางตอบรับอย่างดี
“ไม่รู้สิ น่าจะเหมาะกว่าดัชเชสที่ไปจับมือกับพวกต่างชาติเพราะตั้งใจจะขายประเทศมากกว่าล่ะมั้ง”
เมื่อเผชิญหน้าและตอบกลับในระดับเดียวกัน หล่อนก็ตั่วสั่นพลางบอกว่าทำไมถึงได้พูดจาต่ำแบบนั้น
“เรื่องจริงนี่นา ทำอย่างกับว่าจะรวมตัวขุนนางก่อการกบฏเสียอย่างนั้น หรือว่า…ไม่ใช่ว่าดัชเชสจะคิดว่าถูกแย่งผู้ชายไปหรอกนะ คนธรรมดายังไม่ทำแบบนั้นเลย”
“…อย่าดูหมิ่นดัชเชสนะ”
จู่ๆ มิเอลก็ตะโกนเสียงดังออกมาทำให้ทุกสายตามองไปที่เธอ
หาเรื่องคนอื่นก่อนแล้วมาตะโกนเสียงดังใส่แท้ๆ อาเรียควบคุมสีหน้านิ่มนวลต่างจากสีหน้าของมิเอลที่โกรธจัด ช่างน่าเศร้าเสียจริง
‘น่าเกลียด’
เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน เพราะในอดีตทุกอย่างกลับตรงกันข้าม
อาเรียที่อารมณ์ขึ้นเลิกคิ้วราวกับตกใจ ปั้นสีหน้าเศร้าพลางกระซิบข้างหูมิเอลโดยไม่ให้ใครได้ยิน
“ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วจะทำอย่างไรล่ะ แล้วก็ความจริงคือถึงแกจะโกรธโวยวายไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอกนะ รู้เอาไว้ก็น่าจะดี คราวนี้สำหรับแกก็ไม่เหลือใครที่ยอมพลีชีพให้เท่าเอ็มม่าแล้วใช่ไหมล่ะ”
คงจะไม่ถูกกระชากผมใช่ไหมนะ แต่ถ้าได้อย่างนั้นก็คงจะดีสิ
อาเรียคาดหวังพลางแสยะรอยยิ้มผู้ชนะ มิเอลที่ควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้ตัวสั่นพลางกัดฟันแน่น การบังคับใจตัวเองที่แท้จริงจนแทบจะสบถออกมา
“…สมแล้ว สมกับเป็นลูกนางโสเภณี โลกใบนี้ไม่ได้หมุนไปง่ายๆ อย่างที่ใจคิดหรอก ไม่รู้จักเจียมตัวแล้วยังวิ่งพล่านไปทั่วแบบนี้ เลือดต่ำช้าก็สมควรแล้วที่จะต่ำอยู่อย่างนั้น”
หลังจากที่มิเอลพูดจบก็ขึ้นไปชั้นบนทันที
ด้วยความที่คิดว่าหล่อนจะพูดจาน่าตกใจแบบนั้น อาเรียได้แต่ตกใจจึงหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่ไร้สติจากนั้นจึงหัวเราะแห้งออกมา
ช่างเป็นถ้อยคำที่เหมาะกับหล่อนเสียจริง
…………………………………………..